คุยกับ ‘เสี่ยบุ๊ง’ ท่อน้ำเลี้ยงที่เคยขายหนังโป๊ตอนอายุ 15 ปี ในวันที่เว็บโป๊ถูกแบน
“คุณดัดจริตผิดบริบท ผิดจังหวะ ประเทศเราวนกันแค่นี้เพราะเราดัดจริตนี่แหละ เราควรเอาความจริงขึ้นมาคุยกันตรง ๆ ดีกว่า”
ช่วงค่ำของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 มีข่าวที่กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็วนั่นคือ เว็บไซต์สื่อลามกอนาจารชื่อดังอย่าง ‘พอร์นฮับ’ (Pornhub) ที่ถูกปิดกั้นการเข้าถึงจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงได้ออกมาให้เหตุผลว่า การแบนสื่อนอกครั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งศาล และได้รับการร้องเรียนจากพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก
หลังจากมีการตีข่าวออกไป ก็เกิดกระแส #SavePornhub ทันที ไม่ว่าจะเป็นหน้าฟีดเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ ที่ต่างพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จนในที่สุด วันต่อมา 3 พฤศจิกายน 2563 ช่วง 16.00 น. ม็อบทวงคืนพอร์นฮับก็มีการนัดรวมตัวกันที่ด้านหน้าอาคาร B ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ
The People เดินลัดเลาะไปตั้งแต่หน้างานที่มีการตั้งรถลูกชิ้น ขนมโตเกียว หมูทอด กันตามปกติ จนถึงด้านหน้ารถขยายเสียงที่เราได้ไปพบกับ ปกรณ์ พรชีวางกูร หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เสี่ยบุ๊ง” เสี่ยขายหมูท่อน้ำเลี้ยงชื่อดัง ที่เป็นที่รู้จักกันดีในม็อบราษฎร 2563
เสี่ยบุ๊งบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการปิดเว็บไซต์ครั้งนี้แน่นอน เพราะนี่คือ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในการรับชมสื่อ เป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการเสพสื่อของประชาชนโดยตรง หากจะพูดถึงวิดีโอที่มีเนื้อหาส่อไปในทางอาชญากรรมก็ควรจะพิจารณาเป็นรายกรณีไป เขาเปรียบเทียบว่า เว็บไซต์พอร์นฮับก็เหมือนช่องโทรทัศน์ ถ้ามีเนื้อหาไม่เหมาะสมหลุดมาสักอัน ก็ต้องจัดการแบบ ‘case by case’ กรณีนี้จึงไม่แฟร์กับผู้บริโภคอย่างยิ่ง
“เขาบอกว่า ศาลสั่ง ผู้ใหญ่ไม่พอใจ พ่อแม่ไม่พอใจ ผมในฐานะที่เป็นพ่อคน ผมไม่เห็นมีปัญหากับการที่ลูกจะดูหนังโป๊เลย ผมถามลูกด้วยซ้ำว่า เฮ้ย ตอนนี้เว็บฯ ไหนที่แม่งไม่มีโฆษณาบ้างวะ ลูกก็บอกเว็บฯ นี้เลยป๊า ลูกผมดูหนังโป๊ ทุกวันนี้แม่งก็ยังเป็นเด็กดีอยู่ ส่วนที่รัฐมนตรีบอกว่า มีพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กไม่พอใจ ผมก็ไม่ทราบว่า พ่อแม่ของเด็กท่านไหน เพราะเพื่อนๆ ผมที่มีลูกทุกคน ก็ไม่มีใครมีปัญหากับการที่ลูกดูหนังโป๊สักคน”
เสี่ยบุ๊งเล่าถึงลูกชายวัย 18 ปีให้เราฟังต่อว่า เขาเริ่มคุยเรื่องเพศศึกษาตั้งแต่ลูกชายอายุได้ 14-15 ปี โดยคำถามแรกที่เขาถามลูกคือ “ลูกช่วยตัวเองเป็นหรือยัง” ซึ่งลูกชายก็ตอบตามตรงว่า “เป็นแล้วครับ” เสี่ยบุ๊งบอกว่า การเปิดใจคุยกับลูกแบบนี้ ทำให้เขากล้าปรึกษาเราทุกเรื่อง มีอะไรลูกก็จะกลับมาเล่าให้ฟังตลอด เขาชวนลูกคุยด้วยว่า ถ้าสนใจจะไปเที่ยวอาบอบนวดก็บอกได้เลย เพราะมองว่า เรื่องนี้ลูกต้องเข้าถึงโดยผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มาก่อน ไม่ใช่ให้ไปคลำหาข้างนอก แล้วสุดท้ายลูกชายอาจจะมีโรคติดต่อกลับมาบ้าน
