ฮันจีพยอง Start-Up: อยากฟังอนาคต หรือความฝันที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง?
“อยากฟังอนาคต หรือความฝันที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง?”
นี่คือคำถามของ ‘ฮันจีพยอง’ ตัวละครที่โดดเด่นในซีรีส์เกาหลี Start-Up กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในวินาทีนี้ เรื่องราวของวัยหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และความทะเยอทะยานที่จะสร้างธุรกิจ Start-Up ให้เป็นจริง พร้อมด้วยเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นที่มีจุดเริ่มต้นจากจดหมายเมื่อ 15 ปีก่อน
‘ฮันจีพยอง’ หรือ ‘พระรอง’ ที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นตรงที่พูดโผงผาง ตรงไปตรงมา คำพูดของเขาเปรียบเสมือนดาบแหลมคม สร้างความเจ็บปวดให้คนหลายคนที่ได้ยิน
แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับเป็นตัวละครที่เป็นที่รักของคนดูหลายคน มีคนดูจำนวนมากเอาใจเชียร์อยากให้เขาขึ้นมาเป็นพระเอกเลยทีเดียว
หากเรามองอย่างผิวเผิน ฮันจีพยองเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้สักเท่าไร และยิ่งถ้าคุณเป็นเจ้าของ Start-Up ที่กำลังเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ ๆ อาจสูญเสียความมั่นใจ จนถึงขั้นอยากจะล้มเลิกทุกอย่าง
เหมือนกับทีมซัมซานเทค ทีมที่รวมตัววิศวกรมากฝีมือ ที่น่าจะพาธุรกิจ Start-Up ไปได้ไกล แต่ฮันจีพยองตัดสินซัมซานเทคเมื่อครั้งแรกที่เห็นว่าธุรกิจของทีมนี้ไม่น่าจะไปรอด และไม่มีทางที่จะเข้าไปยัง Sandbox หรือซิลิคอนวัลเลย์ของเกาหลีได้
แต่เหมือนโชคเข้าข้าง แม้สามหนุ่มจากซัมซานเทคจะไม่ผ่านแฮกกาธอน แต่ ‘ซอดัลมี’ นางเอกของเรื่องสามารถชนะผ่านเข้าไปได้ เลยเกิดการรวมตัวเป็นทีมขึ้นมา แล้วก้าวเข้าสู่ Sandbox อย่างน่าเหลือเชื่อ และที่น่าตกใจไปกว่านั้น คนที่มาเป็น Mentor หรือที่ปรึกษาให้ทีมคือ ‘ฮันจีพยอง’
ในระหว่างทาง ทีมซัมซานเทคก็ต้องรับฟังคำแนะนำที่แสนจะบาดใจไม่ว่าจะเป็น
“พวกคุณที่รู้จักเอไอกันมาเป็นอย่างดี ตลอดสองปีที่ผ่านมาเคยดึงดูดนักลงทุนด้วยการนำเสนอได้สำเร็จไหมครับ”
“ผมมั่นใจได้เลยนะ คนโง่ที่เห็นรายชื่อส่วนแบ่งนี้แล้วคิดจะลงทุน คงไม่มีสักคนบนโลกนี้แน่นอนครับ”
“ยิ่งมีผู้ใช้มาก ยิ่งใช้เงินสูงแบบนี้ใครจะอยากลงทุนครับ”
ฟังแล้วไม่ว่าใครก็อยากจะล้มทั้งยืนกันทั้งนั้น จนคนในทีมรู้สึกว่ากำลังถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลา เหมือนเขาคอยขับไสไล่ส่งนักลงทุนให้หนีไปมากกว่า และไล่ต้อนพวกเขาให้จนมุม
“หัวหน้าทีมฮัน เป็นคนที่ถนัดทำให้คนอื่นท้อเหรอครับ”
แต่หากลองย้อนกลับไปดูแล้ว หลายเหตุการณ์ หลายความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาเหมือนมีดที่กรีดลงกลางใจ ก็พาทีมซัมซานเทคผ่าวิกฤตต่าง ๆ รอดมาได้จนถึงวันเดโมเดย์
มีเพียงครั้งหนึ่งที่เขาไม่อาจช่วยได้ และน่าจะเป็นครั้งเดียวที่ฮันจีพยองเลือกที่จะดูอยู่อย่างห่าง ๆ ไม่อยากบั่นทอนกำลังใจของทุกคน
และนั่นก็ทำให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของซัมซานเทค แต่ถึงอย่างนั้นคนในทีมก็ยังมองว่า เรื่องทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะคำพูดของฮันจีพยองที่ทำให้สูญเสียความมั่นใจ ถ้าไม่อยากล้มเหลวไปมากกว่านี้ไม่ควรฟังเขา
แต่ในมุมฮันจีพยองแล้ว ภายในใจของเขาไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะทำร้ายใคร อยากจะปกป้องด้วยคำแนะนำที่เป็นความจริงให้คนทำ Start-Up ได้รู้ก่อนที่จะเจอความล้มเหลว
“วงการนี้ไม่มีการยื่นมือช่วยกันหรอกนะครับ”
“ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นในฐานะนักลงทุน ถ้าเห็นเป็นการจับผิดก็น่าเสียดายครับ”
“ถึงจะเป็นคำพูดแรง ๆ แต่ผมก็ต้องพูดตรง ๆ ครับ”
สำหรับฮันจีพยองแล้วนั้น ชายหนุ่มที่มีชีวิตเริ่มต้นจากศูนย์ออกมาจากบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยเงินจำนวนหนึ่งที่แค่เช่าห้องอยู่ก็ยังไม่ได้ ซื้อข้าวกินก็ยังไม่พอ
เป็นช่วงชีวิตที่เขาสัมผัสได้ว่า โลกไม่ได้สวยเสมอไป และการที่เขาเข้าใจความเป็นจริง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วันนี้เขากลายเป็นนักลงทุนที่สามารถชี้ชะตาของ Start-Up ได้
