เหลียงเฉาเหว่ย: จากเด็กส่งหนังสือพิมพ์ในร้านชำ เปลี่ยนชะตาชีวิตเพราะโจวซิงฉือ
หลายคนอาจจะตีความหมายของคำว่า “นักแสดงเจ้าบทบาท” ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวตนเพื่อแสดงให้สมบทบาท บ้างก็ยอมเพิ่มน้ำหนักตัวเองให้อ้วน หรือเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเพื่อให้ได้มาซึ่งบทบาทการแสดงที่สมจริงและยิ่งใหญ่
แต่ท่ามกลางนักแสดงนับหมื่นนับพันที่โลดแล่นบนจอ จะมีเพียงนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่ไม่เปลี่ยนภาพลักษณ์อะไรมากมาย แต่เรากลับเชื่อมั่นอย่างสนิทใจในบทบาทที่เขาได้รับ ไม่ว่าบทนั้นจะเป็นตำรวจในคราบโจร / เป็นปรมาจารย์แห่งโลกกังฟู / เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีสัมพันธ์ลับๆ กับหญิงสาวข้างห้อง / เป็นตำรวจที่จมอยู่ในห้วงความรักที่ผิดหวัง หรือกระทั่งชายรักชายที่หลีกลี้หนีไกลสุดขอบโลกที่ทวงถามหาความสุขของชีวิต บทบาทอันหลากหลายอยู่ในตัวตนที่ภายนอกไม่ถูกปรุงแต่งใด ๆ แต่ข้างในกลับสวมบทบาทนั้น ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
มาทำความรู้จักซูเปอร์สตาร์ยอดฝีมือ “เหลียงเฉาเหว่ย” ในแบบเข้าถึง และใกล้ชิดไปพร้อม ๆ กัน
บทที่ 1 วัยเด็กที่เก็บกด ก่อเกิดบทบาทที่ลุ่มลึก
เสมือนหนังชีวิตสุดรันทดที่เรามักได้ดูในยุคก่อน ชีวิตของเหลียงเฉาเหว่ย อยู่ในครอบครัวฐานะยากจน พ่อและแม่มักทะเลาะกันต่อหน้าเขาและน้องสาวอยู่เสมอ เพราะพ่อติดการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว จนกระทั่งพ่อของเขาออกจากชีวิตไปในช่วงที่เขาอายุ 8 ขวบ ทิ้งให้ผู้เป็นแม่ต้องเลี้ยงดูเขาและน้องสาวอย่างโดดเดี่ยว จากวัยเด็กที่เคยซุกซนทำให้เขาต้องกลายเป็นเด็กเก็บกดและดื้อเงียบจากปัญหาครอบครัวที่เป็นฝันร้ายหลอกหลอนเขาในวัยเด็ก เหลียงเฉาเหว่ยเคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ China Daily ถึงช่วงเวลาอันแสนหดหู่นี้ว่า
“คุณอาจจะไม่รู้ว่า หลังจากพ่อจากไปเพียงวันเดียว ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน...ผมไม่อยากยุ่งกับใครในโรงเรียนเพราะกลัวพวกเขาจะรู้ว่าพ่อผมเป็นผีพนัน ผมกลายเป็นคนเก็บกดและเกลียดการพนันเข้าไส้ แต่ในทางกลับกัน มันก็ทำให้ผมรักการแสดง เพราะมันเปิดโอกาสให้ผมได้แสดงความรู้สึกต่าง ๆ ที่ในวัยเด็กผมไม่สามารถทำมันได้”
แม้ว่าแม่ของเหลียงเฉาเหว่ยจะต้องดูแลลูกทั้ง 2 เพียงลำพัง แต่ในฐานะที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้าน เหลียงเฉาเหว่ยที่แต่ก่อนเป็นเด็กเกเรก็เปลี่ยนไป
เขาเห็นผู้เป็นแม่ทำงานหาเลี้ยงเขาและน้องสาวอย่างกระเบียดกระเสียร ทำให้เหลียงเฉาเหว่ยรู้สึกว่าการเรียนในโรงเรียนนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้แม่ต้องปากกัดตีนถีบส่งเสียให้เรียนที่โรงเรียนเอกชนราคาแพง สุดท้ายเหลียงเฉาเหว่ยก็ตัดสินใจเลิกเรียนตอนอายุ 15 เพื่อหางานทำช่วยแม่
เขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ในร้านขายของชำของลุง และรับจ้างทั่วไปตั้งแต่พนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้า, ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ไปจนถึงรับจ้างทั่วไป จนกระทั่งเหลียงเฉาเหว่ยได้เจอเพื่อนซี้ ที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาไปตลอดกาล นั่นก็คือ โจวซิงฉือ นั่นเอง เมื่อเพื่อนซี้ได้ชวนเขาเพื่อสมัครเรียนการแสดงของช่องโทรทัศน์ TVB เหลียงเฉาเหว่ยไม่ลังเลที่จะไปสมัคร เพราะเขารักในการแสดง และแน่นอนรายได้มหาศาลจากชื่อเสียงย่อมจะช่วยให้ครอบครัวเขารอดพ้นจากความยากจน
บทที่ 2 เข้าสู่วงการในฐานะ 5 พยัคฆ์ทีวีบี
จนในที่สุดทั้งเหลียงเฉาเหว่ยและโจวซิงฉือก็ได้เข้าวงการบันเทิงในฐานะพิธีกรรายการเด็ก 430 Space Shuttle (1982) ที่ทั้งคู่ทำหน้าที่เรียกเสียงฮาจนรายการฮิตติดลมบน แต่เหลียงเฉาเหว่ยมีความต้องการที่ทะเยอทะยานมากกว่านั้นนั่นคือการแสดง
และโชคก็เข้าข้างเขา เมื่อ TVB จัดโครงการรวมดาวรุ่งเลือดใหม่ทั้ง 5 คน ในชื่อ “5 พยัคฆ์ทีวีบี” (1982) ซึ่งหนึ่ง
ในนั้นก็คือหลิวเต๋อหัว ด้วยใบหน้าที่ดูเด็กและอายุน้อยทำให้เขาได้รับขนานนามเป็น พยัคฆ์น้องเล็กคนสุดท้อง และได้แสดงในหนังชุด TVB ประเดิมการแสดงครั้งแรกในหนังจีนชุด เทพบุตรสลัม (Soldier of Fortune, 1982) และได้ชิมลางเป็นพระเอกด้วยเรื่อง นักสู้ผู้พิทักษ์หรือขวัญใจโปลิศ (Police Cadet’84, 1984) ประกบกับจางม่านอวี้ หนังจีนชุดเรื่องนี้โด่งดังจนมีภาค 2 ตามมา
แต่ที่สร้างชื่อเสียงทำให้แฟน ๆ ทั่วทั้งเอเชีย รวมไปถึงประเทศไทยรู้จักเหลียงเฉาเหว่ยอย่างเป็นทางการคือสุดยอดแห่งหนังจีนชุดกำลังภายใน จอมยุทธอุ้ยเสี่ยวป้อ (The Duke of Mountdeer, 1984) จอมยุทธสุดทะเล้น ที่ได้พี่ใหญ่หลิวเต๋อหัว ร่วมแสดงนำด้วย
ความกะล่อนรอบจัดและฉลาดเป็นกรดทำให้ เหลียงเฉาเหว่ยเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับโอกาสเล่นหนังจีนชุดอีกหลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะบทบาทของ ลูกปลาน้อย ใน เดชเซียวฮื่อยี้ (Two Honorable Knight, 1988) ก็เป็นที่ประจักษ์แก่ฝีไม้ลายมือการแสดงของเขา
บทที่ 3 หาแรงบันดาลใจในบทบาทอันหลากหลาย
ในขณะที่รุ่นพี่อย่างหลิวเต๋อหัวเริ่มกรุยทางสู่จอเงิน เหลียงเฉาเหว่ยก็เริ่มตามรอยรุ่นพี่ด้วยการเล่นหนังจอใหญ่บ้าง โดยหนังเรื่องแรกที่เขาได้แสดงในบทตัวประกอบคือหนังตลกอย่าง Mad, Mad 83 และเล่นหนังที่ไม่ค่อยน่าจดจำในอีกหลายปี
ก่อนที่เขาจะเริ่มเป็นที่รู้จักจากหนังคุณภาพอย่าง คนตัดเดือด (Love Unto Wastes, 1986) ที่ฉายแววการแสดงจนทำให้เหลียงเฉาเหว่ยได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงเป็นครั้งแรกในฐานะนักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม หลังจากนั้นเพียงปีเดียวเขาก็สามารถคว้ารางวัลได้สำเร็จในรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยมจากหนัง ปล้นแหกคอก (People's Hero, 1987) และคว้าอีกครั้งในหนัง ขอโทษอย่าโหดได้ไหม (My Heart is that Eternal Rose, 1989) ในปี 1989 และปีเดียวกันนั้นได้รับโอกาสได้ร่วมงานกับผู้กำกับไต้หวัน โหวเสี่ยวเสี้ยน ในหนัง A City of Sadness (1989) ทำให้เหลียงเฉาเหว่ยเริ่มค้นพบแนวทางของตน เมื่อรุ่นพี่อย่างหลิวเต๋อหัวเดินสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทั้งร้องเพลงและแสดงหนัง เหลียงเฉาเหว่ยแม้จะเดินตามรุ่นพี่ทุกประการ แต่สำหรับการแสดง เขาเลือกที่จะเป็น Actor มากกว่า Star
แต่ช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของเหลียงเฉาเหว่ยคือทศวรรษ 1990 เมื่อเขาหมดสัญญากับทาง TVB และเดินหน้าแสดงภาพยนตร์อย่างเต็มตัว บทบาทมากมายที่ได้รับ ที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับชั้นครูแห่งยุคอย่าง จอห์น วู กอดคอกันไว้อย่าให้ใครเจาะกะโหลก (Bullet in the Head, 1990), ทะลักจุดแตก (Hard Boiled, 1992) หรือหนังแอ็คชันที่ร่วมพล 5 พยัคฆ์ทีวีบีอย่าง เพื่อเพื่อนสับมันเลย (The Tigers, 1991) หนังตลกที่โชว์ฝีมือการเล่นมุกอันแพรวพราวอย่าง เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมด (The Days of Being Dumb, 1991) หรือ มังกรหยกหยกก๊าหว่า (The Eagle Shooting Heroes, 1993)
แต่คนที่ทำให้เหลียงเฉาเหว่ยรู้จักการแสดงอย่างแท้จริง ไม่ใช่ใครที่ไหน ผู้กำกับหนุ่มผู้อยู่ภายใต้แว่นกันแดดสุดเหงา เขาผู้นั้นก็คือ หว่องการ์ไว นั่นเอง
บทที่ 4 เข้าถึงบทบาทด้วยการแสดงจากภายใน
แม้การปรากฏตัวครั้งแรกของเหลียงเฉาเหว่ย จะเกิดขึ้นในหนังที่สร้างชื่อให้กับหว่องการ์ไว ในหนัง วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า (Days Of Being Wild, 1991) เพียงเสี้ยววินาที แต่หลังจากนั้น เหลียงเฉาเหว่ยก็กลายเป็นนักแสดงประจำของหว่องการ์ไวในเวลาต่อมา เขาเริ่มเล่นหนังของหว่องใน ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง (Chungking Express, 1994) ในบทบาทตำรวจขี้เหงาที่ไม่ยอมมูฟออนจากคนรักเก่า ที่มองสบู่เศร้าผ่ายผอมและผ้าขี้ริ้วที่นองด้วยน้ำตา และปีเดียวกันก็ได้ปรากฏโฉมในหนัง มังกรหยก ศึกอภิมหายุทธ (Ashes of Time, 1994) ที่ตีความมังกรหยกในเชิงศิลปะสุดโต่ง
แต่บทบาทที่ทำให้เขาได้เข้าใจในการแสดงปรากฏเด่นชัดในหนัง กลับเป็นบทชายรักชายที่พิสูจน์รักแท้ไกลถึงอีกซีกโลกในหนัง โลกนี้รักใครไม่ได้นอกจากเขา (Happy Together, 1997) การที่เขารับบทเกย์นั้นไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกลับเป็นการแสดงเลิฟซีนร่วมกันกับเลสลี จาง
เขากระอักกระอ่วนใจเมื่อต้องเข้าฉากการแสดงแบบถอดทุกชิ้น จนวอนขอให้เหลือเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว แม้ซีนนั้นจะผ่านไปด้วยดี แต่เลสลี จาง ที่ในชีวิตจริงเป็นเกย์ ได้กล่าวกับเหลียงเฉาเหว่ยถึงซีนนั้นว่า “ถ้านายรู้สึกอึดอัดกับการกอดรัดผู้ชายเมื่อกี้นี้ เราก็รู้สึกไม่ต่างกันกับการกอดรัดผู้หญิงแล้วมีความสุขเช่นกัน...แต่เราทำมาเกือบทั้งชีวิต” คำพูดเพียงคำเดียวของเลสลีจาง ทำให้เหลียงเฉาเหว่ยเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการแสดงที่แม้เขาจะผ่านหนังมาอย่างมากมาย และ Happy Together ทำให้เขาคว้ารางวัลทางการแสดงอีกครั้ง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า การแสดงของเขานั้นยังยอดเยี่ยมไม่เพียงพอ เพราะเขายังเข้าถึงบทบาทได้ไม่ดีนัก ทำให้หลังจากนั้น เหลียงเฉาเหว่ยต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อพัฒนาการแสดงให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่งเขาได้รับโอกาสอีกครั้งจากหว่องการ์ไว ในหนัง ห้วงรักอารมณ์เสน่หา (In the Mood for Love, 2000) ที่คู่ขวัญคนแรกของเขา จางม่านอวี้ ได้โคจรกลับมาแสดงร่วมกันอีกครั้ง ในบทชายหนุ่มหญิงสาวที่ต่างคนต่างมีเจ้าของแล้ว แต่ความเหงาและความโดดเดี่ยวเปลี่ยนขั้วบวกขั้วลบให้มาเจอกัน การแสดงในระดับนิ่งแต่ลึกของเหลียงเฉาเหว่ย สร้างงานมาสเตอร์พีซให้เขาได้คว้ารางวัลระดับโลกจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นครั้งแรกในชีวิต
หลังจากนั้นเหลียงเฉาเหว่ยก็ได้แสดงในหนังของหว่องการ์ไวอีก 2 เรื่อง นั่นก็คือ 2046 (2004) กับการรับบทปรมาจารย์ยิปมันในหนัง ยอดปรมาจารย์ “ยิปมัน” (The Grandmaster, 2013) ที่ตีความความลุ่มลึกของปรมาจารย์นักสู้ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
แม้จะร่วมงานกันมาแล้วกว่า 2 ทศวรรษ แต่สำหรับเหลียงเฉาเหว่ยและหว่องการ์ไวแล้ว เขาทั้ง 2 กลับไม่ได้สนิทกันมากมายนัก
“มันเป็นเรื่องตลกมากที่เราทำงานด้วยกันมากว่า 20 ปี แต่นอกกองถ่ายเรากลับเจอกันน้อยมาก ส่วนเวลาถ่ายทำนั้นถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เราก็แทบไม่ค่อยได้คุยกันเลย การเข้าฉากในหนังของหว่อง มันเหมือนการผจญภัยที่เราต้องไปค้นหาความหมายที่เขาต้องการสื่อสารจากข้างใน แม้จะลำบากและไม่อาจคาดเดาได้เลย แต่มันก็เป็นการท้าทายสำหรับตัวผมเช่นกัน”
บทที่ 5 2 คน 2 คม มิตรภาพ และ ความผูกพัน
การแสดงของเหลียงเฉาเหว่ยในทศวรรษ 2000 ดูเป็นบทบาทที่ลุ่มลึก ด้วยหลักไมล์ของอายุการทำงานที่มากขึ้น เขารับงานน้อยลง แต่หนังหลายต่อหลายเรื่องก็ได้รับการกล่าวขวัญหลาย ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทในหนังสุดอื้อฉาวที่เขาแสดงแบบทุ่มสุดตัวอย่าง เล่ห์ราคะ (Lust,Caution, 2007) หรือการกลับมาพบกันอีกครั้งกับผู้กำกับ จอห์น วู ในมหากาพย์แห่งสงคราม สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ 1-2 (Red Cliff 1-2, 2008-2009) หรือการได้ร่วมงานกับ จางอี้โหมวในหนังกำลังภายในสุดอาร์ตอย่าง Hero (2002)
แต่บทบาทที่กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซอีกเรื่อง ที่แสดงให้เห็นทักษะการแสดงขั้นสุด คือการรับบทตำรวจในคราบโจร ที่ผลัดกันแสดงบทบาทด้านขาวด้านดำกับหลิวเต๋อหัว ในหนังที่เป็นทั้งหลักไมล์และหลักชัยของหนังฮ่องกงยุคใหม่อย่าง 2 คน 2 คม (Infernal Affairs, 2002) การแสดงในเชิงลึกและซับซ้อน แสดงให้เห็นภาพความสับสนของคนที่ต้องทำหน้าที่เป็นสายให้ตำรวจที่ต้องแลกด้วยความอันตรายรอบด้าน และความไม่ปลอดภัยในชีวิต ทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายในทุกสถาบันที่จัดในปีนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกภาคภูมิใจคือการโคจรกลับมาแสดงร่วมกันกับลูกพี่ใหญ่ของ 5 พยัคฆ์ทีวีบีอย่างหลิวเต๋อหัว ที่เขานั้นเคารพนับตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ
และข่าวดีคือทั้ง 2 กำลังหวนคืนจออีกครั้งในรอบ 18 ปี กับหนังเรื่อง Goldfinger หนังแอ็คชันระทึกขวัญที่เล่าเรื่องการหักเหลี่ยมเฉือนคมทุจริตในเชิงชั้นธุรกิจที่มีแบคกราวนด์เป็นฮ่องกงในยุค 80s
บทที่ 6 การโกอินเตอร์ ความรัก และมิตรภาพ
แม้นักแสดงมากมายจะเดินสายไปสร้างความยิ่งใหญ่ในโลกฮอลลีวูด แต่สำหรับเหลียงเฉาเหว่ย ดูเหมือนมันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะไปเฉิดฉาย และในที่สุดความฝันของแฟน ๆ ที่จะได้ยลโฉมเขาในหนังฮอลลีวูดก็เป็นความจริง และเป็นบทบาทที่ไม่ธรรมดาเสียด้วย เมื่อเขาได้รับบทเป็น The Mandarin หนึ่งในวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่ของ Marvel Comic ในหนัง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ที่มีกำหนดฉายในปีนี้
ในด้านความรัก เขาฟูมฟักความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกับนักแสดงอย่าง หลิวเจียหลิง เป็นความรักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนการแสดงด้วยกัน และแสดงนำด้วยกันในหนังหลายต่อหลายเรื่อง
ความผูกพันอันยาวนานและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อหลิวเจียหลิงถูกลักพาตัวไปในตอนที่เหลียงเฉาเหว่ยเพิ่งกำลังเข้าฉากในหนัง Days of Being Wild (ทำให้มีการคาดเดาว่าที่เขาปรากฏตัวในหนังเพียงไม่กี่วินาทีเกิดจากช่วงเวลาที่แฟนสาวของเหลียงเฉาเหว่ยถูกลักพาตัวไป) แม้จะถูกลักพาตัวและได้รับการปล่อยตัวไปในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่หลิวเจียหลิงก็พบกับประสบการณ์อันแสนชอกช้ำ เมื่อคนที่ลักพาตัวเธอไปนั้นจับเธอแก้ผ้าและถ่ายรูปเพื่อทำการแบล็คเมล์ โดยมีการเชื่อมโยงเกี่ยวกับมาเฟียผู้มีอิทธิพลในเกาะฮ่องกงที่มีปัญหาทางธุรกิจกับเธอ และเหลียงเฉาเหว่ยนี่แหละที่เดินเรื่องจัดการจนตำรวจสามารถจับตัวคนผิดไว้ได้
แม้จะผ่านประสบการณ์เลวร้ายมาอย่างสาหัส แต่เหลียงเฉาเหว่ยก็ครองรักกับหลิวเจียหลิงมาอย่างยาวนาน เขาคบหาดูใจกันเป็นเวลา 18 ปี และตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์ที่ภูฏานในปี 2008 และครองคู่กันจวบจนปัจจุบัน
แม้ชีวิตที่เริ่มต้นจากความลำบาก แต่โอกาสและความตั้งใจที่จะเข้าถึงทุกบทบาทการแสดงอย่างมุ่งมั่น ทำให้เหลียงเฉาเหว่ยยืนหนึ่งในด้านการแสดงอันแสนลุ่มลึก และไม่แปลกใจเลยที่เขาจะสามารถหยัดยืนในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนานและยั่งยืน เป็นสง่าและความภาคภูมิใจในวงการบันเทิงแดนมังกร
ข้อมูล
http://www.chinadaily.com.cn/en/doc/2003-11/20/content_283096.htm
https://jingdaily.com/the-grandmasters-tony-leung-sheds-light-on-wong-kar-wais-adventurous-methods/
https://www.nytimes.com/2005/08/07/movies/still-in-the-mood-for-a-collaboration.html