ออกจากโรงเรียน หอบฟูกและหมอนออกจากบ้าน กว่าจะเป็นอัศวินรัตติกาล ‘The Weeknd’
Raymond James Stadium รัฐฟลอริดา สถานที่จัดงาน Pepsi Super Bowl LV Halftime Show - The Weeknd ในเสื้อสูทสีแดงสด ยืนอยู่บนเวทีที่ถูกเซตฉากเป็นตึกและเมืองพร้อมกับสองแขนที่กางออกจนกว้างและแหงนใบหน้าขึ้น ท่วงท่าของเขาราวกับเป็น ‘Young God’ เพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางชาวเมืองที่ล้วนสวมหน้ากากทรงประหลาด
เพลงดังของ The Weeknd จากอัลบั้มก่อน ๆ อย่าง ‘Starboy’, ‘The Hills’, ‘Can’t Feel My Face’ และ ‘I Feel It Coming’ ถูกเพอร์ฟอร์มในครึ่งแรก ตามมาด้วย ‘Save Your Tears’ และพลุที่ถูกจุดขึ้นประดับฟ้า พร้อมด้วยฉากและผู้คนที่อลังการงานสร้างอยู่ไม่น้อยในครึ่งหลัง ที่โชว์เพลงอย่าง ‘Earned It’, ‘House Of Balloons’ และ ‘Blinding Light’ โดยเฉพาะในสองเพลงท้ายที่ดีไซน์สนามอเมริกันฟุตบอลให้เป็นเวทีได้อย่างคุ้มค่าและน่าสนใจ
Halftime Show จบลงพร้อมด้วยเสียงเชียร์ล้นหลามจากทั้งคนดูขอบสนามและผู้ชมผ่านออนไลน์ การแสดงของ The Weeknd ที่ถูกฉายไปทั่วโลกนั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้การแสดงของศิลปินคนอื่น ๆ รวมทั้งศิลปินที่เขาชื่นชอบบนเวทีเดียวกันอย่าง ‘Prince’ เมื่อปี 2007 นับเป็นอีกหนึ่งเวทีที่การันตีความสามารถของชายผู้เป็นเจ้าของฉายา ‘อัศวินรัตติกาล’ และ ‘ทายาทนอกสายเลือดของไมเคิล แจ็กสัน’ คนนี้ได้เป็นอย่างดี
สิบเจ็ดปีและชีวิตที่เหลือ
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก The Weeknd มีชื่อโดยกำเนิดว่า ‘อาเบล แมกโคแนน เทสเฟย์’ (Abel Makkonen Tesfaye) เขาเกิดและโตในโตรอนโต แคนาดา และมีสายเลือดของชาวเอธิโอเปียในตัว เด็กชายเทสเฟย์โตมาโดยไร้พ่อ แม่ของเขาต้องทำงานหนักและเปลี่ยนงานอยู่บ่อย ๆ เพื่อเลี้ยงดูเขา วัยเด็กส่วนมากของเทสเฟย์จึงอยู่ใต้ความดูแลของผู้เป็นยาย
เทสเฟย์ไม่สนิทกับพ่อนัก อันที่จริงพวกเขาแทบไม่เคยเจอกันเลยด้วยซ้ำ
“ผมจำได้ราง ๆ ว่าเจอเขาตอนหกขวบ อีกครั้งก็ตอนสิบเอ็ดขวบ พ่อมีครอบครัวใหม่ และผมไม่รู้แม้แต่ที่อยู่ของเขา แต่ผมก็แน่ใจว่าเขาเป็นคนดี เขาไม่ใช่พวกชอบทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่พวกติดเหล้า ไม่ใช่พวกงี่เง่านิสัยแย่ด้วย เขาแค่ไม่ได้อยู่กับเรา”
วัยเด็กของเทสเฟย์นั้นไม่ต่างจากเด็กคนอื่น ๆ นัก เว้นเสียแต่ว่าภาษาแรกที่เขาได้เล่าเรียนนั้นเป็นภาษาอัมฮาริค อันเป็นผลพวงมาจากยายของเทสเฟย์ที่มักจะพาเขาไปโบสถ์และทำกิจกรรมตามแบบเอธิโอเปียนเสมอ เทสเฟย์เรียนและเล่น - เล่นและฟังเพลง เขาไม่ได้วาดฝันอนาคตอย่างจริงจังเท่าไรนักจนกระทั่งอายุสิบเจ็ด
