04 พ.ย. 2563 | 16:18 น.
ถาม : ทำไมตอนแรกถึงปฏิเสธที่จะรับบทหลางผิง
ตอบ : ตอนแรกที่ปฏิเสธเพราะรู้สึกว่าบทนี้ค่อนข้างมีความกดดันสูง เนื่องจากโค้ชหลางผิงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และเขาคือตัวแทนของผู้หญิงทั่วโลก เลยกลัวมากที่จะแสดงความเป็นหลางผิงออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่พอได้ศึกษาบทและอ่านสคริปต์แล้ว รู้สึกเหมือนกำลังได้เป็นนักวอลเลย์บอลหญิง อีกทั้งยังมีคำพูดของโค้ชหลางผิงที่กล่าวไว้ว่า “หากเธอไม่ลองทำดู จะรู้ได้ยังไงว่าจะแพ้หรือชนะ ฉะนั้นต้องมีความกล้าที่จะลองทำ” หลังจากอ่านสคริปต์นี้แล้ว ก็เลยพูดกับตัวเองว่า “โอเค งั้นฉันจะลองดู” นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสสัมภาษณ์โค้ชหลางผิงรวมทั้งนักกีฬาคนอื่นๆตอนสัมภาษณ์พวกเขามีเหงื่อไหลตลอดเวลานอกจากนี้ตอนดำเนินการถ่ายทำทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังขึ้นเรื่อยๆในการแสดงประมาณว่าถ่ายบทนี้เสร็จแล้วอยากจะถ่ายบทถัดไปต่อทันที
ถาม : ได้ยินมาว่านอกจากจะรับบทหลางผิงแล้วยังช่วยด้านการวางแผนอีกด้วย
ตอบ : อ่อ ใช่ค่ะ คือทุกคนจะสามารถมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นบทตัวละครในสคริปต์บางตัว หรือแม้แต่การสร้างตัวละครเอง ทุกคนก็สามารถปรึกษาหารือกันได้ตลอด ฉันยังรู้สึกว่าถ้าทุกคนมีส่วนร่วมแบบนี้จะสามารถทำให้สร้างหนังออกมาได้ดีมากขึ้น ส่วนคนที่มาแสดงร่วมกัน พวกเขามีความสำคัญมาก ถ้าหากสมมติว่าแค่ไปเล่นตามบทเฉย ๆ ฉันรู้สึกว่าอาจจะไม่เพียงพอ ต้องใส่ความรู้สึก การมีส่วนร่วม ความเห็นอกเห็นใจกัน รวมทั้งความคิดเห็นของแต่ละคน แบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าจะสามารถทำให้ผลงานออกมาได้ดียิ่งขึ้น
ถาม : เมื่ออธิบายความเป็นหลางผิง เขาให้ความสำคัญมากกับรายละเอียดการเคลื่อนไหว หรือ สปิริต จิตวิญญาณ ความคิดจากภายในมากกว่ากัน
ตอบ : ฉันคิดว่าเริ่มจากภายใน คือไม่ได้แค่แสดงเลียนแบบรูปร่างหน้าตาของเขาเท่านั้น ตอนที่ฉันไปคุยกับโค้ช ตอนนั้นเขากำลังฝึกซ้อมอยู่ ก็ดูเขาฝึกซ้อมมองไปที่แววตาของเขา และตอนที่ได้พูดกับเขา ฉันรู้สึกได้ถึงคำที่ว่าไม่มีการยอมแพ้ แสดงให้เห็นถึงพลังของการไม่ยอมแพ้ของทีมชาตินักวอลเลย์บอลหญิงจีน ที่มีแต่ความต้องการที่จะชนะทั้งนี้ก็ไม่หวาดหวั่นกับคำว่าพ่ายแพ้ ในตอนนั้นเองที่ได้เจอโค้ช ความรู้สึกนั้นก็ได้ซึมซับไปในตัว และคิดว่าจะต้องนำความรู้สึกเหล่านี้แสดงออกมาให้เหมือนกับโค้ชหลางผิงได้มากที่สุด อีกมุมของโค้ชก็มีทั้งความอ่อนโยนและสวยงาม แต่อีกมุมก็มีความเข้มแข็งซ่อนอยู่ นอกจากนี้ทางด้านจังหวะการเคลื่อนไหวาทางกายยังมีความว่องไวมาก
