1 เมษายน ทุก ๆ ปีจะมีเรื่องโกหกมากมายที่มักพรั่งพรูออกมาในฐานะวัน April Fools’ Day แต่วันเดียวกันนี้ในปี 2003 กลับสร้างความเศร้าสลดใจให้กับหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะแฟนหนังฮ่องกงที่อยากให้เหตุการณ์นี้เป็นเพียงเรื่องโกหกจริง ๆ นั่นคือข่าวการสูญเสียนักแสดงยอดฝีมืออย่าง เลสลี จาง จากการตัดสินใจลาโลกด้วยการโดดลงมาจากชั้น 24 โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ฮ่องกง ท่ามกลางความมึนงงและไม่เชื่อในเหตุการณ์ครั้งนั้น บ้างก็ว่ามันคือเหตุการณ์เมษาหน้าโง่ที่ใครสักคนปล่อยข่าวเพื่อความบันเทิง แต่ท้ายที่สุดเมื่อทางตำรวจยืนยันว่าชายหนุ่มที่นอนน็อคพื้นที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้นคือซูเปอร์สตาร์ เลสลี จาง ตัวจริง โลกทุกอย่างก็เหมือนจะหยุดหมุน ความเศร้าโศก ความเสียใจ ประเดประดังเกิดขึ้นกับเหล่าแฟน ๆ จากเกาะฮ่องกงที่รักในตัวผู้ชายคนนี้นับตั้งแต่แรกเข้ามาในวงการ
เราจะย้อนคืนวันวานถึงผู้ชายนัยน์ตาเศร้าสร้อยผู้นี้
ชีวิตในวัยเด็กที่จมจ่อในบ่อน้ำตา
เลสลี จาง หรือชื่อแรกเริ่มของเขาคือ จาง กั๊ว หยง เกิดมาในย่านเกาลูน เขาเป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 10 คน มีพ่อที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบและเจ้าอารมณ์ แม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นที่ภาคภูมิใจในวงศ์ตระกูล ในฐานะช่างตัดสูทผู้มีฝีมืออันยอดเยี่ยมจนผู้กำกับอย่าง อัลเฟรด ฮิชท์ค็อก หรือนักแสดงฮอลลีวูดอย่าง แคร์รี แกรนท์ และ มาร์ลอน แบรนโด ต่างก็เคยใช้บริการจากการตัดเย็บของพ่อของเขา หากแต่ความเจ้าระเบียบและอารมณ์ร้อนของพ่อเขาที่มักจะลงเอยด้วยการทะเลาะตบตีแม่ของเขาเป็นประจำ จนเลิกราและหย่าร้างไปในที่สุด ทำให้เลสลี จาง กลายเป็นคนที่เก็บกดและหวาดกลัวพ่อของเขาเสมอมา ซ้ำร้ายความโดดเดี่ยวในฐานะลูกคนสุดท้องที่อายุห่างจากพี่คนที่ 9 ถึง 8 ปี ก็ทำให้เขาแทบไม่มีเพื่อนหรือพี่ที่รับฟังตัวเขาเลย
แต่โลกก็ไม่ใจร้ายกับเขาจนเกินไป แม้เขาจะมีเพียงตุ๊กตาเป็นเพื่อนเล่น ถึงกระนั้นเขาก็ยังมียายที่รักและเลี้ยงดูเขา แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็แสนจะสั้นนัก เมื่อสุดท้ายสังขารก็ได้พรากยายไปจากเขาในช่วงเวลาที่เขาเรียนชั้นประถมฯ เลสลี เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ช่วงเวลาวัยเด็กของผมเต็มไปด้วยความเลวร้ายจนอยากจะลืมเลือน มีเพียงยายเท่านั้นที่อยู่ในความทรงจำ”
แม้เขาจะโดดเดี่ยว แต่เมื่อเขาก้าวเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็สอบชิงทุนเพื่อข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ แม้จะได้ห่างจากพ่อผู้เกรี้ยวกราด แต่ความเหงาก็ยังปกคลุมเขาอยู่เช่นเดิม จนเขาได้ทำความรู้จักกับเพื่อนคนใหม่ นั่นก็คือภาพยนตร์ ที่ทำให้เขาได้หลบหนีออกจากโลกแห่งความจริงอันโหดร้ายและทารุณ แสงสว่างที่ฉายสะท้อนจอในห้องอันมืดมิดทำให้เขาตื่นตาตื่นใจ เขาได้เรียนรู้โศกนาฏกรรมความรักของ โรมิโอกับจูเลียต ได้รู้จักหนังยิ่งใหญ่ตระการตาอย่าง Gone with the Wind ที่หนึ่งในนักแสดงที่ทำให้เขาหลงใหลนั่นคือ เลสลี ฮาวเวิร์ด จนนำขื่อมาตั้งว่า เลสลี จาง นับแต่นั้นเป็นต้นมา
