ฮามบุตร ‘โนอาห์’ ชายผู้มีสัมพันธ์ทางเพศกับพ่อ (หรือแม่?) ของตนเอง
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ไบเบิล อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของโนอาห์มาบ้างว่า เขาเป็นผู้รับสาส์นจากพระเจ้าให้สร้างเรือขนาดยักษ์อพยพคนและสัตว์เพื่อเอาตัวรอดจากการชำระล้างโลกอันโสมมจากความพิโรธของพระเจ้า เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นฮีโรของมนุษยชาติ และมนุษย์ทั้งหลายที่สืบสันดานมาจนถึงปัจจุบันก็นับว่าเป็นลูกหลานของโนอาห์กันทั้งสิ้น (ตามความเชื่อของกลุ่มความเชื่ออับราฮัม)
แต่เรื่องราวของโนอาห์ยังไม่จบลงเพียงแค่การที่เขาทำให้คนและสัตว์รอดพ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกมาได้เท่านั้น เรื่องราวชีวิตของเขาหลังจากนั้นยังถูกผูกเรื่องเพื่อหาเหตุในการจับคนลงเป็นทาส นั่นก็คือคำสาปของโนอาห์ต่อ ‘คานาอัน’ บุตรชายของ ‘ฮาม’ ซึ่งฮามเป็นหนึ่งในบุตรชายแท้ ๆ สามคนของโนอาห์ (ประกอบด้วย เชม ฮาม และยาเฟท) นั่นเอง
เรื่องราวนี้เป็นเหตุการณ์ต่อจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ซึ่งพระเจ้ามีบัญชาให้โนอาห์และลูก ๆ เร่งสืบพันธุ์เพื่อให้มนุษย์แพร่หลายไปทั่วโลก ซึ่งน่าจะเป็นเวลาแห่งสันติสุขแล้ว เพราะพระเจ้าก็เพิ่งชำระล้างโลกให้สะอาดไปหมาด ๆ แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์หนึ่งที่น่าฉงนขึ้น นั่นคือเหตุการณ์ที่ ฮามดูโนอาห์ ‘เปลือยกาย’
พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้เอาไว้ว่า
“และโนอาห์เริ่มเป็นชาวสวนและท่านทำสวนองุ่น ท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นและเมาไป และท่านก็เปลือยกายอยู่ในเต็นท์ของท่าน และฮาม บิดาของคานาอัน เห็นความเปลือยกายแห่งบิดาของตน และได้บอกพี่น้องทั้งสองคนของเขาที่อยู่ภายนอก
“เชมกับยาเฟทเอาผ้าผืนหนึ่งพาดบ่าของเขาทั้งสองคน เดินหันหลังเข้าไป และปกปิดกายเปลือยเปล่าแห่งบิดาของพวกเขา และไม่ได้หันหน้าของพวกเขา และพวกเขาไม่เห็นความเปลือยกายแห่งบิดาของพวกเขา
“และโนอาห์สร่างเมาจากเหล้าองุ่นของท่านแล้ว และรู้ว่าบุตรชายสุดท้องของท่านได้ทำอะไรแก่ท่าน และท่านพูดว่า ‘คานาอันจงถูกสาปแช่ง และเขาจะเป็นทาสแห่งทาสทั้งหลายของพี่น้องของเขา’
“และท่านพูดว่า ‘สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเชม และคานาอันจะเป็นทาสของเขา พระเจ้าจะทรงเพิ่มพูนยาเฟท และเขาจะอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเชม และคานาอันจะเป็นทาสของเขา’” (ปฐมกาล 9:20-27)
ผู้ที่อ่านเรื่องราวท่อนนี้แล้วก็น่าจะแปลกใจว่า การเห็นพ่อ ‘เปลือยกาย’ ทำไมถึงผิดบาปอย่างร้ายแรงขนาดนั้น? แล้วทำไมต้องให้คานาอันซึ่งเป็นลูกของฮามเป็นผู้รับบาปแทนพ่อที่เป็นผู้ถูกกระทำด้วย?