เทสเฟย์อยากอยู่ในวงการดนตรี และสิ่งแรกที่เขาทำเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝันคือการออกจากโรงเรียน
“พวกเราหอบฟูกและหมอนของที่บ้านโยนขึ้นรถตู้ของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม แม่ของผมยืนดูอยู่ด้วยตอนที่เราเตรียมขับรถออกจากบ้าน เธอมองผมเหมือนกับว่าเธอล้มเหลว (ในการเลี้ยงลูก) นั่นทำให้ผมรู้ตัวทันทีว่าผมจะกลับบ้านมือเปล่าไม่ได้”
อาทิตย์แรกของการออกจากบ้าน แต่ละวันของเทสเฟย์รายล้อมไปด้วยยาเสพติดนานาชนิด เขาและเพื่อนเพลิดเพลินไปกับการปาร์ตี้เหล้ายา ผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า และความอิสระแบบไม่ต้องมีผู้ปกครองมาคอยควบคุม
“ผมเกือบจะทำพลาด” เทสเฟย์บอก “มันยากที่คนเราจะได้โอกาสครั้งที่สอง แต่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนั้นใคร ๆ ก็ต้องการโอกาสครั้งที่สองทั้งนั้น”
แม้เทสเฟย์จะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดของวันเวลาเก่า ๆ มากนัก หากชื่อ ‘The Weeknd’ ก็เกิดจากการหอบของออกจากบ้านเพื่อไปตามหาความฝันและทำทุกวันให้เป็นวันหยุด (weekend) ของเขา ส่วนเรื่องราวนอกจากนั้นล้วนถูกบรรจุไว้ในบทเพลงจากไตรอัลบั้มชุดแรก ‘Trilogy’ (2012) ที่มีเพลงอย่าง ‘House Of Balloons’ และ ‘High For This’ ทำหน้าที่บอกเล่าถึงช่วงเวลาสุดเหวี่ยงของขวบปีแรก ๆ ในการทำเพลง
อัศวินรัตติกาลแห่งวงการเพลง
“ช่วงแรกที่ผมทำเพลงแค่ห้าร้อยวิวก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นล้าน ตั้งห้าร้อยวิวเลยนะ! Holy shit!”
(I don’t Know how many it actually was, but it felt like a million. Five Hundred Plays? Holy Shit!)
นั่นคือสิ่งที่เทสเฟย์รู้สึกในช่วงที่เขาปล่อยเพลงในนามนักร้องของ XO Records – ค่ายเพลงที่เขาและพรรคพวกตั้งขึ้น
‘Trilogy’ ไตรอัลบั้มที่ประกอบด้วยเพลงสามเซต เซตละสิบเพลง รวมทั้งอัลบั้มเป็นสามสิบเพลง ถูกปล่อยออกมาในช่วงนั้น เอกลักษณ์และความมืดหม่นทางดนตรีของเขาเริ่มผ่านไปเข้าหูเข้าตาคอเพลงหลาย ๆ คน รวมทั้ง ‘เดรค’ (Drake) แร็ปเปอร์แถวหน้าที่เล็งเห็นความสามารถของเขา และคอยช่วยโปรโมต เทสเฟย์มีโอกาสได้เซ็นสัญญากับ Republic Records เมื่อปี 2013
“ผู้คนบอกว่าผมกำลังเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเพลงป็อป” คือสิ่งที่เทสเฟย์พูดถึงไตรอัลบั้ม ‘Trilogy’ ของเขา
“ผมอาจจะทัวร์อัลบั้ม Trilogy ไปตลอดชีวิตก็ได้ ไม่มีใครสามารถทำ ‘Trilogy’ (ปล่อยเพลงสามเซตรวด) ได้อีกโดยไม่รู้สึกขอบคุณผม ศิลปินมากมายเริ่มปล่อยเพลงของเขาให้เร็วขึ้นและเร็วขึ้น จัสติน ทิมเบอร์เลคปล่อยสองอัลบั้มติดในปีเดียว บียอนเซปล่อยเซอร์ไพรส์อัลบั้ม ผมจะไม่พูดชื่อเพลงออกมาหรอกนะ แต่คุณหาฟังในวิทยุได้ ทุกเพลงเดี๋ยวนี้เหมือน ‘House of Balloons’ 2.0 เลย”