“ผมเคยขายหนังโป๊ด้วยนะ” เขาพูดขึ้นมาจนเรานึกสนใจเลยถามต่อไปว่า ไปไงมาไงถึงไปขายหนังโป๊ได้ เสี่ยบุ๊งเล่าย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนที่ยังอายุราวๆ 14-15 ปี ตอนนั้นเขาไม่อยากเรียนหนังสือต่อแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ พ่อของเขาเลยบอกว่า มีเพื่อนเป็นเจ้าพ่อขายหนังโป๊อยู่แถวคลองถม ลองไปรับมาขายดูสิ เสี่ยบุ๊งบอกว่า ตอนนั้นไปขายอยู่ที่ตลาดนัดลุงเพิ่ม หลังการบินไทย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นแอร์โฮสเตส แรก ๆ ที่มาซื้อก็มีความขวยเขินกันอยู่ แต่หลังจากเป็นลูกค้าประจำ เจอกันบ่อยขึ้น เวลามีแผ่นหนังมาใหม่ก็บอกลูกค้าแอร์โฮสเตสเหล่านี้เป็นประจำ
‘ความเขิน’ ของแอร์โฮสเตสตรงนี้ก็สะท้อนอีกเหมือนกันว่า การปิดกั้นสื่อลามกอนาจารในประเทศเรายังคงเส้นคงวามาตลอด เสี่ยบุ๊งมองว่า หนังโป๊ไม่ผิด และไม่เคยผิด ทำไมคนเราต้องเขินเวลาดูหนังโป๊ เพราะอันที่จริงแล้ว มันคือ สิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทั่วถึงกัน
เสี่ยบุ๊งชักชวนเราให้ฟังการปราศรัยเวทีหน้าอาคารบีต่อเพราะว่า วันนี้จะมีการพูดเรื่องเซ็กซ์ทอย รวมถึงการค้าประเวณีหรือ ‘sex worker’ ด้วย เขายกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นว่า สองประเทศนี้เป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีเสรีในเรื่องสื่อที่เกี่ยวกับเพศ และยังมีสถิติการข่มขืนที่น้อยกว่าไทยด้วยซ้ำ ฉะนั้น หากจะให้เหตุผลเรื่องศีลธรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมในการบังคับใช้กฎหมายสื่อลามก ก็ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดฝาผิดตัวไปหน่อย ประเด็นนี้ต้องได้รับการพูดถึงในที่สาธารณะ และเอาความจริงขึ้นมาพูดคุยกันจะดีที่สุด
“ทำไมเซ็กซ์ทอยถึงเป็นเรื่องผิดกฏหมาย แต่ปลัดขิกเป็นสิ่งที่เอาไว้เคารพบูชา ประเทศแห่งการย้อนแย้งในย้อนแย้ง ในขณะที่คุณมาไล่ปิดกั้นเว็บโป๊ คุณไม่ให้ทุกคนเข้าถึงสื่อได้อย่างง่ายดาย แต่รายได้อันดับ 1 ในประเทศนี้มาจากการท่องเที่ยว ผมถามว่า ฝรั่งที่เขามาเที่ยวภูเก็ต นานา พัฒน์พงษ์ เนี่ย เขามาสวดมนต์เหรอครับ เราต่างรู้ว่าฝรั่งเขามาทำอะไร มันคือรายได้ที่สำคัญของประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งเราปิดกั้นแล้วบอกว่า เด็กไม่ควรดูผมว่า มันทุเรศ อย่าดัดจริตกันผิดเรื่องครับ”
ถ้าการปิดกั้นเซ็กซ์ทอย หรือสื่อลามกอนาจารยังไม่แปรผกผันกับอัตราคดีข่มขืน
เราคงต้องมาทบทวนกันใหม่ว่า สรุปแล้ว แก่นแกนของปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหน
และเพราะอะไร ประเทศที่ตั้งตนว่า เป็นเมืองแห่งศีลธรรม ถึงยังคงมีอาชญากรรมทางเพศ
นี่คือคำถามที่ชวนคิดกันต่อไป...
.
เรื่อง: พิราภรณ์ วิทูรัตน์