แซ็ค โกเวน นักมวยปล้ำพิการผู้เดินตามฝันด้วยขาเพียงข้างเดียว
เมื่อเราทุกคนลืมตาดูโลก ความคาดหวังมากมายก็เหมือนจะถาโถมเข้ามาหาเราทันที ทั้งจากครอบครัวที่อยากผลักดันให้เราประสบความสำเร็จ ทั้งจากตัวเองที่กำลังเติบโตและมีความฝันที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือบริบทพื้นฐานของความสัมพันธ์และการดำรงอยู่
จุดเริ่มต้นของเด็กชาย แซคารี มาร์ค โกเวน (Zachary Mark Gowen) หรือที่แฟนมวยปล้ำรู้จักกันในนาม แซ็ค โกเวน (Zach Gowen) ก็ไม่ต่างกัน เขาคือเด็กน้อยจากมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่เติบโตด้วยความรักและความเอาใจใส่ของครอบครัว ทว่าในบางครั้งโชคชะตาก็พร้อมจะเล่นตลกกับหัวใจของคนเสมอ
เพราะเมื่อเขาอายุได้ 8 ปี ทีมแพทย์ได้ตรวจพบเชื้อมะเร็งและทำให้เขาต้องตัดขาข้างซ้ายทิ้งทันทีเพื่อรักษาชีวิต ... มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่มีทางเลือก และสิ่งเดียวที่ครอบครัวจะทำให้เขาได้ก็คือการส่งแรงใจโดยไม่รู้เลยว่ามันจะทดแทนกับความสูญเสียของเด็กน้อยในวัยที่ควรได้เล่นสนุกกับชีวิตหรือไม่
ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดทางใจ แต่ความเจ็บปวดทางกายก็ดูจะหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้
เขาใช้เวลา 3 สัปดาห์หลังการผ่าตัดเพื่อทำกายภาพอยู่ในโรงพยาบาล และเมื่อแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ก็เป็นหน้าที่ของครอบครัวที่จะต้องหาความบันเทิงอะไรสักอย่างมาเบี่ยงเบนความสนใจของแซ็คให้ออกจากความเจ็บปวด หรืออาจสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่สามารถเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนั้นเองที่พวกเขาตัดสินใจซื้อรายการ WWF รอยัล รัมเบิล ปี 1992 มาดู ซึ่งเราได้เห็น ‘เนเจอร์ บอย’ ริค แฟลร์ คว้าชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่และกลายเป็นแชมป์โลกคนใหม่ของสมาคม
เวลา 3 ชั่วโมงบนหน้าจอ เอาชนะ 3 สัปดาห์บนเตียงนอนอย่างราบคาบ แซ็คพูดถึงความประทับใจในค่ำคืนนั้นว่า “ในขณะที่กำลังดูมวยปล้ำ ผมไม่รู้สึกเจ็บแผล ไม่เศร้าที่ต้องเสียขา และไม่รู้สึกแย่กับการทำคีโมฯ เลยด้วยซ้ำ ผมเคยรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นเมื่อการผ่าตัดจบลง แต่มวยปล้ำทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้หนักหนาอะไรเลย... นั่นคือครั้งแรกที่ผมรู้สึกต้องมนตร์กับสิ่งที่เรียกว่ามวยปล้ำอาชีพ”
แซ็คสูญเสียคุณพ่อไปตั้งแต่ 3 ขวบ แต่ขณะเดียวกันเขามีคุณแม่ที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมีคุณป้าที่ย้ายเข้ามาอยู่กับเขาเพื่อเติมเต็มให้มั่นใจว่าเขาจะเติบโตโดยไม่รู้สึกขาดอะไร ดังนั้นหากเขาทำให้มะเร็งและการถูกตัดขากลายเป็นอีกหนึ่ง ‘ความสูญเสีย’ ที่ครอบครัวต้องพบเจอ มันก็ดูเลวร้ายเกินไป และเขาเองก็เชื่อมั่นในศาสตร์ของมวยปล้ำที่ว่า ‘เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ในสังเวียนผ้าใบ’ นั่นคือสิ่งที่จะมาลบล้างปมด้อยตลอดจนพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า สิ่งที่เขาถูกตัดไปมีเพียงแค่ขาซ้าย
