นพ.หลี่เหวินเหลียง: ฮีโรพลีชีพโควิด-19 ผู้เปิดโปงโรคระบาดเขย่าโลก
“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” อาจเป็นเรื่องจริง หากความจริงนั้นถูกรับฟังและพิจารณาอย่างรวดเร็ว ดังเช่นบทเรียนจากโควิด-19 ที่คร่าชีวิตชาวโลกไปแล้วนับล้านคน และหนึ่งในนั้นคือ นายแพทย์หลี่เหวินเหลียง ผู้ค้นพบการระบาดคนแรก และออกมาป่าวประกาศเตือนสังคม แต่ผู้มีอำนาจไม่รับฟัง
หมอหลี่เป็นจักษุแพทย์ ประจำโรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ย ของจีน ซึ่งเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ โควิด-19
“ยืนยันผู้ติดเชื้อซาร์ส 7 ราย” หมอหลี่โพสต์ข้อความแรกเกี่ยวกับการอุบัติของเชื้อไวรัสตัวใหม่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ณ เวลานั้น ยังไม่มีชื่อเรียกเชื้อนี้อย่างเป็นทางการ แต่ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส ซึ่งเคยระบาดทั่วโลกมาแล้วในปี 2003
เขาโพสต์เรื่องนี้ในกลุ่ม วีแชต (WeChat) ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียคล้าย Line เพื่อแจ้งเตือนเพื่อนร่วมอาชีพให้ระวังอันตราย ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย และสวมชุดป้องกัน เนื่องจากเริ่มมีการกักตัวผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลแล้ว
ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วจนอีก 4 วันต่อมา หมอหลี่ และเพื่อนหมออีก 7 คนที่เผยแพร่ข้อมูล ถูกตำรวจเข้าพบและแจ้งข้อหาเผยแพร่ข่าวปลอมทำให้สังคมแตกตื่น ขณะเดียวกันก็บังคับให้ทั้ง 8 คน เซ็นเอกสารห้ามเผยแพร่ข่าวการระบาด ซึ่งทุกคนยอมให้ความร่วมมือ
เพียง 1 วันหลังหมอหลี่ถูกดำเนินคดี โทรทัศน์ CCTV ของทางการจีน เสนอข่าวนี้พร้อมเตือนบรรดาพลเมืองเน็ตของตนให้ระวังการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้คนแตกตื่น พร้อมขู่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืน
แต่แทนที่จะยอมจำนน และปิดปากเงียบ หมอหลี่นำเอกสารที่ตำรวจบังคับให้เขา กับเพื่อนอีก 7 คนเซ็นรับทราบ โพสต์ลงบนเว็บ เว่ยป๋อ (Weibo) ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียคล้าย Twitter ทำให้ผู้คนเริ่มสนใจ และวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามปิดข่าวของรัฐบาลกันอย่างกว้างขวาง
ช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2020 เจ้าหน้าที่เมืองอู่ฮั่น ยังคงยืนยันว่า ไวรัสตัวใหม่ที่พบไม่ระบาดจากคนสู่คน และไม่มีคำแนะนำให้แพทย์ต้องป้องกันตนเอง
หลังจากตำรวจบังคับให้หมอ 8 คน เซ็นเอกสารห้ามพูดถึงเรื่องโรคระบาดใหม่เพียง 1 สัปดาห์ หมอหลี่ก็ติดโควิด-19 จากคนไข้หญิงรายหนึ่ง ซึ่งเดินทางมารักษาโรคต้อหินกับเขา
10 มกราคม 2020 หมอหลี่เริ่มมีอาการไอ หลังจากนั้นอีกวันก็เริ่มมีไข้ และอีกวันถัดไปจึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จนกระทั่งวันที่ 30 ในเดือนเดียวกัน เขาจึงได้รับการวินิจฉัยว่า ติดเชื้อโควิด-19 มาจากคนไข้ที่เคยให้การรักษา
“ผลการตรวจกรดนิวคลีอิกวันนี้เป็นบวก ฝุ่นละอองจางหายไปและท้ายที่สุด การวินิจฉัยก็ได้รับการยืนยัน” หมอหลี่โพสต์ข้อความสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2020 พร้อมลงรูปเซลฟีตนเองบนเตียงโรงพยาบาล ขณะสวมเครื่องช่วยหายใจ
หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ (7 กุมภาพันธ์) เขาเสียชีวิตลงในวัย 34 ปี
หมอหลี่เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้าย 636 คน ที่เสียชีวิตจากโควิด-19 ณ เวลานั้น ส่วนบิดาและมารดาของเขา แม้จะติดเชื้อเช่นกัน แต่ก็โชคดีที่รักษาจนหายได้ในเวลาต่อมา
ข่าวการเสียชีวิตของ นพ.หลี่เหวินเหลียง ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลก ซึ่งยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าเปิดโปงการระบาดของโควิด-19 แม้จะอยู่ภายใต้สังคมที่มีความเข้มงวดในการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารก็ตาม
สำหรับประวัติชีวิตส่วนตัวของคุณหมอผู้กล้า นพ.หลี่เหวินเหลียง เกิดวันที่ 12 ตุลาคม 1986 ที่เมืองเป่ยเจิ้น มณฑลเหลียวหนิง ทางภาคอีสานของจีน
เขาเรียนจบแพทย์สาขาเวชศาสตร์คลีนิก (Clinical medicine) จากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น โดยหลังเรียนจบเคยไปทำงานที่เมืองเซียะเหมิน ก่อนย้ายมาเป็นจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น ตั้งแต่ปี 2014
ด้วยความเป็นเด็กรุ่นมิลเลนเนียล หมอหลี่จึงจัดเป็นนักเล่นโซเชียลมีเดียตัวยง เขาชอบโพสต์ข้อความลงเว่ยป๋อ และเล่นมานานนับ 10 ปี เรื่องที่โพสต์ส่วนใหญ่เป็นชีวิตในเมืองอู่ฮั่น รวมถึงรูปอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว บางทีก็เกี่ยวกับโลกในวงการแพทย์ ซึ่งเป็นงานประจำ
เขาแต่งงานแล้วมีลูกชาย 1 คน และภรรยากำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ระหว่างที่คุณหมอล้มป่วยจนเสียชีวิต
หลังการเสียชีวิตของหมอหลี่ พลเมืองเน็ตจีนจำนวนมากพากันโพสต์ข้อความติดแฮชแท็ก “เราต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” และ “รัฐบาลอู่ฮั่นต้องขอโทษ นพ.หลี่เหวินเหลียง” เพื่อประท้วงการปิดกั้นข่าวสาร จนแฮชแท็กดังกล่าวติดเทรนด์ในเว่ยป๋อ และรัฐบาลจีนต้องรีบทำการเซนเซอร์อย่างรวดเร็ว
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอนิ่งโพสต์ รายงานว่า วีแชต เริ่มระงับบัญชีผู้ใช้ที่กระจายข่าวโควิด-19 และลบทุกบทสนทนาที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตของหมอหลี่
ขณะที่ทางการเริ่มใช้มาตรการลงโทษทั้งแพลตฟอร์ม และผู้ใช้ที่ฝ่าฝืน โดยก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีน ยังเรียกร้องให้ทางการเร่งกระชับอำนาจ และควบคุมการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวดูเหมือนไม่สัมฤทธิ์ผล โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียจีน ยังคงคิดหาทางประท้วงด้วยวิธีอื่น ๆ ต่อไป หนึ่งในนั้น คือ การโพสต์รูปตนเองสวมหน้ากากอนามัยพร้อมเขียนข้อความต้องห้ามลงบนหน้ากาก และถือกระดาษเขียนข้อความระบายความอัดอั้นตันใจจนเป็นไวรัล
นอกจากนี้ คนนับล้านยังพากันเข้าไปโพสต์ไว้อาลัย และแชร์เรื่องราวส่วนตัวใต้โพสต์สุดท้ายของหมอหลี่ล้นหลาม ทำให้ทางการจีน หันมายกย่องให้คุณหมอเป็น “วีรชนผู้พลีชีพ” และสื่อของรัฐเริ่มเปลี่ยนทิศทางข่าวมาตั้งคำถามกับตำรวจอู่ฮั่น ที่พยายามปิดปากหมอหลี่ และเพื่อน ๆ เรื่องโรคระบาดที่ผ่านมา
วีรกรรมครั้งนี้ของ นพ.หลี่เหวินเหลียง แม้ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจผู้มีอำนาจให้ยอมรับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ แต่ถือเป็นการเขย่าสังคมจีน ให้ตระหนักถึงอันตรายของนโยบายปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร และประโยชน์ของเสรีภาพในการแสดงออกได้เป็นอย่างดี
เพราะหากผู้มีอำนาจยอมรับฟังคำเตือนของหมอหลี่แต่เนิ่น ๆ และเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที การควบคุมโรคอาจทำได้เร็วขึ้น (จีนประกาศภาวะฉุกเฉิน วันที่ 20 มกราคม หลังหมอหลี่เผยแพร่ข่าวการระบาด 21 วัน) และโควิด-19 อาจไม่ระบาดรุนแรงไปทั่วโลกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
เรื่อง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล
ข้อมูลอ้างอิง:
https://www.scmp.com/.../remembering-li-wenliang-wuhan...
https://www.gq-magazine.co.uk/.../dr-li-wenliang-death
https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55355401
https://www.bbc.com/news/world-asia-china-51364382