10 มี.ค. 2564 | 15:12 น.
“ผู้คนบอกว่าผมไม่ได้เตือนเมื่อคราวที่แล้ว ผมเตือนแล้วนะ แต่ไม่มีใครฟัง ดังนั้นครั้งนี้ผมขอเตือนอีกครั้ง แม้ยังคงไม่มีใครฟัง แต่ผมจะมีเครื่องพิสูจน์ว่าผมได้เตือนแล้ว”ไมเคิล (ไมค์) เบอร์รี นักลงทุนชาวอเมริกันผู้โด่งดังจากการเป็นคนแรกที่คาดการณ์วิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ เมื่อปี 2008 ออกมาเตือนภาวะฟองสบู่รอบใหม่ ด้วยการโพสต์ข้อความบน Twitter เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2021 คำเตือนครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ และการเก็งกำไรค่าเงินสกุลดิจิทัล โดยเขาทวีตคำเตือนมากมายระหว่างเดือนธันวาคม 2020 - กุมภาพันธ์ 2021 ก่อนจะลบข้อความเหล่านั้นทิ้งไป โดยให้เหตุผลว่า “ตอนนี้พวกคุณรู้จุดยืนของผมแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องฟังจากผมอีกต่อไป” ข้อความที่ไมค์ เบอร์รี เตือนเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ครั้งใหม่มีดังนี้ “ฟองสบู่หุ้นเก็งกำไร (speculative stocks) ในที่สุดแล้วเราจะได้เห็นเมื่อนักพนันกู้หนี้มาเล่นกันมากเกินไป” เขาทวีตข้อความนี้พร้อมแสดงตารางดัชนีหุ้น S&P 500 คู่กับระดับหนี้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (margin debt) ที่ทะยานขึ้นพร้อมกันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา “ตลาดหุ้นกำลังเต้นรำอยู่บนปลายมีด” ไมค์ เบอร์รี เตือนถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ฟองสบู่บิตคอยน์ เทสลา นอกจากนี้ เขายังเตือนกระแสการเก็งกำไรเงินตราสกุลดิจิทัล โดยเฉพาะบิตคอยน์ที่กำลังร้อนแรง มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 570% ในช่วง 12 เดือนนับถึงวันที่ 8 มีนาคม 2021 และมีมูลค่าตลาดทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเรียบร้อยแล้ว โดยระบุว่า “บิตคอยน์เป็นฟองสบู่ของการเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงมากกว่าโอกาส แม้ผู้สนับสนุน (บิตคอยน์) ส่วนใหญ่จะพูดถูกเมื่อแย้งว่าทำไมมันจึงเหมาะสมในจุดนี้ของประวัติศาสตร์ หากคุณไม่รู้ว่ามีเลเวอเรจ (leverage) เท่าไรมาเกี่ยวข้องในช่วงที่กำลังไปสู่จุดนั้น คุณอาจไม่รู้พอที่จะเป็นเจ้าของมัน” “ผมไม่ได้รังเกียจบิตคอยน์ แต่ในมุมมองของผม อนาคตระยะยาวมันเป็นสิ่งเปราะบางสำหรับสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่รวมศูนย์ในโลกแห่งรัฐบาลรวมศูนย์ที่ไร้หัวใจและนิยมใช้ความรุนแรงทางกฎหมาย ซึ่งมีผลประโยชน์หลักอยู่ในธุรกิจผูกขาดด้านเงินตรา ส่วนในระยะสั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ เหตุใดผมจะไม่ชอร์ต (เก็งกำไรมูลค่าขาลง) บิตคอยน์” เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2020 ไมค์ เบอร์รี ยังทวีตว่า เขากำลังชอร์ตหุ้นบริษัทเทสลา ของอีลอน มัสก์ พร้อมท้าให้เจ้าของบริษัทนำหุ้นออกมาขายเพิ่ม เพราะเชื่อว่าหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังร้อนแรงตัวนี้กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังมีราคาเพิ่มขึ้นกว่า 