ถาม : การที่ได้รับบทบาทที่มีต้นแบบเป็นบุคคลในชีวิตจริงๆยากหรือป่าว
ตอบ : ฉันรู้สึกว่ายากค่ะค่อนข้างยากเลยเนื่องจากเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมีชีวิตจริงๆผู้คนต่างประทับใจในตัวเขาหากแสดงผิดเพี้ยนไปอาจจะกลายเป็นข้อผิดพลาดได้ง่ายจึงต้องมีสมาธิอย่างมากในการแสดงดังนั้นการที่จะแสดงให้เหมือนเขาจริงๆทั้งยังเป็นบุคคลทางสังคมถือว่าเป็นบทที่ยากพอสมควรทุกวันเห็นข่าวทางออนไลน์บางครั้งก็คุยกับทางผู้กำกับว่ายังมีความรู้สึกกลัวๆสำหรับบทบาทนี้อยู่เลยจะแสดงบทนี้ได้จริงๆเหรอแต่ระหว่างการถ่ายทำก็ทำให้เข้าใจบทมากขึ้นและสามารถสื่อออกมาได้เสมือนเป็นโค้ชหลางผิงจริงๆแต่บางทีก็ยังมีความรู้สึกกดดันจนทำให้พูดไม่ออกจริงๆ
ถาม : คุณได้คุยกับไป๋ล่างที่รับบทลูกสาวในหนังเรื่องนี้ไหม
ตอบ : เคยค่ะ เวลาแต่งหน้าเสร็จแล้ว เขาก็พูดกลับมาว่า “นี่คือแม่ของฉัน” เหมือนเวลาที่เขามองแม่ของเขา แล้วก็เวลาฉันมองไปที่เขาแล้วก็คิดว่าเหมือนตัวเองจัง บุคลิกเขาจะคล้ายกับหลางผิงมาก เวลาเขายิ้มก็จะมีลักยิ้มสองข้าง แล้วก็เหมือนหลางผิงจะลักยิ้มหนึ่งข้าง ตอนที่เราเจอกันตอนนั้น มองตากันก็จะมีความรู้สึกถึงแววตาที่ไม่เหมือนกัน มีความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร
ถาม : เล่าถึงประสบการณ์ตัวเองหรือความรู้สึกเกี่ยวกับทีมวอลเลย์บอลหญิง
ตอบ : ตอนเด็ก ๆ อยู่บ้านเคยดูทีมวอลเลย์บอลหญิงทางทีวี เลยพอได้เห็นการแข่งขันมาบ้าง ฉันก็ติดตามมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจกีฬาวอลเลย์บอลมากนัก ยิ่งตอนยังเด็กแทบจะไม่เข้าใจเลย พอโตขึ้นมาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าวอลเลย์บอลมีวิธีการเล่นหรือนับคะแนนอย่างไร แต่ว่าพอได้ดูทีมวอลเลย์บอลหญิงแล้วทำไมรู้สึกดูเท่ห์จัง หลังจากการแข่งขัน การชนะในแต่ละครั้ง พ่อแม่ พี่ชาย ฉันมีพี่ชายสามคน พี่สาวหนึ่งคน ซึ่งแก่กว่าประมาณสิบกว่าปี พวกเขารู้สึกตื่นเต้นไปด้วยทุกครั้ง เลยรู้สึกว่าความทรงจำในครั้งนั้น คิดว่าพวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนของประเทศ เป็นดั่งฮีโร่ในสายตาทุกคน พอถึงตอนที่ฉันได้รับบทนี้ ก็ไปถามพี่ชายและเพื่อน ๆ รอบตัว ว่าตอนนั้นความรู้สึกพวกเธอเป็นอย่างไรบ้าง พี่ชายฉันยังเป็นแฟนคลับตัวยงของทีมนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง ตอนที่ไปหาฉัน พี่ชายยังถามว่าเมื่อไหร่โค้ชหลางผิงจะมา เขาเป็นแฟนคลับตัวจริงเลยล่ะ ตอนที่กำลังถ่ายทำก็มีแฟนคลับของทีมวอลเลย์บอลมาชิดติดขอบติดตามเสมอ ฉันก็ติดตามดู แต่ไม่ได้ถึงกับแบบแฟนคลับขนาดนั้น เพราะฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่หลังจากที่ได้เข้าไปสัมผัสกับชีวิตในทีมวอลเลย์บอลหญิง เลยคิดว่าถ้าหากมีโอกาสเกิดใหม่อีกครั้ง ฉันอยากจะเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลบ้าง และเต็มใจจะทำมันจริง ๆ
