กลอเรีย เกย์เนอร์: เพลงชาติ LGBTQ+ ‘I Will Survive’ กับบาดแผลจากการล่วงละเมิดทางเพศ
Play
“At first I was afraid, I was petrifiedKept thinking I could never live without you by my side”(ตอนแรกฉันก็กลัว ฉันยืนตัวแข็งทื่อมัวแต่คิดว่าฉันคงมีชีวิตต่อไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ)นี่คือท่อนแรกของเพลง ‘I Will Survive’ ที่มาพร้อมกับเสียงเร้าอารมณ์ของคีย์บอร์ดที่ทุกคนคุ้นหูเป็นอย่างดีเพลงนี้เป็นผลงานการร้องชิ้นเอกของ ‘กลอเรีย เกย์เนอร์’ (Gloria Gaynor) นักร้องดีว่าชาวอเมริกัน และถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในเพลงชาติของ LGBTQ+ แต่ใครเลยจะรู้ว่า เธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้เธอต้องอยู่รอดให้ได้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน“But then I spent so many nightsThinking how you did me wrong”(หลังจากที่ฉันใช้เวลาหลายคืนเฝ้าคิดว่าคุณทำร้ายฉันอย่างไร)กลอเรียเติบโตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยวพร้อมด้วยพี่น้อง 6 คน โดยที่ปราศจากพ่อหรือแม้แต่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายเลยแม้แต่คนเดียว “คงไม่มีใครรู้ว่าการเติบโตมาโดยที่ไม่มีต้นแบบผู้ชายที่ดีเข้ามาในชีวิต จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อชีวิตในระยะยาวของฉันอย่างไร”เมื่อกลอเรียอายุได้ 5 ขวบ ครอบครัวของเธอได้ย้ายไปอยู่บ้านเช่าร่วมกับครอบครัวสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ยังไม่มีลูก ซึ่งกลอเรียสนิทกับทั้งคู่ จึงไว้ใจและนับถือเป็นเหมือนกับป้าและลุงแท้ ๆ “มีวันหนึ่งคนที่เป็นสามีหลอกฉันว่าจะพาไปกินคุกกี้ในห้อง แต่เขากลับพาฉันไปที่ห้องนอน เขาถอดกางเกงฉันออก และเริ่มลวนลามฉัน ฉันไม่โอเคกับการกระทำนี้ ฉันเลยขู่เขาว่า ฉันจะฟ้องแม่ เขาเลยลากฉันออกจากห้องของเขา แล้วก็ไล่ให้ลงไปข้างล่าง เอาจริง ฉันไม่ได้บอกแม่หรอก เพราะว่าแม่เป็นคนไม่ยอมคน แม่จะต้องฆ่าเขาแน่ ถ้าเกิดแม่ต้องติดคุกขึ้นมา คงไม่มีใครเลี้ยงดูพวกเรา” กลอเรียให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ Today with Hoda & Jenna“ผู้ชายคนนั้นได้พรากวัยเยาว์และความไร้เดียงสาของฉันไปจนหมดสิ้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าในตัวฉันน้อยลงไปอีก และยิ่งตอกย้ำความทุกข์ทรมานจากการไม่มีพ่อให้รุนแรงขึ้นอีกด้วย”หลายปีต่อมา แม่ของกลอเรียมีรักครั้งใหม่ เธอใช้เวลาศึกษาดูใจอยู่เป็นปีกว่าที่จะรับเขาคนนั้นเข้ามาในชีวิต กลอเรียและพี่น้องของเธอต่างยอมรับและรักเขาเหมือนกับพ่อแท้ ๆ แต่แล้วเหตุการณ์เดิมได้เกิดขึ้นกับกลอเรียอีกครั้ง เมื่อพ่อเลี้ยงบุกเข้ามาล่วงละเมิดทางเพศเธอขณะที่นอนหลับอยู่ในห้อง “ฉันไล่เขาออกไปจากห้อง และแน่นอนฉันไม่ได้บอกแม่ เพราะฉันไม่อยากทำลายความสุขของแม่ แม่อยู่คนเดียวและเหงามานานแล้ว ฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้เธอ แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะสร้างบาดแผลให้ฉันอีกก็ตาม”เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับกลอเรียนั้นยังไม่หมด ตอนอายุ 18 ปี เธอถูกลูกพี่ลูกน้องของแฟนเก่าข่มขืน “คืนนั้น เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันรีบไปอาบน้ำ ชำระล้างความรู้สึกผิด ความรู้สึกละอายตัวเอง แต่มันไม่ได้ผล ความรู้สึกเหล่านั้นยังคงติดแน่นฝังลึก ฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพราะฉันไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน และฉันไม่กล้าที่จะแจ้งความด้วยซ้ำ”เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 3 ครั้ง ทำให้กลอเรียเข้าใจว่า การโดนทอดทิ้ง การล่วงละเมิดทางเพศ การทารุณกรรม การไม่ให้เกียรติกัน เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะปกติในความสัมพันธ์ของคู่รัก ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยจนกระทั่งกลอเรียได้พบกับ ลินวู้ด ไซมอน (Linwood Simon) คือคนที่ให้เกียรติเธอเป็นอย่างดีในช่วงต้นของความรัก ทั้งคู่เริ่มคบหาดูใจกัน และแต่งงานกันในที่สุด ขณะเดียวกันเธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงและได้ออกอัลบั้ม มีเพลงฮิตอย่าง ‘Never Can Say Goodbye’ ที่สามารถเข้าอันดับ 10 บนบิลบอร์ดชาร์ตได้ ชีวิตของเธอเหมือนจะไปได้ดีแล้ว แต่ทว่า “ทางค่ายเพลงได้บอกกับฉันว่า จะไม่ต่อสัญญาให้กับฉัน โดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลที่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งจะมีเพลงฮิตไปเอง ซ้ำร้ายฉันยังตกเวทีคอนเสิร์ต จนต้องเข้าผ่าตัดกระดูกสันหลัง พักฟื้นนาน 3 เดือน ตอนนั้นฉันท้อแท้มาก กลัวจะพิการและเส้นทางในวงการจะสิ้นสุดลง ฉันจึงเริ่มสวดภาวนาขอพรจากพระเจ้า”“And I grew strongAnd I learned how to get along”(ฉันเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและฉันเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป)เหมือนพระเจ้าจะรับรู้คำขอของเธอ จึงส่งเพลง ‘I Will Survive’ มาให้เพลง ‘I Will Survive’ เป็นเพลงแนวดิสโก้เต้นรำ แต่งโดย เฟรดดี้ เพอร์เรน (Freddie Perren) และ ดีโน เฟคาริส (Dino Fekaris) แม้ว่าเนื้อเพลงจะเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งโดนผู้ชายทิ้งไป แต่เธอสามารถลุกขึ้นยืนหยัดมีชีวิตต่อไปได้ แต่ที่มาของเพลงนี้นั้นมาจากการตกงานของนักแต่งเพลง “ผมถูกไล่ออกจากค่ายเพลง หลังจากที่เป็นนักแต่งเพลงมา 7 ปี ผมกลายเป็นคนตกงาน ระหว่างที่ผมนั่งคิดว่าจะเอายังไงดี ก็ได้ยินเพลง Generation (ร้องโดยวง Rare Earth เพลงประกอบภาพยนตร์ Generation) ที่ผมเคยแต่งไว้ ลอยมาจากทีวี ผมรู้เลยว่านั่นต้องเป็นสังหรณ์บางอย่าง มันสร้างแรงบันดาลใจให้ผม ผมกระโดดขึ้นบนเตียงแล้วบอกกับตัวเองว่า ‘เอาละ ฉันจะทำให้ได้ ฉันจะเป็นนักแต่งเพลง ฉันจะต้องรอด’ (I Will Survive)”หลังจากที่แต่งเพลงเสร็จแล้ว เพลงนี้ก็ยังไม่มีคนร้องอยู่ดี จนกระทั่งเฟรดดี้ถูกเรียกให้ไปช่วยโปรดิวซ์เพลง ‘Substitute’ (ต้นฉบับ คือ The Righteous Brothers) ซิงเกิลใหม่ของกลอเรียกับค่ายใหม่ ทั้ง 2 คนจึงเสนอให้กลอเรียร้องเพลง I Will Survive และเธอตอบตกลงช่วงที่บันทึกเสียงเพลงนี้ กลอเรียยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บที่ตกจากเวที เธอยังต้องใส่เครื่องพยุงหลัง รวมถึงเธอได้สูญเสียแม่ในช่วงเวลาเดียวกันด้วย ทำให้เธอตั้งใจร้องเพลงนี้เป็นอย่างมาก “ฉันใช้การจากไปของแม่ การผ่าตัดที่ฉันเพิ่งได้รับมา และความมุ่งมั่นในการทำงานของฉัน มาเป็นพลังในการอัดเพลงนี้ ฉันหวังว่ามันจะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนฟังได้” ซึ่งทีมงานทุกคนต่างรู้ดีว่าเพลงนี้มันเยี่ยมยอดมาก สามารถตัดเป็นซิงเกิลได้เลย แต่ประธานค่ายเพลงยังคงยืนยันกรานให้ Substitute เป็นซิงเกิลหลัก จึงทำให้ I Will Survive ถูกบรรจุอยู่ในหน้า B ของซิงเกิล Substitute นั่นเอง“เฟรดดี้กับดีโนบอกฉันว่าเขาตามหาคนที่จะมาร้องเพลงนี้มานานแล้ว ตอนที่ฉันได้อ่านเนื้อเพลงนี้ ฉันรู้เลยว่ามันจะต้องเป็นเพลงฮิต และฉันก็รู้ว่าฉันสามารถร้องเพลงนี้ให้ออกมาดีแน่ ๆ แต่ค่ายยืนยันที่จะเอาเพลงนี้ไปอยู่หน้า B พวกเขาไม่ได้ฟัง I Will Survive เลยด้วยซ้ำ” กลอเรียให้สัมภาษณ์กับนิตยสารบิลบอร์ดSubstitute ไม่ประสบความสำเร็จบนชาร์ตตามที่ประธานค่ายเพลงหวังไว้ สามารถไต่ไปได้เพียงอันดับที่ 107 บนชาร์ตบิลบอร์ดเท่านั้น ผิดกับ I Will Survive ที่แม้ค่ายจะไม่ได้โปรโมต แต่เหล่าดีเจตามไนต์คลับต่างพากันเปิดเพลงนี้ และคลื่นวิทยุเริ่มเปิดตาม ทำให้ค่ายเพลงตัดสินใจตัด I Will Survive ขายเป็นซิงเกิล จนในเดือนมีนาคม 1979 I Will Survive สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดได้สำเร็จ และส่งผลให้กลอเรียได้รับรางวัลแกรมมี่ อวอร์ดในสาขาบันทึกเสียงเพลงดิสโก้ยอดเยี่ยม (Grammy Award for Best Disco Recording) ในปี 1980กลอเรียกล่าวว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่กล่าวถึงการเอาตัวรอดไม่ว่าจะเป็นในด้านใดก็ตาม “ฉันรักเพลงนี้ที่ช่วยสร้างพลัง สร้างกำลังใจให้แก่คนฟัง เพลงนี้มันอยู่เหนือกาลเวลา ใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย ทุกคนสามารถอินไปกับมันได้ ฉันไม่เคยเบื่อที่ต้องร้องเพลงนี้เลย ในเมื่อทุกคนยังคงรักเพลงนี้อยู่ เวลาร้องเพลงนี้ ฉันมักจะเล่นใหญ่ จัดเต็ม ใส่ลูกเล่นใหม่ ๆ ให้เพลงเสมอ บางทีก็ปรับเนื้อร้อง เปลี่ยนจังหวะบ้าง บางทีก็ใส่ทำนองฮิปฮอปกลางเพลง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขไปกับมัน”ยิ่งเวลาผ่านไป กลอเรียเข้มแข็งขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เธอเคยประสบมา และอยู่ร่วมกับรอยแผลในอดีต เธอได้รู้แล้วว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป “ฉันยึดมั่นและศรัทธาในพระเจ้า พระองค์นำอุปสรรคต่าง ๆ มาทดสอบฉัน แม้ว่าจะต้องใช้เวลานาน แต่ฉันผ่านมันมาได้แล้ว ตอนนี้ฉันมีทั้งความกล้าหาญและความเข้มแข็ง มันเป็นพลังที่พระเจ้ามอบให้ฉัน”“Go on now go walk out the doorJust turn around now’Cause you’re not welcome anymore”(ไปเลยไป ออกไปเลยหันหลังกลับไปเดี๋ยวนี้เลยเพราะฉันไม่ต้อนรับคุณอีกต่อไป)เหมือนความสุขของกลอเรียจะอยู่ได้ไม่นาน ชีวิตคู่ของเธอเริ่มมีปัญหา ลินวู้ด สามีของเธอเปลี่ยนไป ไม่แคร์ความรู้สึกของเธอ เอาตนเองเป็นใหญ่ หนักสุดคือไม่กลับบ้าน แยกไปอยู่ที่อื่น และแล้วความอดทนของเธอก็ถึงที่สุด ทั้งคู่หย่ากันในปี 2005 ปิดฉากชีวิตรัก 24 ปีของเธอลง “เมื่อมันมาถึงขีดสุด ฉันรู้ดีว่าฉันคงประคับประคองชีวิตแต่งงานให้รอดด้วยตัวฉันเพียงคนเดียว มันคงถึงเวลาที่ต้องจบแล้ว แต่ฉันรู้สึกดีนะ เมื่อมีคนมาถามว่าฉันรู้สึกอย่างไรที่ต้องหย่า ฉันบอกได้เลยว่า ฉันเป็นอิสระแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดฉันก็หลุดพ้นเสียที“ฉันไม่เคยคิดถึงลินวู้ดเลย เพราะเขาได้จากฉันไปหลายปีแล้วก่อนที่จะหย่า แต่รู้อะไรมั้ย มันทำให้ฉันได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนผู้ชายป่นปี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอหลบอยู่ในตัวฉันมานาน แต่ตอนนี้เธอได้ก้าวออกมาแล้ว ฉันรักเธอ พระเจ้ารักเธอ เธอไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป ใช่, และฉันจะต้องอยู่รอดให้ได้ (I Will Survive)”Oh as long as i know how to loveI know I will stay aliveI’ve got all my life to liveI’ve got all my love to give(ตราบเท่าที่ฉันเรียนรู้วิธีที่จะรักฉันรู้ว่าฉันจะต้องมีชีวิตอยู่ชีวิตของฉันยังต้องดำเนินต่อไปฉันมีความรักที่ต้องแจกจ่าย)I Will Survive ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเพลงชาร์ตของกลุ่ม LGBTQ+ เนื่องจากตรงกับชีวิตชาว LGBTQ+ ที่ต้องดิ้นรนให้อยู่รอดได้ในสังคมที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ ซึ่งในช่วงที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมาสมัยที่ HIV และโรคเอดส์กำลังระบาด สังคมยังคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อ และตราหน้าว่าชาวเกย์เป็นผู้แพร่เชื้อ เพลงนี้จึงเป็นเหมือนการให้กำลังใจและตอบโจทย์กลุ่ม LGBT ได้อย่างดีนาดีน ฮับส์ (Nadine Hubbs) ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ได้เขียนบทความเรื่อง ‘I Will Survive’: Musical Mappings of Queer Social Space in a Disco Anthem โดยระบุว่า “เพลงนี้มีเนื้อหาที่ทรงพลัง มันบอกว่า เราทุกคนล้วนเป็นผู้กำชะตาชีวิตไว้ในมือของเราเอง และเราเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากเกิดเรื่องเลวร้ายในชีวิตเรา”กลอเรียรับทราบดีว่าเพลงของเธอนั้นได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงชาติของกลุ่ม LGBTQ+ และตัวเธอเองก็เป็นไอคอนของชาว LGBTQ+ ซึ่งเธอรู้สึกยินดี และซัพพอร์ตกลุ่ม LGBTQ+ แม้ว่าเธอจะเป็นคริสต์ศาสนิกชนที่เคร่งศาสนาก็ตาม“ฉันมีเพื่อนหลายคนที่เป็นเกย์ หัวหน้ากลุ่มแฟนคลับของฉันเป็นเกย์ คนดูของฉันก็เป็นเกย์ ฉันไม่ได้ต่อต้านหรือรังเกียจพวกเขา ฉันรักพวกเขา ฉันศรัทธาในพระเจ้า และฉันต้องการให้ทุกคนได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และฉันเชื่อว่าพระองค์ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคนแล้ว”เพลงนี้จึงสามารถนำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ในหลายบริบท ในภาวะที่มีวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 เพลงนี้จึงถูกนำกลับมาเปิดอีกครั้ง เพื่อใช้เป็นเพลงปลุกใจในการผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้And I’ll survive I will surviveและฉันจะต้องรอด ฉันต้องรอด!ที่มาhttps://www.billboard.com/articles/news/267255/gloria-%09gaynors-i-will-survive-turns-30https://www.npr.org/2019/12/29/792221930/gloria-gaynor-i-will-survive-is-the-core-of-my-purposehttps://www.popexpresso.com/2020/03/10/1979-iconic-disco-hit-will-survive-gloria-gaynor-reaches-no-1-hot-100-day/https://www.smoothradio.com/features/the-story-of/i-will-survive-gloria-gaynor-lyrics-meaning-facts/https://www.songfacts.com/facts/gloria-gaynor/i-will-survivehttps://www.songmeaningsandfacts.com/i-will-survive-by-gloria-gaynor/https://www.theguardian.com/music/2008/may/20/popandrock1https://www.today.com/popculture/we-will-survive-gloria-gaynor-shares-true-stories-inspiration-2D11687591Hubbs, N. (2007). ‘I Will Survive’: Musical Mappings of Queer Social Space in a Disco Anthem. Popular Music, 26(2), 231-244. Retrieved January 4, 2021, from http://www.jstor.org/stable/4500315เรื่อง: กฤตพล สุธีภัทรกุล