ด้วยตัวตนและความสนใจที่ถูกเล่าผ่านดนตรี เทสเฟย์หรือ The Weeknd กลายเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าของเสียงร้องสไตล์เอธิโอเปียนที่มีลูกเอื้อนคล้ายไมเคิล แจ็กสัน จนใครหลาย ๆ คนบอกว่าเขาคือทายาทที่จะสืบทอดตำแหน่ง ‘ราชาเพลงป็อป’ ต่อจาก MJ ผู้ล่วงลับ พร้อมด้วยฉายา ‘อัศวินรัตติกาล’ ที่นักข่าวหลายสำนักใช้เรียกเขาเพื่อสื่อถึงแนวเพลงอันมืดหม่นทว่ามีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย
The Weeknd กลายเป็นอัศวินแห่งเม็ดยา เซ็กส์ ความเจ็บปวดและฝันร้ายภายในอัลบั้ม ‘Trilogy’ (2012), ‘Kiss Land’ (2013) และ ‘Beauty Behind The Madness’ (2015) ก่อนที่จะกลายเป็นผู้เล่นหลักในเกมดนตรีที่เขามีส่วนเปลี่ยนโฉมหน้าของมัน
อัศวินผู้พลาดถ้วยรางวัล
หลังจากความสำเร็จอย่างงดงามของอัลบั้ม ‘Starboy’ ที่ทำงานร่วมกับ Daft Punk เมื่อปี 2016 ตามมาด้วยเพลง ‘Call Out My Name’ จากอัลบั้ม ‘My Dear Melancholy,’ เมื่อปี 2018 The Weeknd ก็ได้ฤกษ์ปล่อย ‘After Hours’ (2020) ที่ประกอบด้วย 14 แทร็ก และมีเพลงจำอย่าง ‘Blinding Lights’ และ ‘Save Your Tears’ ซึ่งในเพลงหลังนี้เทสเฟย์ได้เซอร์ไพรส์แฟน ๆ ด้วยการปรากฏตัวในมิวสิกวิดีโอพร้อม ‘หน้าใหม่’ ที่ได้จ้างทีมเมกอัพสตูดิโอมาช่วยปั้นแต่งโครงหน้าเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
‘ผมพยายามจะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองจนสูญเสียตัวตนของคนในฮอลลีวูด’ คือคำตอบของเขาเมื่อถามถึงเบื้องหลังความ ‘ว้าว’ ของเอ็มวีที่ว่า
หลังจากการเลิกเรียนหนังสือแล้วสตาร์ทรถออกจากบ้านในวัยสิบเจ็ดปี วันนี้เทสเฟย์ หรือ The Weeknd ในขวบปีที่สามสิบไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า หากแต่กลับไปพร้อมเงินมากพอที่จะซื้อบ้านหลังใหม่ให้แม่ เทสเฟย์ประสบความสำเร็จบนทางเดินที่เลือก แม้ว่าเขาจะพลาดการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีประจำปี 2021 หากแฟน ๆ และเพื่อนศิลปินหลายคนก็ยังยกย่องว่าผลงาน ‘Blinding Light’ ของเขาก็เจ๋งไม่แพ้ใคร
อย่างเช่น เอลตัน จอห์น (Elton John) ที่ออกมาโพสต์อินสตาแกรมด้วยถ้อยคำว่า “ในความเห็นของผมนะ Blinding Light คือเพลงแห่งปีและอัลบั้มแห่งปี ด้วยความเคารพ”
เรื่อง: จิรภิญญา สมเทพ
ที่มา: https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-55070142
https://www.rollingstone.com/music/music-news/sex-drugs-and-rb-inside-the-weeknds
https://www.theguardian.com/music/2016/dec/03/the-weeknd-abel-tesfaye
https://hypebae.com/2021/2/the-weeknd-face-bandages-plastic-surgery-after-hours