แรกเริ่มเดิมทีเขาเดินทางมาเรียนถึงอังกฤษเพื่อสานต่อกิจการตัดสูทของพ่อ แต่เพราะศิลปะของภาพยนตร์และดนตรีทำให้เขาหันเหชีวิตสู่การเรียนการแสดง เหมือนเลสลีจะได้เลือกสิ่งที่เขารัก แต่พ่อของเขาก็หักหาญน้ำใจสั่งให้เขากลับมาฮ่องกงทิ้งความฝัน และบังคับให้ลูก ๆ รับกิจการต่อจากพ่อที่เป็นอัมพาตครึ่งซีก มีเพียงเลสลีที่ปฏิเสธความต้องการของพ่อ เขาไปเป็นพนักงานขายกางเกงยีนที่ห้างและบรรยายช่วงชีวิตของเขาว่า “ช่วงชีวิตช่วงนั้นมันช่างเลื่อนลอย ไม่มีแผนอะไรมากกว่าจะแขวนให้มันค้างเติ่งไปวัน ๆ”
บทเริ่มต้นบนก้อนกรวดแห่งเส้นทางบันเทิง
แม้ครอบครัวจะไม่สนับสนุน แต่เลสลีในวัยรุ่นก็ทำทุกทางเพื่อแผ้วถางสู่วงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งวงดนตรีกับเพื่อนร่วมขั้นเพื่อเดินสายประกวดร้องเพลงจนได้อันดับ 2 ของการประกวด ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ ด้วยความที่หน้าตาของเขาดูดี จึงได้รับโอกาสให้ได้แสดงหนังเป็นเรื่องแรก แม้จุดเริ่มต้นบนถนนสายภาพยนตร์จะเริ่มด้วยหนังเกรดสามอย่าง Erotic Dream of the Red Chamber ที่เขาถูกบังคับให้ต้องแสดงฉากโป๊โชว์บั้นท้ายจนเป็นฝันร้ายของเขา ซ้ำร้ายเส้นทางสายดนตรีของเขาก็ขรุขระเมื่ออัลบั้มที่เขาออกในช่วงต้น ๆ ไม่ได้รับความนิยมแถมนักวิจารณ์ยังกล่าวถึงเสียงร้องของเขาด้วยความขบขันว่า “เสียงไม่ต่างจากไก่ขัน” จนงานโชว์บางงานแฟนเพลงตอบรับด้วยการโห่ไล่ แต่เทียบกับชีวิตในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายทารุณแล้ว บทเริ่มบนเส้นทางสายบันเทิงก็ดูซอฟท์ลงไปทันที “จุดเริ่มต้นของวงการบันเทิงของผมมันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ต่างกับวิ่งไปบนทางที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน ชีวิตช่วงนั้นมันช่างสิ้นหวังและเต็มไปด้วยอุปสรรค...แต่สำหรับคนที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาตลอดชีวิต เรื่องแต่นี้มันเล็กน้อยมากสำหรับผม”
ความอดทนและความพยายามของเขาสัมฤทธิ์ผลในหลายปีต่อมา เมื่อเขาไม่ย่อท้อที่จะออกอัลบั้มจนสามารถทำยอดขายในระดับแพลทตินัม ขณะเดียวกันเขาก็ก้าวข้ามผ่านความเป็น “พระเอกหนังโป๊” และกลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในช่วงกลางทศวรรษที่ 80s ทั้งแนวเพลงซินธ์พ็อพตามยุคสมัยและหนังวัยรุ่นที่เขาร่วมแสดงกับ จางม่านอวี้ และ เหมยเยี่ยนฟาง ผลักดันให้เขาเป็นไอดอลแถวหน้าบนเกาะฮ่องกง
เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าวันวานของนกไร้ขา
เลสลีสร้างชื่อเสียงขนานกันทั้งหนังและเพลงจนกลายเป็นศิลปินเบอร์ต้น ๆ ของวงการ แต่ก็ไม่หยุดยั้งความพอใจเพียงเท่านี้ เขาพยายามไขว่คว้าหาบทที่ท้าทายตัวเขามากกว่าหนังรักวัยรุ่น จนได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จาก 3 ผู้กำกับแห่งยุค คนแรกคือตำนานแห่งหนังแอ็กชัน จอห์น วู ที่นำเขามาประกบกับนักแสดงระดับฝีมืออย่างตี้หลุง และโจวเหวินฟะ ในหนังที่เปิดศักราชใหม่ให้กับวงการหนังฮ่องกงอย่าง โหด เลว ดี (A Better Tomorrow-1986) ในบทน้องคนสุดท้องที่อยู่ในฝั่งผู้รักษากฎหมายที่ต้องห้ำหั่นกับพี่ชายที่เป็นโจร คนต่อมาคือผู้กำกับ ฉีเคอะ ที่ชักชวนเขาแสดงนำในหนังแฟนตาซีกำลังภายในยุคใหม่อย่าง โปเย โปโลเย เย้ยฟ้าแล้วก็ท้า (A Chinese Ghost Story-1987) ซึ่งกลายเป็นหนังทำเงินในหลายประเทศ ส่งผลให้เลสลี จาง กลายเป็นดาราขวัญใจของคนทั้งโลก และผู้กำกับคนสุดท้ายที่ผลักดันให้เขาได้รับรางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงเป็นครั้งแรกนั่นคือ หว่อง การ์ ไว ในบทบาทของนักเลงผู้มีบทกวีในหัวใจ-หยกไจ๋ ในหนัง วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า (Days of Being Wild-1990) คอหนังหลายคนจดจำวลีเปิดตัวของเขาได้ “ผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนกไร้ขา ตลอดชีวิตมันได้แต่บินและบินและบิน เหนื่อยนักก็พักนอนกลางสายลม เท้าของมันสัมผัสพื้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือวันที่มันตาย” บทนักเลงที่เดียวดายกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวตนของเขาในทันที และเขาก็วนเวียนอยู่กับการแสดงกับผู้กำกับทั้ง 3 ท่านไม่ว่าจะเป็นภาคต่อของหนังฮิต ไปจนถึงหนัง มังกรหยก ศึกอภิมหายุทธ (Ashes of Time-1994)
เปิดเผยตัวตนที่ซ่อนเร้นผ่านบทบาทอันยอดเยี่ยม
เลสลี จาง รู้ตัวมาโดยตลอดว่าเขานั้นเป็น LGBTQ+ แต่ในยุคสมัยที่หากเปิดเผยตัวตนอาจจะนำมาซึ่งจุดจบของเส้นทางบันเทิง เขาจึงเลือกที่จะปิดบังตัวตน แม้ว่ากระทั่งการประกาศลั่นวิวาห์ทั้งที่เขารู้สึกกับเจ้าสาวเพียงแค่เพื่อน จนหย่าร้างในเวลาต่อมา เลสลีต้องทนกล้ำกลืนแสดงตัวตนเป็นชายชาตรีตลอดชีวิตทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่ไม่อาจปิดกั้นตัวตนข้างในที่ร่ำร้องให้ปลดปล่อยตัวตนจากอิสรภาพ จนกระทั่งบทบาทการแสดงของหนังทั้ง 2 เรื่องก็ช่วยผลักดันเขาให้เปิดเปลือยตัวตนที่แท้จริง นั่นคือหนังยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษที่ 90s อย่าง หลายแผ่นดิน แม้สิ้นใจไม่ขอลืม (Farewell My Concubine-1993) ในบทบาทนักแสดงงิ้วในช่วงเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรม และอีกบทบาทของคู่รักชายรักชายสุดเหงาในเมืองแปลกหน้าอย่าง โลกนี้รักใครไม่ได้นอกจากเขา (Happy Together-1997) ที่ทำให้เขาปลดปล่อยอีกร่างจากกรงทองที่กักขังมานานแสนนาน และบทบาททั้ง 2 ก็ทำให้เลสลีกล้าที่จะประกาศตัวตนว่าเขานั้นเป็นไบเซ็กชวล พร้อมกับเปิดตัวคู่รักของเขาที่อยู่ร่วมกันอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ต่อหน้าสาธารณชน เขากล่าวถึงคนรักของเขาที่ทนอยู่ในมุมมืดมาตลอดจนสิ้นสุดลมหายใจว่า “เขาก็รู้ว่าผมเป็นคนบ้างานขนาดไหน แต่สิ่งที่ยืนนานกว่าความโรแมนติกใด ๆ คือเราเป็นเพื่อนกันมากกว่าคนรัก” และการเปิดเผยตัวตนที่ปิดบังมาแสนนานกลับได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ ที่ต่างรู้อยู่แก่ใจและอยากให้เลสลีเปิดตัวตนมานานแสนนานแล้ว เขาได้เป็นตัวแทนแห่งความกล้าหาญของเหล่า LGBTQ+ มากมายไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งจีนแผ่นดินใหญ่ ประเทศที่มองความรักร่วมเพศคืออาชญากรรมต่างก็ชื่นชมในความกล้าหาญของเขา กระทั่งคนรักที่เป็นผู้หญิงในอดีตต่างก็เข้าใจในตัวตนของเลสลี และเป็นเพื่อนสนิทในเวลาต่อมาเช่นกัน โดยเขาให้สัมภาษณ์ในอีกหลายปีเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ก่อนที่ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงในตอนอายุ 22 ผมเผยความลับให้เจ้าสาวของผมฟังว่าผมเป็นไบเซ็กชวลคุณจะรับได้ไหม มันดีกว่าที่จะปิดบังความรู้สึกอันเจ็บปวดนั้น แต่คนรักของผมก็รับในตัวตนของผมได้ ถือว่าผมโชคดีที่ผมมีคนรักและเพื่อนรักในคนเดียวกัน”
