หลิวเต๋อหัว:ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ จากบทนักเลงข้างถนนสู่ขวัญใจมหาชนตลอดกาล
นักแสดงผู้มากด้วยบทบาทอันหลากหลาย
ดาราผู้สร้างปรากฏการณ์ผ่านหนังยอดฮิต
นักร้องที่แฟนเพลงต่างพากันคลั่งไคล้ไม่เสื่อมคลาย
และไอคอนแห่งยุคสมัยที่อมตะนิรันดร์กาล
ในวงการบันเทิงแดนมังกร ไม่มีใครเลยจะไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ หลิวเต๋อหัว สุภาพบุรุษต้นแบบกับบทบาทมากมายในโลกภาพยนตร์กว่าร้อยเรื่องที่เขาได้ฝากผลงานไว้มากมาย โดยเฉพาะในหนังที่ทำให้เขาได้สร้างชื่อและเป็นที่จดจำหรับแฟนหนังชาวไทย นั่นก็คือ “ผู้หญิงข้า...ใครอย่าแตะ” (A Moment of Romance) นั่นเอง
และในวาระที่ผู้หญิงข้า...ใครอย่าแตะ มีอายุครบรอบ 30 ปี คงไม่สายเกินไปที่เราจะทำความรู้จักผู้ชายคนนี้อีกครั้ง พร้อมสำรวจความนิยมแห่งยุคสมัยที่ทำให้หลิวเต๋อหัวได้กลายเป็นยอดนักแสดงที่คนทั่วทั้งเอเชียหลงรัก
เริ่มต้นยุค 80s 5 พยัคฆ์ทีวีบี และบทบาทกุ๊ยเรฟูจีที่แจ้งเกิดจอเงิน
หลิวเต๋อหัว เกิดในครอบครัวยากจน อยู่ในชุมชนแออัดย่าน Diamond Hill ฮ่องกง แม้จะยากจนข้นแค้นแต่เขาก็มีความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ นั่นคือการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง เขาสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนการแสดงทีวีบีที่เป็นจุดกำเนิดของเขาตั้งแต่อายุ 18 ปี ใบหน้าที่คมคายและการแสดงที่สมบทบาททำให้เขาได้รับเลือกให้ออกหน้าจออย่างรวดเร็ว โดยเขาได้รับโอกาสในบทสมทบประกบยอดนักแสดงฝีมือเยี่ยมอย่าง โจวเหวินฟะ ในหนังจีนชุดเรื่อง ยาจกซู ไอ้หนุ่มหมัดเมา ตั้งแต่ยุค 80s ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนมีบทบาทที่โดดเด่น เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้ง 5 คน ไม่ว่าเป็น หวงเย่อหัว , เหมียวเฉียวเหว่ย , ทังเจิ้นเย่ , เหลียงเฉาเหว่ย และตัวเขาเอง จนถูกสื่อมวลชนขนานนามทั้ง 5 ว่า “ห้าพยัคฆ์ทีวีบี”
หลิวเต๋อหัวมีผลงานที่ผงาดในจอตู้มากมาย จากหนังจีนชุดกำลังภายในอย่างมังกรหยก ภาค 2. ขุนศึกตระกูลหยาง แต่บทบาทในจอแก้วเป็นเพียงการบริหารเสน่ห์ความโด่งดังของเขาเพียงเท่านั้น เพราะความใฝ่ฝันของเขาคือการโลดแล่นบนจอใหญ่ และบทบาทของผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามจากหนัง ใส่ความบ้า ท้านรก (Boat People) ก็ทำให้เขาแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงคุณภาพที่เพียงหนังเรื่องแรกก็ขึ้นแท่นชิงรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากสถาบัน Hong Kong Film Awards ปี 1981 ในบทบาทของ ถึงมินห์ เด็กหนุ่มชาวเวียดนามผู้ต้องออกจากดินแดนนรกเพื่อชีวิตที่ดีกว่า บทบาทตราตรึงใจของเขาคือการทรมานที่ถูกขังอยู่ในถังอันมืดมนและร้อนระอุ ที่สุดเขาก็ได้ขึ้นแท่นเป็นพระเอกในหนัง บังคับข้า..ให้บ้าระห่ำ (On the Wrong Track) ทันที
แม้ยุค 80s หลิวเต๋อหัวจะวนเวียนอยู่กับบทบาทจอมยุทธในจอแก้ว และนักเลงวัยว้าวุ่นเจ้าปัญหาในจอเงิน แต่เขาก็ได้รับโอกาสที่ดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้แสดงนำในการประเดิมผลงานการกำกับของผู้กำกับที่โด่งดังในกาลต่อมาอย่าง หว่องการ์ไวในหนัง ทะลุกลางอก (As Tears Go By) หรือการได้ประกบรุ่นพี่ที่เคารพอย่าง โจวเหวินฟะ อีกครั้งในหนัง ต้นตระกูลโหด (Rich and Famous) และ บริษัทโหด (Tragic Hero) แต่เหมือนยุค 80s จะไม่ใช่ยุคของเขาซักเท่าไหร่ ประกอบด้วยความซ้ำซากจำเจของหนังที่วนเวียนอยู่เพียงแวดวงแก๊งสเตอร์ ถ้าข้ามฝั่งมาไทยก็เป็นหนังที่ชื่อว่าโหดต่าง ๆ ความซ้ำซากนี้หลิวเต๋อหัวรู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยให้โด่งดังอะไร แต่โอกาสมากมายที่มอบให้ ทำให้เขาได้ลองอะไรที่แปลกใหม่ทั้งการร้องเพลง ออกคอนเสิร์ต ทำให้เขาได้สะสมแฟนคลับไว้มากมาย เพื่อรอแสงสปอตไลท์ที่ส่องสว่างสาดใส่เขาในทศวรรษต่อไป
ยุค 90s สู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ที่แท้จริง
แล้วการรอคอยของหลิวเต๋อหัวก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อยุค 90s กลายเป็นยุคทองของเขาจริง ๆ จากบทบาทอันหลากหลาย ที่พร้อมเฉิดฉายบนจอภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการประกบรุ่นพี่โจวเหวินฟะอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขามาในมาดเซียนพนันรุ่นน้องที่ต้องรับไม้ต่อเมื่อเซียนพนันรุ่นพี่ความจำเสื่อมในหนังที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยอย่าง คนตัดคน (God of Gamblers) และส่งต่อความสำเร็จให้กับรุ่นน้องอย่างโจวซิงฉือในหนัง คนตัดคน 2 (God of Gamblers II) แต่ที่สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ และทำให้เขาได้เป็นซูเปอร์สตาร์ต่อจากโจวเหวินฟะได้อย่างสง่างาม เพราะสร้างความโด่งดังในระดับโลก กลับเป็นหนังฟอร์มเล็กที่ค่ายนนทนันท์ เอนเตอร์เทนเมนท์นำมาฉายเพียงเพื่อคั่นโปรแกรมเท่านั้น
ขออธิบายคำว่าหนังคั่นโปรแกรมให้ทราบเพื่อเป็นวิทยาทาน ในการซื้อหนังมาฉายของค่ายหนังต่าง ๆ นั้น จะประกอบไปด้วยหนังฟอร์มใหญ่ที่มีโอกาสในการทำเงินค่อนข้างสูง แต่หนังฟอร์มเล็กมากมายที่สร้างมา ผู้สร้างต้นสังกัดก็มักจะทำการบังคับให้บริษัทจัดจำหน่ายซื้อเพื่อต่อลมหายใจและกันไม่ให้คนซื้อ ซื้อแต่หนังฟอร์มใหญ่เพียงอย่างเดียว ในยุคนั้น การต่อสู้ทางธุรกิจระหว่างค่ายหนังสหมงคลฟิล์ม และนนทนันท์ฯ ต่างทุ่มกันสุดกำลังเพื่อกว้านซื้อหนังจีนฮ่องกงที่กลับมาเจิดจรัสอีกครั้งจากการระดมฝีมือ การผลักดันคุณภาพของยอดฝีมืออย่าง ฉีเคอะ, จอห์น วู และ เฉินหลง ที่จะทำหนังเพื่อให้เป็นสินค้าส่งออกอันแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหนังเฉินหลงที่ทั้งสองค่ายถล่มราคาอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งโปรแกรมทองของหนังโปรแกรมตรุษจีน ในปีนั้นนนทนันท์แม้ไม่ได้หนังของเฉินหลงมา แต่เขาก็ได้หนังอย่าง เดชคัมภีร์เทวดา, โปเยโปโลเย เย้ยฟ้าแล้วก็ท้า ที่เป็นการสร้างมิติใหม่ให้กับหนังกำลังภายใน
แต่ในช่วงเวลานั้น มีเพชรอยู่ในตม...
หนังโนเนมที่ไม่ได้ทำเงินอะไรในบ้านเกิดกลับสร้างปรากฏการณ์ที่เมืองไทยอย่างสง่างามด้วยการทำรายได้ถึง 23 ล้านบาทในยุคที่ตั๋วหนังราคาเพียง 20-40 บาทหนังเรื่องนั้นก็คือ ผู้หญิงข้า...ใครอย่าแตะ (A Moment to Romance) ภาพยนตร์ปี 1990 นั่นเอง
จากหนังคั่นโปรแกรมสู่บิ๊กเซอร์ไพรซ์ระดับปรากฏการณ์
จากปากคำของคุณอานนท์ อัศวนันท์ ผู้บริหารค่ายนนทนันท์ฯ ในยุคนั้น ได้กล่าวถึงหนังที่สร้างความแปลกใจให้กับค่ายอย่างมากในหนังสือเอนเตอร์เทนเอ็กซ์สตาร์ฉบับ 196 เล่าถึงปรากฏการณ์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของหนังเรื่องนี้ให้ฟัง “เราพิจารณาจากรายได้ที่ทำเงินในประเทศเขา หนังผู้หญิงข้าฯ ทำรายได้ที่ฮ่องกงเพียง 12 ล้านเหรียญ ถือว่าค่อนข้างธรรมดา ถ้ามันดีต้องระดับ 20-30 ล้านขึ้น ผมยอมรับนะครับว่าไม่ได้คิดว่ามันจะดีขนาดนั้น เราเพียงฉายเพื่อคั่นโปรแกรมหนังโปเยโปโลเย 2 เท่านั้น เราก็ฉายไปปกติ อาทิตย์แรกก็ทำรายได้ออกมาในระดับปานกลางเท่านั้น แต่ที่น่าสังเกตคือพออาทิตย์ที่สอง รายได้มันไม่ตกมาก อาทิตย์ที่สามเราเลยลองอัดโฆษณาในช่วงเอเชียนเกมส์ พอเราเริ่มอัดโฆษณาปุ๊บมันขึ้นพรวดมหาศาลเลย”
แล้วปรากฏการณ์โรงแตกก็เกิดขึ้นกับหนังเล็ก ๆ คั่นโปรแกรมเรื่องนี้ “เราทราบมาว่ามีคนดูหนังเรื่องนี้ถึง 11 รอบ เราเลยเชิญเขามาเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ ไม่เพียงคน ๆ นี้เท่านั้น แต่พอถามโรงหนังก็พบว่ามีคนแวะเวียนมาดูหนังเรื่องนี้ 2-3 รอบกันเลย พอเราปล่อยข่าวนี้ไป คนก็เริ่มสงสัยว่าหนังเรื่องนี้มันมีดีตรงไหน เขาก็แห่กันมาดู”
กระแสปากต่อปากในยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตคือสิ่งที่พิสูจน์ความดังของหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักต่างชนชั้นที่เปรียบดั่งโรมิโอแอนด์จูเลียตในยุคใหม่ องค์ประกอบหนังต่าง ๆ ที่หนังมอบให้ไม่ว่าจะเป็น รถมอเตอร์ไซค์ SUZUKI RG500 ที่หลิวเต๋อหัวขี่ ทรงผมมแสกกลาง ที่ดูดีกับแว่นเรย์แบนด์และแจ็คเก็ตยีนส์ ไปจนถึงบทเพลง If the World Had Romance ที่ขึ้นชาร์ตวิทยุแม้เป็นรายการเปิดเฉพาะเพลงฝรั่ง แต่ที่ทำให้หนังโดดเด่นและแจ้งเกิดตัวตนให้โลกได้ประจักษ์คือบทบาทของนักเลงข้างถนนของหลิวเต๋อหัว ที่แม้เขาจะรับบทบาทนี้มากมาย แต่เรื่องนี้กลับเสมือนไวน์ที่เพาะบ่มจนรสดีและทำให้เขาเป็นที่จดจำในบท อาหวอ นักเลงข้างถนนที่ดอมดมดอกฟ้าอย่าง อู่เชี่ยนเหลียน ความรัก การหักหลัง และการชิงดีชิงเด่นในรูปแบบของมาเฟียชนชั้นล่างของฮ่องกง แม้ว่าหนังจะได้รับคำชมเพียงระดับกลาง ๆ กับเหล่านักวิจารณ์ในยุคนั้น แต่มันกลับกลายเป็นหนังในดวงใจ ไม่มีใครลืมฉากท้าย ๆ ที่หลิวเต๋อหัวบิดมอเตอร์ไซค์ในชุดสูทสีขาวกับนางเอกสาวในชุดเจ้าสาว และค่อย ๆ ปาดจมูกที่เปื้อนไปด้วยเลือดกำเดาหลังจากที่เขาถูกฟาดด้วยถังแก๊สได้ จนนำพาให้หนังเรื่องนี้ทำเงินสูงที่สุดในหมู่หนังจีนที่เคยมีมาในไทย และช่วยปลุกสภาวะหนังจีนที่เคยซบเซาในเมืองไทยให้กลับมาเรืองรองได้อีกครั้ง
ยุค 90s กลายเป็นยุคทองของหลิวเต๋อหัว เขาเป็นได้ทั้งดาราชื่อดังในหนังที่ทำรายได้มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นหนังที่ชื่อยาว ๆ ที่เหมือนเป็นคำคมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้ (เราเลยไม่ยอมตาย) (Saviour of the Soul) ชาตินี้ชาติหน้า...หัวใจข้าเป็นของเธอ (A Taste of Killing and Romance) ชาตินี้ถึงทีข้า ชาติหน้าก็ข้าอีกนั่นแหละ (Gameboy Kids) รวมไปถึงการรวมพล 5 พยัคฆ์ทีวีบีมารียูเนียนเล่นหนังร่วมกันอย่าง เพื่อเพื่อนสับมันเลย (The Tigers) นอกจากนั้นเขายังไม่ลืมที่จะรับบทบาทในฐานะนักแสดงคุณภาพ เช่นหนังที่ตีแผ่ความฉ้อฉลของกรมตำรวจฮ่องกงใน ตำรวจตัดตำรวจ (Lee Rock) หรือ บทบาทนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ผู้ยอมเสี่ยงตายเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นนักบิดมืออาชีพในหนัง ยึดถนนเก็บใจไว้ให้เธอ (Full Throttle) ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงอีกครั้ง แต่บทบาทที่ทำให้เขาได้ขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีกลับไม่ใช่ในบทบาทการแสดง แต่เป็นบทบาทโปรดิวเซอร์หนังที่ผลักดันฟิล์มเมคเกอร์รุ่นใหม่จนทำให้หนังได้ยืนหนึ่งในฐานะหนังยอดเยี่ยมแห่งปี 1998 นั่นก็คือ Made in Hong Kong ของ ฟรุต ซาน นั่นเอง
เขากลายเป็นคนบันเทิงผู้ทรงอิทธิพล ที่นอกจากโดดเด่นในด้านการแสดงหน้าจอแล้ว หลังจอ หลิวเต๋อหัวยังสร้างโอกาสให้กับนักทำหนังด้วยการเปิดบริษัท Teamwork Motion Pictures อีกด้วย
ยุค 2000 สู่การเป็นรุ่นใหญ่ของเกาะฮ่องกง
ฮ่องกงหลังถูกส่งคืนให้จีน ก็พบกับความระส่ำระส่าย วงการบันเทิงเองก็พบปัญหาไม่ต่างกัน หลิวเต๋อหัว แม้จะยืนหยัดในฐานะซูเปอร์สตาร์ แต่หลิวเต๋อหัวก็คิดว่าการดำรงตนในฐานะพระเอกนักเลงข้างถนนเหมือนยุคก่อน ๆ คงไม่ได้ เขาจึงเริ่มใส่ใจในการหาโปรเจกต์มาแสดงให้ดียิ่งขึ้น และการเลือกบทที่ดีนั่นเองทำให้เขาสามารถคว้ารางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงในฐานะนักแสดงได้สำเร็จจากหนัง แหกกฎโหดมหาประลัย (Running Out of Time) ในบทบาทนักจารกรรมที่พร้อมปั่นประสาทตำรวจ และเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เขาได้เป็นหนึ่งในนักแสดงหนังที่กล่าวขวัญถึงว่าเป็นจุดสูงสุดของการแสดง นั่นคือหนังอาชญากรรมเรื่องยิ่งใหญ่ 2 คน 2 คม (Infernal Affairs) ในบทบาทการไล่ล่าระหว่างโจรในเครื่องแบบตำรวจ และตำรวจในคราบโจร ที่เขาแสดงร่วมกันกับเพื่อนซี้ 1 ใน ห้าพยัคฆ์ทีวีบี เหลียงเฉาเหว่ย การหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบที่ทำให้หนังเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ทั้งกล่าวขวัญถึงไปทั่วเกาะฮ่องกง รวมไปถึงทั่วทั้งโลก
หลังจากนั้นหลิวเต๋อหัว ก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะนักแสดงคุณภาพ ที่ใส่ใจในการเลือกหนังมาแสดง แม้ปริมาณจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบยุคสมัยรุ่งเรืองในยุค 90s แต่ก็เปิดโอกาสในการแสดงอันหลากหลาย ที่ไม่จำเป็นต้องฝังตัวอยู่กับบทของกุ๊ยข้างถนนหรือนักเลงนักรักอีกต่อไป แต่บทร้าย ๆ หลิวเต๋อหัวก็สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นบทบาทที่มีมิติอันลึกล้ำและเป็นกล่าวขวัญได้เสมอ รวมทั้งการได้ร่วมงานกับผู้กำกับดี ๆ อย่าง ตู้ฉีฟง ใน คนมหากาฬใหญ่ทะลุโลก (Running on Karma) ในบทหลวงจีนนักกล้ามที่ต้องเผชิญหน้ากับเวรกรรมที่ตามจองล้างจองผลาญเขา ก็ช่วยให้เขาดำรงสถานะนักแสดงคุณภาพที่เป็นที่โจษจันแม้ความพลิกผันของวงการหนังฮ่องกงที่เริ่มสั่นคลอน
ยุค 2010s เปลี่ยนผ่านสู่แผ่นดินใหญ่ แต่ใจฝักใฝ่ในบ้านเกิด
วงการหนังฮ่องกงเริ่มย้ายบ้านไปสู่แผ่นดินแม่นั่นคือประเทศจีน ตัวหลิวเต๋อหัวเองก็เดินทางไปที่แห่งนั้นเช่นกัน โดยที่เขาไปลองตลาดในหนังอย่าง จอมใจบ้านมีดบิน (House of Flying Daggers) ซึ่งแน่นอนประเทศจีนตอบรับการมาของหลิวเต๋อหัวอย่างล้นหลาม หากแต่ไม่นานรอยด่างพร้อยของชีวิตก็ถาโถมใส่เขา เมื่อช่วงปี 2014 เกิดการประท้วงอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของเหล่านักศึกษาและประชาชนชาวฮ่องกงต่อการแทรกแซงของจีน ในเหตุการณ์ปฏิวัติร่ม จนเกิดเหตุการปะทะระหว่างผู้บริสุทธิ์กับเจ้าหน้าที่ๆสลายการชุมนุม หลิวเต๋อหัวเป็นนักแสดงไม่กี่คนที่กล้า Call Out เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่น้องชาวฮ่องกง ด้วยการเขียนข้อความในโลกโซเชียลว่า “No tear gas, no violence, no abuse.” และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการโดนบอยคอตจากรัฐบาลจีน และวงการบันเทิงแดนมังกรก็แบนหนังที่เขาแสดงทันที แต่ความด่างพร้อยทางอาชีพไม่อาจลดความเป็นคนของเขาได้เลย เมื่อเขายืนหยัดที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องร่วมชาติ แม้ตลาดใหญ่อันดับ 1 อย่างจีนเขาก็ไม่ใส่ใจ
ภาพลักษณ์ตลอดชีวิตการแสดงของเขาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ที่มีต่อหน้าที่การทำงานของเขา การพร้อมผลักดันคนรุ่นใหม่ ส่งต่อโอกาสเพื่อให้นิวเจนเนอร์เรชั่นได้ทำงาน รวมไปถึงความรักที่มีต่อแผ่นดินเกิดที่พร้อมหันหลังให้กับชาติมหาอำนาจยอมเสียผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม ไม่ต่างกับตัวตนของอาหวอ ที่เขารับบทบาทในหนังผู้หญิงข้า...ใครอย่าแตะ อย่างน้อยที่สุดคือความเด็ดเดี่ยวและหัวใจนักเลงของเขา ที่พร้อมปกป้องและต่อสู้ในสิ่งที่เขารัก แม้จะเจ็บตัวก็ตาม