เพราะหัวใจนั้นยังคงเต้นอยู่ และมันดูแข็งแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แม้จะอยากโลดแล่นในสังเวียนระดับโลกดูบ้าง แต่เขาก็รู้ตัวว่า ‘นักมวยปล้ำขาเดียว’ เป็นอะไรที่ใหม่มาก และเขาต้องค่อย ๆ ก้าวทีละเล็กทีละน้อยให้ได้เสียก่อน
แซ็คเล่าว่าเขารู้ตัวดีว่าตนเองไม่สามารถใส่ท่าที่จำเป็นต้องใช้ขาสองข้างได้ ทั้งนี้เพราะก่อนจะไปหาโรงเรียนมวยปล้ำเพื่อเรียนรู้ เขาได้ลองฝึกฝนด้วยตัวเองก่อนแล้วเพื่อหาคำตอบว่า ข้อจำกัดของคนพิการแบบเขานั้นมีอะไรบ้าง ทั้งนี้เขามองว่าคนที่สอนแต่คนปกติมาตลอดน่าจะนึกไม่ออกว่าจะสามารถสอนคนพิการได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงฝึกพื้นฐานมวยปล้ำเบื้องต้นจนชำนาญแล้วค่อยพัฒนาไปฝึกการตีลังการูปแบบต่าง ๆ
การฝึกนี้เองทำให้เขารู้ว่าการขึ้นปล้ำด้วยขาเทียมเป็นเรื่องยาก และมันน่าจะดีกว่าหากเขาถอดมันทิ้งไปเลย เขาฝึกหนักมากจนสุดท้ายก็ได้ท่าไม้ตายเป็นของตัวเอง นั่นคือ ‘ตีลังกาจากที่สูงด้วยขาข้างเดียว’ (One-Legged Moonsault)
แต่ปัญหาต่อมาก็คือการหาคนฝึก เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะมีโรงเรียนไหนรับคนพิการเข้าไปโดยต้องเอาชื่อเสียงโรงเรียนเป็นเดิมพัน แต่สุดท้ายเขาก็ได้เทรนเนอร์มือดีอย่าง ทรูธ มาร์ตินี่ (Truth Martini) ซึ่งเป็นอดีตนักมวยปล้ำชั้นนำของสมาคมริง ออฟ ออเนอร์ (Ring of Honor - ROH) มาสอน โดยแซ็คพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า
“... ทรูธคือคนเดียวที่เชื่อมั่นและอยากผลักดันผมให้ไปไกลขึ้น เขาคิดว่าผมสามารถทำอะไรได้อีกมากมายในวงการนี้”
จากจุดเริ่มต้นที่หวังเพียงขึ้นปล้ำกับสมาคมอิสระในวันหยุดสุดสัปดาห์ และหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในวันปกติ แต่ด้วยความพยายามของแซ็คและความเชื่อมั่นของมาร์ตินี่ พวกเขาตัดสินใจส่งคลิปการปล้ำไปที่สมาคม TNA สมาคมน้องใหม่มาแรงในขณะนั้น เขาได้ขึ้นปล้ำในแมตช์ทดสอบทักษะและทำผลงานได้ดีมากจนสมาคมสนใจเซ็นสัญญาระดับอาชีพจริง ๆ
แต่บางทีเมื่อโชคชะตาเข้าข้างแล้ว อะไรก็ฉุดไม่อยู่อีกต่อไป เพราะเมื่อข่าวของ ‘นักมวยปล้ำขาเดียว’ ไปเข้าหูของ WWE สมาคมมวยปล้ำอันดับหนึ่งของโลก พวกเขาก็พยายามยื่นข้อเสนอตัดหน้าทันที และทางแซ็คเองพอรู้ข่าวก็ยินดีรับข้อเสนออย่างไม่ลังเลด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า การขึ้นปล้ำกับ WWE เป็นมากกว่าความฝัน เพราะครั้งหนึ่งโชว์ของพวกเขาเคยเปลี่ยนชีวิตอันโหดร้ายของเจ้าตัวมาแล้ว
