แผ่นดินไหว สึนามิ รังสีจากเตาปฏิกรณ์ปรมาณู สัตว์ประหลาดทำลายโลกและภัยพิบัติอื่น
ประเด็นที่ Godzilla เวอร์ชัน 2014 ทิ้งเรื่องราว 'ระหว่างบรรทัด' ให้ได้ติดตาม นอกเหนือไปจากความแฟนตาซีในข้างต้นแล้ว
Godzilla ภาคนี้มี "สาร" ที่น่าสนใจว่าด้วยเรื่อง "ความไม่มั่นคง" ของสังคมมนุษย์ หนังได้ยั่วล้อประเด็นนี้กับการ "ควบคุมข้อมูลข่าวสาร" ของรัฐ (เพื่อรักษา "ความมั่นคง" ในสังคม) ได้อย่างแหลมคมตั้งแต่ต้นเรื่องผ่านรูปแบบการแนะนำตัวละครหรือทีมงาน
การแนะนำตัวละครและทีมงานตอนเริ่มต้นเรื่อง พอขึ้นเครดิตแล้ว กราฟฟิกของชื่อของตัวละครและทีมงานดูเหมือนจะจงใจใช้แถบทึบปกปิดรายละเอียดบางอย่าง พร้อมกับการนำเสนอภาพเหตุการณ์จริงในอดีตนั่นคือ การทดลองระเบิดปรมาณูอันอื้อฉาวของอเมริกาที่เกาะบิกีนี อะโทล เมื่อ ค.ศ.1954 โดยรายละเอียดของภาพเหตุการณ์ดูคลุมเครือเหมือนมีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ในฉากของเหตุการณ์นั้น เพื่อบอกเป็นนัยว่า หลังจากนี้จะมีการปกปิดข้อมูลจากรัฐ เพื่อความมั่นคงของสังคม
การวางคอนเซ็ปต์ที่สนจะแข็งแรงตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำให้ Godzilla 2014 สามารถที่จะวางพล็อตสนุก ๆ ว่าด้วยทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) เพื่อสร้างน้ำหนักให้กับการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดได้อย่างน่าสนใจ เป็นต้นว่าว่าสัตว์ประหลาดใต้พิภพของเรามีมานานแล้ว แต่ครั้งแรก ๆ ที่มันปรากฏตัวขึ้นมาก็ประมาณทศวรรษที่ '50 ซึ่งการทดลองระเบิดปรมาณูที่เกาะบิกีนี อะโทล เมื่อปี 1954 แท้จริงแล้วมันคือการใช้ระเบิดเพื่อทำลายสัตว์ประหลาดนั่นเอง
และการปกปิดข่าวสารของรัฐ นำมาซึ่งการไขปริศนาของสองพ่อ-ลูก โจและฟอร์ด โบรดี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ในปี 1999 โจ, โบรดี้ผู้พ่อผู้เป็นวิศวกรนิวเคลียร์ได้สูญเสียภรรยาซึ่งทำงานด้วยที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จันจิร่าที่ญี่ปุ่นเพราะรังสีเกิดรั่วไหลเพราะแผ่นดินไหว จนทำให้โรงไฟฟ้าเสียหาย และต้องปิดเมืองนั้นเพื่อกันรังสีรั่วไหลในที่สุด
แต่โจไม่ได้เชื่อในข้อมูลที่ทางรัฐให้มา เขาจึงพาฟอร์ด ผู้เป็นลูกชายซึ่งเป็นทหารในกองทัพเรืออเมริกามาสืบหาความจริงจนได้ทราบว่า แท้จริงแล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์นั้นเสียหายเพราะว่าเจ้าสัตว์ประหลาด "มูโต้" ซึ่งกินรังสีปรมาณูเป็นอาหาร อันนำมาสู่ธีมขายของเรื่อง นั่นคือการต่อสู้กันระหว่าง มูโต้ และก็อดซิลล่า สัตว์ประหลาดขวัญใจมหาชน ซึ่งท้ายที่สุดรัฐก็ไม่สามารถปิดบังข่าวสารนี้ได้จึงต้องประกาศภาวะฉุกเฉินไม่ต่างจากโลกความจริงที่หลายประเทศเคยมีการปิดบังข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสต่าง ๆ หรือการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสี
"สาร" สำคัญอีกประเด็นหนึ่งใน Godzilla 2014 นี้ นั่นก็คือ การปะทะกันระหว่างความคิดที่ว่า ปัญหาที่มันเกิดขึ้นควรจะให้ "มนุษย์" เข้ามาแทรกแซงหรือปล่อยให้ "ธรรมชาติ" จัดการสมดุลของมัน คือ ในตอนที่ "มูโต้" และ "ก็อดซิลล่า" ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ทำให้โลกมนุษย์เสียหายอย่างมากมาย จนฝ่ายทหารออกคำสั่งแบบ "สายเหยี่ยว" ออกมาว่า ให้ทำลายสัตว์ประหลาดด้วยอาวุธหนักเสีย แต่ทางฝั่งนักวิทยาศาสตร์ได้คัดค้านว่า ให้ธรรมชาติจัดการสมดุลของมันเองในความหมายที่ว่า จงให้ก็อดซิลล่าไปฟัดกับมูโต้เสีย
แม้ว่าในตอนแรก มนุษย์จะพยายามเข้ามาแทรกแซงวิกฤตการณ์นี้ แต่บทเรียนที่ได้รับคือ แม้ว่าอารยธรรมของมนุษย์จะไปได้ไกลระดับผลิตอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง แต่ก็ยังไม่สู้ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่สุดแล้วต้องปล่อยให้ธรรมชาติจัดการสมดุลกันเองด้วยการเปิดโลกใบนี้ให้เป็นเวทีต่อสู้กันของเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์สองสายพันธุ์นี้เสียเลย จนดูเหมือนว่าก๊อดซิลล่า คือ ซูเปอร์ฮีโร่ที่มาช่วยเหลือมนุษย์โลก ซึ่งเราอาจจะ "อ่าน" ท่าทีแบบนั้นกันไปเองเพราะอีกมุมหนึ่งก็อดซิลล่าต่อสู้เพราะสัญชาตญาณ "นักล่า" ที่ต้องล่า "ผู้ถูกล่า" อย่างมูโต้ เพียงเท่านั้น
ส่วนมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่พยายามแยกตัวออกจากธรรมชาติ ในสายตาของ ก็อดซิลล่า มีสถานะเป็นเพียง "ผู้ที่ไม่ถูก (ก็อดซิลล่า) ล่า" และชัดเจนอยู่แล้วว่า นัยยะของคำว่า Godzilla ในภาษาอังกฤษ อักษร 3 ตัวแรกผสมกันเป็นคำว่า God ซึ่งแปลว่า พระเจ้า ยิ่งตอกย้ำตำแหน่งแห่งที่ว่า ธรรมชาติ (ในฐานะ พระเจ้า) ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์มากมายยิ่งนัก