แผลที่เรื้อรังในใจปิดฉากสุดท้ายในขีวิต
แม้เขาจะไม่ต้องทนทุกข์กับการปิดซ่อนความในใจ แต่แผลเป็นแผลใหญ่มี่ติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก คือโรคซึมเศร้าที่ทำให้เขาต้องอยู่กับมันมาตลอด
จนกระทั่งความผิดหวังในผลงานกำกับเรื่องแรกที่ไม่สำเร็จ, ความหวาดกลัวในโรคซาร์สที่ระบาดหนักในยุคนั้น ทำให้เคมีในสมองของเขาทำงานไม่ปกติ แม้ว่าเขาจะเข้าพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษามาตลอด แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะรับยา หลายครั้งเขาเอื้อนเอ่ยความตายกับเพื่อนสนิทของเขา แม้กระทั่งเขาแวะพักโรงแรมเขาก็มองหาหน้าต่างโดยเขาเคยบอกกับเพื่อนว่า “น่าเสียดายเนอะ ที่นี่เปิดหน้าต่างไม่ได้”
และสุดท้ายสิ่งที่เขาตั้งใจก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อเขาเลือกช่วงเวลาบ่ายคล้อยเย็นที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เป็นที่สุดท้ายในชีวิตของเขา เขาทิ้งร่างจากชั้น 24 โดยทิ้งจดหมายลาไว้มีข้อความว่า “ผมอยู่ในอาการซึมเศร้าถึงขีดสุด! ขอบคุณเพื่อนทุกคน ขอบคุณศาสตราจารย์ (จิตแพทย์ที่ดูแลเลสลีจนวันสุดท้าย) ปีนี้เป็นปีที่หนักหนาสาหัสมากจนผมไม่อาจจะยืนหยัดต่อไปได้ ขอบคุณครอบครัวของผม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยทำเรื่องผิดสักครั้งเดียว ทำไมผมต้องเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วย?”
ข่าวการเสียชีวิตของเลสลี จาง นำความเศร้าโศกมาสู่แฟนคลับทุกคนที่ได้ยินข่าว แฟนคลับมากมายยอมเสี่ยงโรคระบาดในช่วงนั้นเพื่อมาร่วมอำลาอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ข่าวการจากไปของเลสลีถูกประโคมตลอดทั้งปี
วันที่ 1 เมษายนของทุกปี ไม่ใช่เพียงวันเมษาหน้าโง่เท่านั้น แต่มันยังเป็นวันที่แฟนคลับทั่งโลกต่างรำลึกถึงการจากไปของผู้ชายนัยน์ตาโศกคนนี้ ในปี 2013 ตอนครบรอบ10 ปีแห่งการจากไป แฟนคลับทั่วโลกต่างร่วมสร้างสถิติโลกด้วยการพับนกกระเรียนส่งถึงพระเอกตลอดกาลจำนวนถึง 1,956,912 ตัวจนกินเนสบุ๊คบันทึกสถิติ รวมไปถึงการวางดอกไม้ในจุดเกิดเหตุหน้าโรงแรมที่จัดขึ้นทุกปี หลายคนที่เสียใจกับการจากไปของเลสลี ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราไม่ได้สูญเสียศิลปินที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เราได้สูญเสียบุคคลผู้เป็นต้นแบบแห่งความกล้าหาญ ที่กล้าเปิดเผยตัวตนให้โลกได้รับรู้ในยุคที่ปิดกั้น และเป็นแบบอย่างให้คนอีกหลายล้านคนได้ปลดปล่อยตัวตนที่ปิดกั้นได้มีอิสระเสรีจวบจนปัจจุบัน”
การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับอาจสร้างความเสียใจให้กับผู้ที่ยังอยู่ แต่สำหรับเลสลี จาง ชีวิตของเขาก็ไม่ต่างกับ นกไร้ขา ที่เขาเคยเอ่ยถึงในหนัง Days of Being Wild “ผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนกไร้ขา ตลอดชีวิตมันได้แต่บินและบินและบิน เหนื่อยนักก็พักนอนกลางสายลม เท้าของมันสัมผัสพื้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือวันที่มันตาย”
เรื่อง: สกก์บงกช ขันทอง