21 ต.ค. 2563 | 11:44 น.
“ตอนที่คุณยังเป็นเด็ก คุณไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากการเล่นฟุตบอล ตอนที่ผมยังเด็ก หลังเลิกเรียนผมมักจะรีบออกจากโรงเรียนไปสวนสาธารณะเพื่อเล่นฟุตบอล ผมเล่นบอลจนถึงเวลากินข้าวเย็น แล้วหลังจากนั้นผมก็จะกลับออกไปเล่นต่อ มันเป็นมากกว่างานอดิเรก มันคือการเสพติด” ไรอัน เมสัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ในเกมพรีเมียร์ลีกระหว่างฮัลล์ ซิตี้ พบกับเชลซี ขณะที่ไรอัน เมสัน (Ryan Mason) กองกลางของฮัลล์ ซิตี้ กระโดดโหม่งนั้นเอง ศีรษะของเขาก็ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองจากการปะทะกับแกร์รี เคฮิลล์ กองหลังเชลซี อุบัติเหตุของเมสันสร้างความเสียหายให้กับกะโหลกและสมองของเขาเป็นอย่างมาก หลังพักฟื้นนานกว่า 13 เดือน สุดท้ายเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องแขวนสตั๊ดอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น สำหรับเมสัน ถือเป็นอดีตกองกลางดาวรุ่งที่เคยค้าแข้งให้กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และเคยขึ้นมาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ เขาเริ่มต้นค้าแข้งกับทีมในบ้านเกิด ก่อนที่ฝีเท้าจะไปเข้าตาทีมแมวมองของสเปอร์ส จนได้รับโอกาสเข้ามาเป็นนักเตะเยาวชนของทีมไก่เดือยทอง “หนึ่งในความทรงจำแรกของผมคือการเตะบอลกับกำแพงเล็ก ๆ ในสวนของคุณปู่ คุณย่า พ่อกับแม่เคยบอกผมว่า ฟุตบอลเป็นสิ่งที่อยู่กับผมตลอดเวลา ผมเติบโตในเชสฮันต์ เมืองเล็ก ๆ นอกลอนดอน สโมสรแรกของผมคืออีสต์เฮิร์ทส เอฟซี ในเทิร์นฟอร์ด ตอนนั้นผมอายุ 6 ขวบ และผมอยู่ที่นั่นแค่ 6 เดือน นั่นเป็นช่วงเวลาที่ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ได้เห็นฝีเท้าของผมครั้งแรก ผมยังจำช่วงเวลาที่พ่อรับสายและบอกกับผมว่าพวกเขาอยากให้ผมไปเล่นที่นั่น ผมวิ่งไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่นและส่งเสียงเชียร์ มันคือทุกสิ่งที่ผมต้องการ การอยู่ที่สเปอร์เหมือนความฝันที่เป็นจริง ตอนอายุ 7 หรือ 8 ขวบ คุณคงไม่ได้คิดที่จะทำให้มันเป็นมืออาชีพหรอก แต่ถึงอย่างนั้นการลงสนามในเช้าวันเสาร์และต้องพบกับอาร์เซนอล มันกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ แม้ในวัยนั้น” เมสันกลายมาเป็นนักเตะดาวรุ่งน่าจับตามองในรั้วทีมไก่เดือยทอง เคียงข้างกับเหล่านักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง แฮร์รี เคน แอนดรอส ทาวน์เซนด์ หรือ สตีเวน คอลเกอร์ มีอยู่ฤดูกาลหนึ่ง เขาซัดไป 42 ประตูให้ทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีของสเปอร์ ย้อนกลับไปตอนนั้นเมสันเฝ้าคอยโอกาสในการขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เรื่อยมา แต่จนแล้วจนรอดโอกาสนั้นก็ไม่เคยมาถึงเขาสักที สุดท้าย เมสันได้รับโอกาสเฉิดฉายครั้งแรกในยุคของกุนซือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน เขาเล่าว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงที่ทีมกำลังไปเตะปรีซีซันที่สหรัฐฯ