ในฐานะแฟนมวยปล้ำของ ฮัลค์ โฮแกน (ผู้ที่ทำให้มวยปล้ำอาชีพกลายเป็นป็อปคัลเจอร์), ชอว์น ไมเคิลส์ (นักมวยปล้ำระดับตำนานที่โดดเด่นเรื่องความกวนและภาพลักษณ์ของหนุ่มหล่อ) และ เรย์ มิสเตริโอ จูเนียร์ (ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักมวยปล้ำที่ดีที่สุดในโลก) การได้เซ็นสัญญากับ WWE ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อ โดยเฉพาะเมื่อเรามองความจริงดูว่าเขาเป็นคนพิการที่กล้าฝันใหญ่ขนาดนี้ด้วยขาเพียงข้างเดียว
เขาเซ็นสัญญากับ WWE ในช่วงต้นปี 2003 ในขณะที่มีอายุได้เพียง 19 ปี และถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญากับสมาคม นอกจากนี้เขายังก้าวขึ้นไปที่ค่ายหลักเลยโดยไม่ต้องผ่านค่ายพัฒนาทักษะอย่าง OVW ในขณะนั้นด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม กลับมีหลายคนที่เชื่อว่า WWE เซ็นสัญญาแค่เพราะอยากใช้ประโยชน์จาก ‘ของแปลก’ และเพื่อ ‘กันท่า’ สมาคมน้องใหม่อย่าง TNA เท่านั้น ไม่ได้กะนำไปใช้งานแต่อย่างใด
แต่ความแคลงใจทั้งหมดก็จบลงในศึกสแมคดาวน์วันที่ 15 พฤษภาคม 2003 เมื่อเขาได้เปิดตัวกับสมาคมและมีบทบาทร่วมกับตำนานอย่าง ‘ราวดี้’ ร็อดดี้ ไพเพอร์ (นักมวยปล้ำฝ่ายเลวที่ได้ชื่อว่ามีทักษะการพูดดีที่สุดในประวัติศาสตร์) และขวัญใจของตนอย่าง ฮัลค์ โฮแกน โดยวินาทีที่ไพเพอร์ดึงขาเทียมของเขาออกมาถือเป็นจังหวะสำคัญในประวัติศาสตร์มวยปล้ำไปแล้ว
ความสำเร็จของเขายังก้าวไปอีกขั้นด้วยการขึ้นปล้ำกับ วินซ์ แม็กแมน เจ้าของสมาคม รวมถึงบร็อก เลสเนอร์ (ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของวงการมวยปล้ำอเมริกาในขณะนั้น) ซึ่งแม้เขาจะโดนสัตว์ประหลาดอย่างบร็อกอัดจนเละเทะ แต่ก็ถือว่าเขาทำหน้าที่ของตนเองตามคาแรคเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
เกร็ดเล็กน้อยคือเขาเล่าว่าตอนนั้นสมาคมอยากผลักดันบร็อกให้ดูเลวสุดขั้ว ดังนั้นเขาจึงเสนอให้ทีมงานใช้ความสงสารของผู้ชมให้เป็นประโยชน์ ด้วยการเชิญคุณแม่มาที่ข้างเวทีและให้บร็อกเล่นงานตนอย่างไร้ทางสู้จนเลือดอาบ ต่อหน้าคุณแม่ ซึ่งท้ายสุดแล้วมันก็สามารถยกระดับความเลวของบร็อกได้อย่างที่สมาคมต้องการจริง ๆ ทั้งนี้เขาให้เครดิตบร็อกว่าทำงานอย่างมืออาชีพมาก และช่วยปกป้องคนพิการแบบเขาได้ดีจริง ๆ กล่าวคือบร็อกใช้เวลาเรียนรู้เรื่องคนพิการอย่างจริงจัง และฝึกซ้อมบทกับเขามากเป็นพิเศษ เพราะตระหนักว่าจะสู้กับเขาแบบตอนสู้กับคนปกติไม่ได้ ดังนั้นภายใต้ภาพที่ดูดิบเถื่อนดังกล่าว มันคือความปลอดภัยที่ทั้งสองต้องฝึกร่วมกันนับครั้งไม่ถ้วนจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อความสำเร็จเข้ามาหาเขาตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะดีนัก การขึ้นปล้ำกับคนดัง ๆ อย่าง จอห์น ซีน่า, เดอะ บิ๊ก โชว์ , แมตต์ ฮาร์ดี้ และอีกนับไม่ถ้วนกลับกลายเป็น ‘ความกังวลใจ’ มากกว่า ‘ความภูมิใจ’ นอกจากนี้เขายังไม่รู้ตัวว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรตอนอยู่หลังฉาก เขาโด่งดังเร็วเกินไป ได้อยู่ในระดับสูงของสมาคมเร็วเกินไป และการเดินทางตลอดเวลาทำให้เขาเครียดโดยไม่รู้จะหาคนวัยเดียวกันที่พร้อมให้คำปรึกษาอยู่ใกล้ ๆ ได้อย่างไร