เหตุการณ์นี้ถูกตีความออกเป็น 4 ทางหลัก ๆ
ทางแรก ตีความตามตัวอักษรเลยว่า ความผิดของฮามก็คือการ ‘ถ้ำมอง’ พ่อตัวเองเปลือยกาย เหตุที่โทษรุนแรงก็เพราะ ดูอย่างเดียวไม่พอ ยังเอาไปโพนทะนาต่อด้วย ซึ่งถือเป็นการละเมิดอำนาจผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นมนุษย์อันประเสริฐผู้ได้รับเลือกจากพระเจ้า แต่การตีความนี้มีช่องโหว่ใหญ่ตรงที่มันไม่มีหลักฐานร่วมสมัยว่า ถ้ำมองเป็นความผิด และเป็นความผิดร้ายแรง ผู้ศึกษาเรื่องนี้จำนวนมากจึงไม่เชื่อคำอธิบายนี้
ทางที่สอง ตีความว่า ฮามน่าจะ ‘ตอน’ พ่อของตัวเอง นักวิชาการที่ให้คำอธิบายนี้พยายามเทียบเคียงว่า โทษจากการกระทำความผิดของฮามนั้นถือว่าเป็นโทษหนักหนา ลำพังการถ้ำมองอย่างเดียวไม่น่าจะทำให้โนอาห์สั่งลงโทษรุนแรงขนาดนั้นได้ มันจะต้องเป็นโทษที่หนักหนาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และการตอนน่าจะเป็นคำตอบว่าทำไมโนอาห์จึงไปสาปแช่งคานาอัน แทนที่จะเป็นตัวฮามเอง เพราะการตอนโนอาห์เป็นเหตุให้โนอาห์ไม่อาจมีลูกคนที่ 4 ได้อีก ด้วยเหตุนี้โนอาห์จึงไปแช่งคานาอันซึ่งเป็นลูก ‘คนที่ 4’ ของฮามนั่นเอง แต่ข้อสันนิษฐานนี้ยังขาดหลักฐานบริบทแวดล้อมที่จะช่วยสื่อให้เห็นว่ามันเป็นการตอนได้เลย
ทางที่สาม อันนี้เป็นข้อที่มีผู้ให้การสนับสนุนค่อนข้างมากทีเดียว นั่นคือการ ‘ข่มขืน’ โนอาห์ขณะที่เมาไวน์หลับไป ผู้เสนอคำอธิบายนี้ชี้ว่า ไบเบิลเลี่ยงที่จะใช้คำว่า ‘ร่วมเพศ’ (ซึ่งไม่เกี่ยงว่ายินยอมหรือไม่) แล้วไปใช้คำว่า ‘ดู’ แทน เช่นใน เลวีนิติ 20:17 ที่ห้ามการร่วมเพศระหว่างพี่น้อง แต่เลี่ยงไปใช้คำว่า ‘ดูการเปลือยกาย’ (see her nakedness) และ ‘เปิดกายที่เปลือยเปล่า’ (uncovered his sister’s nakedness) ดังความกล่าวว่า
“ถ้าชายใดพาพี่สาวหรือน้องสาวของตน คือบุตรสาวของบิดา หรือบุตรสาวของมารดา และดูการเปลือยกายของเธอ และเธอก็ดูการเปลือยกายของเขา นี่เป็นสิ่งที่น่าอายมาก เขาจะต้องถูกตัดขาดท่ามกลางสายตาของชนชาติของเขา เพราะเขาได้เปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวน้องสาวของเขา เขาต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา”
ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงเชื่อว่า คำว่า ‘ดู’ (หรือ ‘เห็น’) และ ‘เปิดกายที่เปลือยเปล่า’ คือคำกริยาที่ใช้แทนคำว่า ‘ร่วมเพศ’ อย่างแน่นอน เพราะตามหลักตรรกวิทยา การตีความอย่างตรงตัวอักษรจะทำให้เกิดช่องโหว่ได้ว่า ถ้าเพียงการดู หรือเห็น หรือเปิดกายที่เปลือยเปล่า เป็นความผิดที่ร้ายแรงสมควรสาปแช่งแล้ว เหตุใดจึงไม่ระบุความผิดของการร่วมเพศระหว่างพี่น้อง ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าการดู หรือการเปิดกายที่เปลือยเปล่ากัน?
และหากไปดู เลวีนิติ 18 ก็จะเห็นว่า มีการอ้างอิงถึงพฤติกรรมต้องห้ามที่ทำอยู่ในดินแดน ‘คานาอัน’ ดินแดนที่ปกครองโดยเผ่าพันธุ์ที่สืบสายเลือดจากคานาอัน ซึ่งมีพฤติกรรมร่วมเพศกับคนในครอบครัว จึงได้บัญญัติห้ามไว้ เช่น
“เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของบิดาเจ้า หรือกายที่เปลือยเปล่าของมารดาเจ้า นางเป็นมารดาของเจ้า เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของนางเลย” (เลวีนิติ 18:7)
“เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวหรือน้องสาวของเจ้า คือบุตรสาวของบิดาเจ้า หรือบุตรสาวของมารดาเจ้า ไม่ว่าเธอจะเกิดที่บ้านหรือเกิดต่างแดนก็ตาม” (เลวีนิติ 18:9)
“เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของบุตรสาวของบุตรชายเจ้า หรือกายที่เปลือยเปล่าของบุตรสาวของบุตรสาวเจ้า เพราะว่ากายที่เปลือยเปล่าของเขาก็เป็นกายที่เปลือยเปล่าของเจ้าเอง” (เลวีนิติ 18:10)
ผู้ที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ยังให้เหตุผลของการร่วมเพศกับพ่อตนเองเอาไว้ว่า สิ่งที่ฮามทำไปไม่ได้หมายความว่าเขามีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันแต่อย่างใด แต่สิ่งที่เขาทำคือสัญลักษณ์ของการทำลายอำนาจของพ่อตนเองเพื่อขึ้นมามีอำนาจนำเสียเอง เห็นได้จากการที่เมื่อเขาได้ ‘เห็นความเปลือยกายแห่งบิดาของตน’ แล้วก็รีบนำเรื่องนี้ไปบอกกับพี่น้องของเขาทันที
นอกจากนี้ยังมีการตีความในแนวที่สี่ ซึ่งมีน้ำหนักไม่แพ้กัน นั่นคือ ฮามมีเพศสัมพันธ์กับแม่ตัวเอง
ข้อสันนิษฐานนี้ได้รับการผลักดันจาก จอห์น ไซตซ์ เบิร์กมา (John Seitze Bergma) และ สก็อต วอล์กเกอร์ ฮาห์น (Scott Walker Hahn) สองนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฟรานซิสกันในโอไฮโอ ซึ่งชี้ในบทความ Noah’s Nakedness and the Curse on Canaan ว่า คำว่า ‘เห็นความเปลือยกาย’ นั้นเป็นคำที่ถูกใช้กับการมีเพศสัมพันธ์แบบชายหญิงระหว่างคนในครอบครัวทั้งหมด ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายนั้นใช้คำว่า ‘สมสู่’ ชัดเจน
และเมื่อพิจารณาข้อความใน เลวีนิติ 18:7-8 ก็จะเห็นว่า ‘ความเปลือยกายแห่งบิดา’ นั้นแท้จริงน่าจะหมายถึง การสมสู่ระหว่างลูกกับแม่มากกว่า ดังความว่า
“เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของบิดาเจ้าหรือกายที่เปลือยเปล่าของมารดาเจ้า นางเป็นมารดาของเจ้า เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของนางเลย
“เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของภรรยาของบิดาเจ้า เพราะเป็นกายที่เปลือยเปล่าของบิดาเจ้า”
ดังนั้น ความผิดที่แท้จริงของฮามนั้นคือการร่วมเพศกับแม่ตัวเอง ซึ่งการตีความเช่นนี้จะทำให้บริบทต่าง ๆ ลงตัวมากยิ่งขึ้น เพราะใน ปฐมกาล 9 เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าบัญชาให้โนอาห์และลูก ๆ และในบทนี้เมื่อกล่าวถึงฮามก็มักมีสร้อยต่อท้ายว่า ‘บิดาของคานาอัน’ อีกทั้งคานาอันยังต้องเป็นผู้รับบาปเคราะห์ในการกระทำของฮาม จึงมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า คานาอันคือผลผลิตจากการกระทำอันชั่วร้ายของฮาม นั่นคือ คานาอัน เป็นบุตรที่เกิดจากฮามกับแม่ของฮาม
คานาอันเป็นบรรพบุรุษของชนพื้นเมืองในดินแดนคานาอัน (ดินแดนที่พระเจ้าสัญญาจะมอบให้ชาวอิสราเอล) และอียิปต์ ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูของชาวอิสราเอล และในไบเบิลก็มักจะอ้างถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของกลุ่มชนเหล่านี้ว่านิยมเสพสมกับคนในครอบครัวแต่เป็นการร่วมเพศแบบชายหญิง มิได้เป็นการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย การตีความว่าคานาอันเกิดจากการสมสู่ระหว่างคนในครอบครัวจึงยิ่งไปกันได้กับคำสาปส่งต่อชนกลุ่มนี้ในไบเบิล
และการยึดอำนาจพ่อด้วยการเอาภรรยาพ่อมาเป็นภรรยาของตนเองนั้นก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ปรากฏอยู่อย่างแพร่หลายในดินแดนแถบนี้ ขณะที่การร่วมเพศกับพ่อเพื่อแสดงอำนาจเหนือพ่อนั้นไม่ปรากฏว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพื้นที่แต่อย่างใด
ดังนั้นการตีความจากตัวบทในคัมภีร์ตามข้อสันนิษฐานนี้ก็คือ โนอาห์ทำสวนองุ่น ดื่มไวน์เสร็จแล้วก็ ‘เปลือยกาย’ เข้ากระโจม ซึ่งก็คือพยายามมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของตนเอง ‘แต่ไม่สำเร็จ’ อาจด้วยเพราะฤทธิ์ไวน์ทำให้อวัยวะเพศไม่ทำงาน ฮามจึงเข้าไปมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของโนอาห์ (แม่ของฮาม จนสัมฤทธิผลเกิดเป็นคานาอันในเวลาต่อมา) เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับแม่อันเป็นการแสดงถึงอำนาจที่เหนือกว่าพ่อของตนเองแล้ว ฮามก็ไปบอกกับพี่น้องของตนเอง คือ เชมและยาเฟท ฝ่ายเชมและยาเฟทเมื่อได้ทราบเรื่องก็ช่วยกันใช้ผ้า ‘ปกปิด’ สิ่งที่น่าอับอายของบิดา โดยที่ทั้งสองไม่แม้แต่จะหันไปมองความเปลือยเปล่าของบิดา ซึ่งสามารถตีความได้ทั้งตรงตัวและนัยแฝงคือการไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับแม่ตนเองเช่นที่ฮามทำ
โนอาห์จึงสาปให้คานาอัน บุตรชายของฮามที่เกิดจากภรรยาของตนเองให้ต้องเป็น ‘ทาสแห่งทาสทั้งหลายของพี่น้องของเขา’
นี่คือสี่แนวทางของการตีความเรื่องราวการสาปแช่งคานาอันของโนอาห์ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่การตีความอย่างตรงตัวอักษรก็ยังคงได้รับการโปรโมตกันอยู่ แม้ว่าโดยหลักการและเหตุผลแล้ว น้ำหนักของมันค่อนข้างน้อย ถึงอย่างนั้นหลายโบสถ์หลายสำนักก็ยังคงสอนกันเช่นนี้อยู่ แม้ว่ามันจะไม่อาจทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อได้ว่า ความผิดเพียงแค่การมองความเปลือยเปล่าของพ่อแล้วนำเรื่องไปบอกพี่น้องของตน สมควรต่อการถูกสาปให้คนลงเป็นทาสก็ตาม ขณะที่น้ำหนักตอนนี้ไปอยู่ที่ข้อสันนิษฐานว่า กระทำผิดทางเพศเป็นแน่ และเป็นการผิดต่อพ่อด้วย และเป็นไปได้สูงที่ความผิดต่อพ่อนั้น คือการมีเพศสัมพันธ์กับแม่ของตนเอง