ก็จริงอยู่ตรงที่ว่า เวลาเรากำลังเผชิญกับความลำบากของชีวิตก็อยากได้คำให้กำลังใจ เพื่อให้มีแรงสู้ต่อไปในสมรภูมิที่ดุเดือด ในเมื่อ Sandbox เปรียบเสมือนพื้นที่ที่เป็นกองทรายที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เหล่า Start-Up ได้ล้มลุกคลุกคลาน
ลงมือทำธุรกิจอย่างเต็มที่แบบไม่ต้องกลัวเจ็บ
แต่การอยู่ให้รอดในวงการธุรกิจ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลความจริง และความจริงของโลกใบนี้ก็ไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น
“การทำ Start-Up มีช่วงเวลาที่ลำบากมากกว่าช่วงเวลาดี ๆ ครับ
ในเวลาแบบนั้น พลังอย่างเดียวที่จะทำให้อดทนได้”
คำพูดสวยหรูนั้นให้กำลังใจ แต่อาจปิดความจริงที่อาจผลักดันให้เราเติบโตและก้าวไปได้ไกลกว่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น ฮันจีพยองเองแม้จะพูดจาไม่ดี แต่ภายในเขาเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก ทุกคำพูดที่ตรงไปตรงมา แฝงไปด้วยการให้คำปรึกษาที่จริงใจ และหวังว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเดินต่อในธุรกิจต่อไปได้แบบที่เจ็บน้อยลง
แต่ในใจลึก ๆ ของฮันจีพยองก็รู้สึกผิดกับคำพูดตรง ๆ แบบรุนแรงของเขา ที่ทำลายชีวิตคนอื่นเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขารู้ว่า สิ่งที่เขาตัดสิน กำลังทำให้คนที่เขารักมากที่สุดต้องลำบาก เขายิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำมากกว่าเดิม หรือการพูดแรงของเขามันไม่ถูกต้อง...
“ที่ผมพูดอย่างตรงไปตรงมา กลายเป็นคำด่าที่ไม่อาจย้อนคืน”
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เมื่อท้ายที่สุดมีคนทำ Start-Up หรือฝันอยากก่อตั้งธุรกิจเดินย้อนกลับคืนมาหาเขาเพื่อขอ ‘คำด่า’ จากเขา ที่ไม่มีนักลงทุนคนไหนจะพูดทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา และจริงใจได้เท่าเขาอีกแล้ว
กาลเวลาจะพิสูจน์ตัวตนว่า คนคนนั้นเป็นคนแบบไหน แล้วฮันจีพยองก็ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ และทำด้วยเจตนาดีเรื่อยมา จนวันหนึ่งตัวละครในเรื่อง รวมถึงคนดูก็เริ่มที่จะหลงรักเขามากขึ้นในสถานะที่แตกต่างกันออกไป (แม้ซอดัลมีจะดูหลงรักนัมโดซาน แต่เชื่อว่าความรู้สึกที่เธอมีให้ฮันจีพยองน่าจะเรื่องว่าความรักเช่นกัน แต่เป็นความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง)
ย้อนกลับไปที่คำถามที่ว่า ฮันจีพยองพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมาแบบนี้ ทำไมคนดูยังส่งกำลังใจเชียร์ให้เขาเปลี่ยนสถานะเป็นพระรองสู่พระเอก
นั่นอาจเป็นเพราะความอ่อนโยนและความใจดีของฮันจีพยองที่อยู่ภายใน ใจดีมากพอที่จะยอมพูดจาแรง ๆ แม้รู้ว่าคนจะเกลียด เพื่อช่วยเหลือ Start-Up ให้อยู่รอดต่อไป และเดินไปได้ไกลอย่างมากที่สุด ความจริงที่โหดร้ายมันอาจดูใจดีกว่าคำโกหกที่แสนเยือกเย็น
เพราะโลกของ Start-Up เริ่มต้นจากโลกที่เต็มไปด้วยความฝัน แต่นักลงทุนเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความจริง
โลกใบนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนไปได้ด้วยแค่ไอเดีย ความฝัน ความหวัง และความทะเยอทะยาน แต่มันยังต้องอาศัยชุดข้อมูลความจริงที่ช่วยในการตัดสินใจ หลักการของเหตุและผล และความอดทนต่อสู้กับอุปสรรคที่เจอ
ด้วยเหตุนี้ ฮันจีพยองเลยเป็นเหมือนคนที่คอยชี้ทางนำพาความฝันที่สวยงาม ให้เดินต่อไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
แต่มันน่าจะดีกว่า ถ้าเราทุกคนเลือกหันมารับฟัง Feedback หรือคำแนะนำอย่างเข้าใจ โดยตัดความรู้สึกบางอย่างทิ้ง รวมถึงถ้าฮันจีพยองสามารถปรับคำพูดที่ตรงไปตรงมาให้น่าฟังมากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้คนอื่นเปิดใจรับฟังคำแนะนำที่ทรงคุณค่าจากเขา
สุดท้าย แม้ในเรื่อง Start-Up จะมี Sandbox ให้ได้ล้มลุกคลุกคลานแบบไม่ต้องกลัวเจ็บ แต่โลกของธุรกิจมันใหญ่กว่านั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ Sandbox ทรายไม่ได้เยอะพอที่จะถมพื้นบนโลกทั้งใบได้ แต่มันเต็มไปด้วยพื้นคอนกรีต
แล้วคุณล่ะ
“อยากฟังความจริง หรือความฝันที่เปี่ยมไปด้วยความหวังที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง”
เรื่อง: ปรียานุช หลักคำ