เหตุนี้พัฒนาการของเขาที่ช้ากว่าความคาดหวัง และวุฒิภาวะที่ไม่โตตามวัยจนถูกปฏิเสธการร่วมงานจากนักมวยปล้ำหลาย ๆ คนก็กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ WWE ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเจ้าตัวหลังอยู่กับสมาคมได้ราว 1 ปีเท่านั้น
จงอย่าลืมว่าโอกาสทุกอย่างที่ได้รับ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถนำมาตัดสินว่าคนคนนั้นมีคุณค่าเหนือกว่าใคร แท้จริงโอกาสมักมาพร้อมกับหมุดหมายแห่งเวลาที่อาจบังคับให้เราต้องโตขึ้น เก่งขึ้น อ่อนไหวขึ้น หรืออะไรก็ได้ที่เป็นองค์ประกอบของการรักษาโอกาสนั้นไว้
เหตุนี้มันจึงไม่เกี่ยวว่าเราอายุเท่าไร แต่มันเกี่ยวกับว่าเราจะแบกรับโอกาสนั้นไว้ได้หรือไม่มากกว่า
ภายหลังจากที่ถูกยกเลิกสัญญา เขากลายเป็นคนที่แตกสลายอย่างสิ้นท่าจนเริ่มหันไปติดเหล้าและยาเสพติด โชคดีที่ได้เข้าร่วมโครงการบำบัดที่ WWE ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด (แบบเดียวกับที่ สก็อต ฮอลล์ เคยเข้าร่วม) เขาจึงหายขาดและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ จากนั้นเขาจึงกลับมาขึ้นปล้ำอีกครั้ง และแม้จะไม่ได้กลับไป WWE แต่ก็ยังได้ขึ้นปล้ำในสมาคมอิสระดี ๆ มากมาย รวมไปถึงอิมแพ็ก เรสต์ลิง (IMPACT Wrestling) หรือ TNA เดิม ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของทุกอย่างอีกด้วย
เขาย้อนเล่าให้เราฟังว่า WWE ให้เกียรติตนมากจนถึงวันสุดท้าย โดยสมาคมซื้อตั๋วเชิญเขามาแจ้งเรื่องการยกเลิกสัญญาถึงที่ออฟฟิศ (ปกติแล้วจะใช้การโทรฯ แจ้ง) ทั้งนี้ จิม รอส ทีมงานอาวุโสเป็นคนแจ้งข่าวร้ายนี้ด้วยตนเอง แต่ก็เป็นการคุยอย่างมีเหตุผล พร้อมบอกว่าสมาคมยังคงเปิดรับเขาเสมอในอนาคต โดยคำแนะนำที่ WWE มอบให้ระบุว่า
“จงทำตัวเองให้เก่งขึ้น ลองไปขึ้นปล้ำในสมาคมอิสระเยอะ ๆ เช่นฝึกรับบทเป็นฝ่ายธรรมะในสมาคมหนึ่ง และฝึกเป็นฝ่ายอธรรมในอีกสมาคมหนึ่ง”
ในเบื้องหน้ามันดูเป็น ‘คำบอกลา’ แต่ถ้าเราลองอ่านถึงสิ่งที่แฝงอยู่ระหว่างบรรทัด เราจะสัมผัสได้ว่าแท้จริงมันคือประโยคเดียวกับที่ ทรูธ มาร์ตินี่ เคยบอกเขาและทำให้ปาฏิหาริย์ทั้งหมดเกิดขึ้น
‘นายยังทำอะไรได้อีกเยอะ’ และครั้งนี้มันจะไม่ใช่แค่เรื่องมวยปล้ำ แต่พวกเขาหวังว่า ‘แซ็ค โกเวน’ จะสามารถเรียนรู้การใช้ชีวิตไปด้วยพร้อม ๆ กัน
‘อย่ายอมให้ใครหยุดฝัน’ เป็นคำง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริงเสมอ เราหวังว่าเรื่องราวของ ‘นักมวยปล้ำขาเดียว’ จะเป็นแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ของพวกคุณทุกคน
เรื่อง: ปรัชญ์ภูมิ บุณยทัต