ถาม : ภาพของรอยเตอร์ Leap ตบให้สนั่น เห็นคุณกำลังจดบันทึกในสนามฝึกซ้อม บอกได้ไหมว่าบันทึกอะไรบ้าง
ตอบ : ตอนที่เดินทางไปที่เป่ยหลุน ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นพวกเขาฝึกซ้อม พวกเขาไม่ได้ซ้อมตลอดเวลา มีช่วงพักเบรก บังเอิญเป็นสถานที่ฝึกซ้อม เลยมีเวลาประมาณสิบวันให้ฉัน ฉันก็ไปพักที่นั่นเลย และในแต่ละวันก็ตื่นแปดโมงซ้อมถึงตอนพักเที่ยง พวกเขาพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายก็อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา นอกจากนี้เพิ่งได้ทราบว่าเอวและเท้าของโค้ชหลางไม่ค่อยดี เลยต้องนั่งบ้างและมองดูลูกทีมฝึกซ้อม แต่ในช่วงเวลาที่ฉันไป ยังเคยพูดกับโค้ชหลางว่าสิบกว่าวันมานี้ ฉันยังไม่เคยเห็นโค้ชนั่งเลย ลูกทีมของโค้ชพูดขึ้นมาว่าเพื่อฉันเลยที่อยากจะให้เห็นตอนเวลาซ้อมจริง ๆ โค้ชเป็นอย่างไร ทั้งน้ำเสียง วิธีการ รวมทั้งท่าทางเล่นวอลเลย์บอล จากนั้นมาฉันก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เพราะร่างกายของโค้ชก็ไม่ค่อยดี ตอนเวลาถ่ายทำก็นั่งไม่ได้ โค้ชเลยต้องยืนตลอดเวลา กิจวัตรประจำวันของทีมวอลเลย์บอล เช่น ตอนเช้าตื่นเช้ามาเข้าแถวเรียงหนึ่ง คุยกันว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง พูดจบก็เป่านกหวีด ไปฝึกซ้อมได้ ส่วนตอนเย็นซ้อมเสร็จก็เป่านกหวีด เข้าแถว อย่างกับค่ายทหารของนักรบประมาณนั้น พอฉันได้รู้เบื้องหลังแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าเกิดพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็จะรู้สึกน้ำตาไหล พวกเขาฝึกหนักมาก เพื่อการแข่งขัน พวกเขาหวังที่จะชนะ แต่ก็ไม่หวั่นกับความพ่ายแพ้ ตอนที่ฉันจดบันทึก ก็ได้จดทุกอย่างทั้งคำพูด หน้าที่ทั้งหมด ส่วนวิธีการฝึกซ้อมของพวกเขาเป็นการฝึกแบบสมัยใหม่ ยุคใหม่ เช่น การเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ช่วยในการฝึกซ้อม ตอนที่ฉันจดบันทึกยังรู้สึกว่าแต่ละอย่างยากเกินไป
ถาม : คุณกับหลางผิงต่างก็เป็นผู้หญิงที่โดดเด่นมาก คิดว่าจุดที่เหมือนกันมีอะไรบ้าง
ตอบ : ฉันคิดว่าจุดที่เหมือนกันของเราคือ การไม่ยอมแพ้ คือแค่ให้โอกาส ก็พร้อมจะสู้ต่อ อยากจะทำให้ดีที่สุด เหมือนกับคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แบบนั้น
LEAP ตบให้สนั่น
5 พฤศจิกายน ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพยนตร์