นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) : เล่นหนังใช้หนี้ ราชาหนังเกรดบี
หากตอนนี้กำลังท้อแท้กับสภาพทางการเงินที่ฝืดเคือง ไม่ต้องกลัวว่าจะเดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามนี้เพียงลำพัง เพราะ นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) พร้อมจะเดินเคียงข้างคุณในฐานะสหายลูกหนี้ชั้นดี ผู้สูญเสียเงิน 150 ล้านในเวลาไม่กี่ปี และตอนนี้กำลังทำงานใช้หนี้อยู่เช่นกัน
จากซูเปอร์สตาร์เงินล้าน สู่เส้นทางการผลาญเงิน
ย้อนอดีตไปไม่นาน ชื่อของ ‘นิโคลัส เคจ’ นักแสดงผู้คว้ารางวัลออสการ์จากเรื่อง Leaving Las Vegas (1995) เรียกได้ว่าเป็นดาราแม่เหล็กที่แค่มีชื่อของเขาแปะอยู่บนโปสเตอร์หนังก็แทบจะการันตีได้แล้วว่าหนังต้องทำเงินแน่ ๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่เขาเข้าวงการมาตั้งแต่ยุค 80s ผู้ชายคนนี้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นคนมีของมากกว่าการเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลคอปโปลาผู้มีอิทธิพลในแวดวงฮอลลีวูด
ผลงานของเขานั้นมีแทบจะทุกแนว ไม่ว่าจะเป็นบู๊แอ็คชัน เช่น The Rock (1996), Face/Off (1997), Con Air (1997) หนังดรามาสุดเข้มข้น เช่น Lord of War (2005) หนังตลกขึ้นหิ้งอย่าง Moonstruck (1987) หนังซูเปอร์ฮีโรอย่าง Ghost Rider (2007) ไปจนถึงการเป็นพระเอกหนังรักโรแมนติกทำเอาสาว ๆ เสียน้ำตากันทั่วบ้านทั่วเมืองใน City of Angels (1998) ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นคนหล่อเหลาตามพิมพ์นิยม แต่ดวงตาลูกหมาเศร้ากลับดึงดูดผู้ชมได้อย่างประหลาด และที่พิเศษสำหรับแฟน ๆ ชาวไทย นิโคลัส เคจ ยังเคยเล่นหนังคู่กับชาคริต แย้มนาม มาแล้วใน Bangkok Dangerous (2008)
จากการเปิดเผยข้อมูลรายได้ ว่ากันว่าในช่วงที่เคจโด่งดังถึงขีดสุด ช่วงปี 1996 ถึง 2011 เขามีทรัพย์สินส่วนตัวมากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินค่าตัวการแสดง เพราะในช่วงนั้นเขามีรายได้เรื่องละ 20 ล้านดอลลาร์ (Gone in Sixty Seconds, National Treasure, Windtalkers) และในปี 2009 เขาก็ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Forbes ให้เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับเงินค่าตัวมากที่สุดในโลก เพราะมีรายได้สูงถึง 40 ล้านดอลลาร์
แต่เงินที่ได้มามาก เขาก็เสียไปมากเช่นกัน เพราะเขาถูกกรมสรรพากรแห่งสหรัฐอเมริกา (Internal Revenue Service) เรียกเก็บภาษีจากทรัพย์สินที่เขาไปซื้อมาแบบไม่ยั้งมือสูงถึง 6.3 ล้านดอลลาร์ และนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งหายนะทางการเงินซึ่งทำให้เขาต้องทำงานแบบไม่เลือกหนังเพื่อหาเงินมาชดใช้
คนบ้าที่เป็นนักล่าสมบัติตัวจริง
ครั้งหนึ่งเจอร์รี บรักไฮเมอร์ โปรดิวเซอร์มือทองของวงการที่ทำงานกับนิโคลัส เคจ ในภาพยนตร์ดังมาถึง 7 เรื่องได้กล่าวถึงเขาไว้ว่า นิโคลัส เคจเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
“เวลาเราทำงานกับนักแสดงมานาน เราจะรู้พฤติกรรมของเขา เราจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป แต่พอเป็นนิค คุณไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะไม่รู้เลยว่าเขาแสดงอย่างไร เขาจะทำอย่างไรกับฉากนั้น และเขาจะทำอะไรกับตัวละครที่เขารับบท”
ด้วยนิสัยที่คาดเดาไม่ได้ ผนวกกับการชื่นชอบสะสมสิ่งของต่าง ๆ แถมยังใจป้ำจ่ายไม่อั้น ทำให้เขาแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะเอาเงินไปใช้จ่ายซื้อของแพง ๆ มาบำเรอความสุขของตัวเอง ซึ่งคอลเลกชันของสะสมของเขานั้นเรียกได้ว่าแปลกประหลาดหลุดโลก อย่างหัวกะโหลกไดโนเสาร์ Tarbosaurus อายุ 67 ล้านปี ราคา 3 แสนดอลลาร์ ที่สุดท้ายแล้วปรากฏว่ากระดูกดังกล่าวถูกขโมยมาใช้ประมูล ทำให้เขาต้องจำใจส่งมันให้กับตำรวจมองโกเลียเพื่อนำไปคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคจซื้อกระดูกไดโนเสาร์และสัตว์โบราณมาสะสมไว้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยครอบครองกระดูกหมีจากยุคก่อนประวัติศาสตร์มาตั้งโชว์ไว้ที่บ้าน แต่เขาดันทำมันพังไปเพราะอุบัติเหตุจากการเล่นพูลที่บ้าน
นอกจากกระดูกสัตว์โบราณ เขายังทุ่มเงินกับอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก อย่างการซื้อเกาะส่วนตัว 2 เกาะที่บาฮามัส มูลค่ากว่า 7 ล้านดอลลาร์ เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยถึง 15 แห่งพร้อม ๆ กัน และซื้อบ้านราคาแพง ซื้อปราสาท Schloss Neidstein ที่ Etzelwang เยอรมนี และซื้อปราสาท Midford Castle ใน Bath ประเทศอังกฤษ แถมยังต้องจ่ายเงินค่าตกแต่งภายในปราสาททั้งสองหลังอีกจำนวนมากเพื่อให้มันสวยงามตามแบบฉบับของเขา ไปจนถึงการซื้อ LaLaurie Mansion แมนชันผีสิงที่ติดอันดับหลอนที่สุดในอเมริกา มูลค่า 3.45 ล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าตอนเด็ก ๆ เขาไป Disneyland บ่อยมากจนเรียกตัวเองว่า ‘Son of Walt’ และสิ่งที่ทำให้ประทับใจฝังในความทรงจำมานานก็คือการได้เล่นเครื่องเล่น Haunted Mansion ที่ New Orleans Square ใน Disneyland Park เขาจึงตั้งปณิธานเอาไว้ว่า โตขึ้นเขาจะต้องมีบ้านผีสิงเป็นของตัวเองให้ได้
“ที่นี่เคยเป็นของมาดามลาลอรี ฆาตกรต่อเนื่องขึ้นชื่อแห่งศตวรรษที่ 19 ผมซื้อที่นี่มาเมื่อปี 2007 และหวังว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ให้ผมแต่งนวนิยายสยองขวัญอเมริกันที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้ แต่โชคไม่ดีผมแต่งนวนิยายได้ไม่ถึงไหนเลย”
แต่สุดท้ายนิโคลัส เคจ ก็เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าด้วยเพราะคำสาปของมาดามลาลอรี หรือเพราะการวางแผนทางการเงินที่ผิดพลาด ทำให้เขาต้องจำใจปล่อยให้บ้านโดนยึดพร้อมกับทรัพย์สินอื่น ๆ ในปี 2009 รวมทั้งรถหรูที่มีอยู่กว่า 50 คัน เรือยอชต์ เครื่องบินส่วนตัว เครื่องประดับมีค่า งานศิลปะหายาก
แม้เคจจะเคยพยายามยื้อทรัพย์สินที่เขาอุตส่าห์หามาได้อย่างสุดตัวด้วยการฟ้องผู้บริหารการเงินของเขา โดยเรียกเงินสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์ในข้อหาฉ้อโกง และทำงานผิดพลาดทำให้เขาขาดทุนย่อยยับ แต่ทางผู้บริหารการเงินก็ฟ้องกลับเช่นกันว่า เขาเคยเตือนเคจไปหลายครั้งแล้วเรื่องซื้อของมือเติบเกินตัว สุดท้ายศาลตัดสินยกฟ้องคดีของทั้งคู่ ทำให้เคจต้องก้มหน้าใช้หนี้ธนาคารต่อไปแต่เพียงผู้เดียว
ไม่เลือกงานไม่ยากจน
“ถ้าผมไม่มีงานทำ ชีวิตผมก็คงพังสุด ๆ” เคจกล่าว
แม้ว่าเขาจะขายของสะสมบางอย่างได้กำไร อย่างเช่น หนังสือการ์ตูน Action Comics #1 ที่เขาซื้อมาเมื่อปี 1997 ประมาณ 1 แสนดอลลาร์ แต่นำออกไปประมูลเมื่อปี 2011 ขายไปด้วยราคา 2.16 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติหนังสือการ์ตูนที่ขายได้ราคาแพงที่สุดในโลก แต่หนี้ที่มีก็ยังไม่หมด และเขาคิดว่าการเป็นนักแสดง คืออาชีพที่เขารัก เขาจึงพยายามทุ่มเททำงานนี้ต่อไปโดยเปิดรับทุกโอกาสที่เสนอเข้ามา ทำให้ในช่วง 10 ปีหลัง นับตั้งแต่ปี 2010 - 2020 เขารับงานแสดงไปทั้งหมด 42 เรื่อง
แม้ว่าหนังส่วนใหญ่ของเขาจะได้คำวิจารณ์ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แทบไม่ถึงครึ่งที่ได้คะแนนเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ใน Rotten Tomatoes หนังที่แย่ที่สุดของเขาในระยะหลังคือเรื่อง Grand Isle ซึ่งได้คะแนน 0 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าถ้าคะแนนติดลบได้ก็คงติดลบไปแล้ว
แต่เขาก็ยังพยายามทำงานต่อไป จนระยะหลังนี้เริ่มมีกลุ่มแฟนหนัง Cult มาติดตามชมหนังของเขาแทบทุกเรื่อง แม้ว่าหนังจะเกรดบี คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงสละเวลาดู ‘หนังใช้หนี้’ ของนิโคลัส เคจอย่างต่อเนื่อง จนบางครั้งมีหนังบางเรื่องที่เกิดฟลุกเป็นหนังที่ดีขึ้นมาจนได้อย่างเรื่อง Mandy (2018) ซึ่งได้คะแนนถึง 90 เปอร์เซ็นต์ และได้รับคำชมล้นหลาม ทำให้เกิดกระแสในโลกออนไลน์ มีการตั้งกระทู้ถกเถียงกันมากมายว่า จริง ๆ แล้ว นิโคลัส เคจ ใช้หนี้หมดแล้ว แต่เลือกที่จะมาแสดงหนังเกรดบีเอง เพราะมันสบายใจที่จะอยู่ตรงนี้แบบไร้คู่แข่ง เขาจะได้เป็นราชาแห่งหนังเกรดบีที่ทุกคนมองข้าม และได้แสดงบทบาทใหม่ ๆ ท้าทายที่หนังเกรดเอจากสตูดิโอดัง ๆ ที่ไม่มีวันเสนอเรื่องแบบนี้มาให้เขา
ทฤษฎีที่แฟน ๆ คิดกันนี้ไปตรงกับคำชมของลุค บัคมาสเตอร์ (Luke Buckmaster) นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดังจากสื่อใหญ่ The Guardian ว่าจริง ๆ แล้ว ฝีมือการแสดงของนิโคลัส เคจไม่ได้ด้อยลงไปตามคุณภาพหนังที่เขาเล่นแม้แต่น้อย แต่เขาเลือกแสดงหนังประเภทนี้เอง เพราะเขาเห็นความน่าสนใจของหนังทุกเรื่องที่เขาเล่น
“เขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย แต่เป็นคนที่มีเสน่ห์ชวนมอง แม้ว่าจะทำทุกอย่างตามอำเภอใจ แต่เขาก็เป็นนักแสดง เป็นผู้ให้ความบันเทิง เขาเป็นเหมือนนักดนตรีแจ๊สที่เล่นดนตรีแบบด้นสดได้อย่างอิสระ แต่ทำให้เกิดเสียงที่งดงาม"
ปี 2021 เขายังเดินหน้าเล่นหนังเกรดบีเช่นเดิม และมีหนังจะเข้าฉายหลายเรื่อง เช่น Jiu Jitsu ที่ได้แสดงกับ จา พนม ยอดนักบู๊ชาวไทยในหนังที่มีพล็อตเกี่ยวกับนักสู้ยิวยิตสูที่ต้องมาร่วมทีมกันปราบเอเลียน และยังมีหนังเรื่อง Willy’s Wonderland เขาจะได้รับบทเป็นภารโรงที่มาทำงานใช้หนี้ในสวนสนุกร้างที่มีหุ่นกลออกอาละวาดตอนกลางคืน ซึ่งเรื่องนี้เขาจะได้โชว์ความสามารถ ไม่พูดอะไรเลยตลอดทั้งเรื่อง
แต่ในอนาคตเป็นไปได้ว่า นิโคลัส เคจ อาจจะได้กลับมาแสดงหนังฟอร์มยักษ์อีกครั้ง เพราะโปรดิวเซอร์เจอร์รี บรักไฮเมอร์ ประกาศแล้วว่าจะสร้าง National Treasure 3 ซึ่งหากเขากลับมาปิดตำนานไตรภาคนี้ เรียกได้ว่าเป็นการคืนฟอร์มในรอบทศวรรษเลยทีเดียว
เรื่อง: จากเพจ ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้
อ้างอิง:
https://www.mirror.co.uk/3am/celebrity-news/how-nicolas-cage-blew-150m-22479827
https://editorial.rottentomatoes.com/guide/all-nicolas-cage-movies-ranked/
https://www.forbes.com/sites/zillow/2013/10/23/new-orleans-lalaurie-house-has-gruesome-past/?sh=1ee6d614df48
https://www.theguardian.com/film/2018/oct/01/nicolas-cage-if-i-dont-have-a-job-to-do-it-can-be-very-self-destructive