575% ในปี 2020 และฟองสบู่นั้นกำลังจะแตกคล้ายราคาบ้านในสหรัฐฯ ช่วงวิกฤตซับไพรม์ที่ผ่านมา คำทำนายกลายเป็นหนังออสการ์ เรื่องราวการทำนายวิกฤตซับไพรม์ และการทำเงินมหาศาลจากวิกฤตดังกล่าวของไมค์ เบอร์รี ถูกบอกเล่าในหนังสือขายดีของไมเคิล ลูอิส ก่อนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อ ‘The Big Short เกมฉวยโอกาสรวย’ ซึ่งเริ่มออกฉายในปี 2015 The Big Short คว้ารางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมในปี 2016 ขณะที่คริสเตียน เบล ดาราผู้รับบทไมค์ เบอร์รี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในเวทีออสการ์ครั้งนั้นด้วย The Big Short เล่าเหตุการณ์ระหว่างปี 2004 - 2007 ช่วงที่สหรัฐฯ และเหล่าสถาบันการเงินในวอลล์สตรีท ยังหลงระเริงกับการเติบโตในภาคอสังหาริมทรัพย์จากการบิดเบือนกลไกการเงิน ทำให้การปล่อยสินเชื่อบ้าน (mortgage) ให้กับลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (subprime) เกิดขึ้นแพร่หลาย และกลายเป็นฟองสบู่ ไมค์ เบอร์รี ผู้จัดการกองทุนไซออน แคปิตอล (Scion Capital) ในขณะนั้น สามารถพบความผิดปกตินี้ก่อนใคร เขาจึงตัดสินใจลงทุนสวนตลาดด้วยการชอร์ตตราสารซับไพรม์ จนกระทั่งปี 2008 ฟองสบู่แตกกลายเป็นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ไมค์สามารถทำกำไรก้อนโตจากการชอร์ตครั้งนั้นเข้ากระเป๋าตัวเอง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนลูกค้ากองทุนของเขาได้ไปรวมกันกว่า 750 ล้านเหรียญ และเป็นที่มาของชื่อ The Big Short หลังประสบความสำเร็จจากการทำกำไรครั้งนั้น เขาปิดกองทุนไซออน แคปิตอล และเปิดกองทุนใหม่ชื่อ ไซออน แอสเซต เมเนจเมนต์ ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ของตัวเองเป็นหลัก (ชื่อ ‘ไซออน’ มาจากนวนิยายแนวแฟนตาซี The Scions of Shannara ที่เขาชอบอ่านสมัยเด็ก) หากเคยดูหนัง The Big Short จะพบว่า ไมค์ เบอร์รี ที่แสดงโดยคริสเตียน เบล เป็นคนมีบุคลิกไม่เหมือนใคร เขาชอบฟังเพลงแนวเฮฟวีเมทัล เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานที่ปิดประตูและรูดม่านปิดมิดชิด ไม่ชอบสุงสิงกับใคร และบุคลิกแปลก ๆ แบบนั้นมาจากชีวิตจริงของเขา ตาบอด เป็นเด็กพิเศษ เรียนจบหมอ ไมเคิล เจมส์ เบอร์รี เกิดวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1971 ที่เมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังมีอายุแค่ 2 ขวบ เขาต้องสูญเสียดวงตาข้างซ้ายไปถาวรจากการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งที่ไม่ค่อยพบบ่อยนัก และต้องใส่ตาปลอมหนึ่งข้าง ทำให้มีปัญหาบุคลิก และเป็นคนชอบเก็บตัว “ผมต้องสูญเสียพลังงานทั้งหมดที่มีไปเพื่อมองตาใครบางคน” ไมค์เผยเหตุผลที่ไม่ชอบคุยกับคนแบบซึ่งหน้า เพราะไม่สามารถสบตาได้เหมือนคนทั่วไป และนั่นทำให้เขาชอบใช้วิธีสื่อสารผ่านการส่งอีเมลโต้ตอบกับเพื่อน ๆ และลูกค้า นอกจากนี้ ไมค์ยังเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม ซึ่งมีอาการคล้ายผู้ป่วยออทิสติก ทำให้เขามีความสนใจหมกมุ่นด้านใดด้านหนึ่ง และทำอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่มีความซับซ้อนอย่างหุ้นและการเงินที่เขาชื่นชอบ และทำได้ดีกว่าคนทั่วไป ไมค์เรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแอนเจลิส (UCLA) ก่อนไปเรียนต่อแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ ในรัฐเทนเนสซี แต่หลังเรียนจบและทำงานเป็นแพทย์ฝึกหัดด้านประสาทวิทยาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้แค่ 3 ปี หมอไมค์ก็ตัดสินใจลาออกมายึดอาชีพนักลงทุน เขาก่อตั้งกองทุนไซออน แคปิตอล ในปี 2000 จากเงินก้อนเล็ก ๆ ที่มาจากมรดกของครอบครัว ก่อนจะมีชื่อเสียงจากการเขียนบล็อกด้านการลงทุนเน้นคุณค่า จนมีลูกค้าสนใจนำเงินมาร่วมลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนำมาสู่ความสำเร็จในที่สุด เชื่อในความแตกต่าง ชีวิตส่วนตัวของไมค์ เขาแต่งงาน 2 ครั้ง โดยภรรยาคนแรกเป็นชาวเกาหลี ส่วนคนปัจจุบันเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม ซึ่งพบรักกันผ่านเว็บไซต์หาคู่ เขามีลูกชายด้วยกัน 1 คน และป่วยเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรมเช่นกัน “มันแค่เป็นการพิสูจน์ว่าเขาคือเด็กฉลาด เป็นอัจฉริยะที่ขี้หลงขี้ลืม” ไมค์พูดถึงลูกชายที่มีอาการเหมือนเขา โดยเน้นมองในแง่ดี แทนที่จะเสียใจที่ลูกชายไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป ไมค์มีความเชื่อในเรื่องความแตกต่างทั้งในชีวิตส่วนตัว และชีวิตนักลงทุน เขาเชื่อว่าบุคลิกแปลก ๆ และการมีดวงตาข้างเดียวของเขา ทำให้เขาเห็นโลกในมุมต่างจากคนอื่น และเป็นที่มาของการค้นพบฟองสบู่ซับไพรม์ และความผิดปกติของตลาดการเงินที่ผ่านมาก่อนใคร “เราต้องจำไว้ว่า สังคมทั้งหลายสามารถเดินตามทางที่ผิดพลาดมาเป็นเวลายาวนาน และมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะไม่ทำตามบรรทัดฐานทางสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะได้ผลลัพธ์ที่ดี” กำไรและความเสี่ยง ปรากฏการณ์หุ้น GameStop พุ่งทะยานจากการรวมตัวของนักลงทุนรายย่อยช่วยกันดันราคาเพื่อสู้กับการชอร์ตหุ้นตัวเดียวกันของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ จนราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปเกือบ 14 เท่าภายใน 4 เดือน เมื่อปลายมกราคม 2021 ส่วนหนึ่งก็เริ่มมาจากการซื้อหุ้นตัวนี้ของไมค์ เบอร์รี “หากผมทำให้หุ้น GameStop ไปอยู่ในจอเรดาร์ของคุณ และคุณได้กำไร ผมก็ยินดีด้วยจากใจจริง” ไมค์ทวีตแสดงความยินดี ก่อนจะตำหนิพฤติกรรมเช่นนี้ของนักลงทุนรายย่อยว่า ‘อันตราย’ และ ‘ไม่เป็นธรรมชาติ’ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเข้ามาตรวจสอบ ก่อนหน้านั้น ไมค์ถือหุ้น GameStop ไว้ 1.7 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.3% ของทั้งบริษัท แม้เขาจะขายหุ้นทั้งหมดไปในไตรมาส 4 ของปี 2020 ก่อนที่ราคาจะขึ้นแบบพรวดพราด แต่ไมค์ก็ทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ไปกว่า 5 เท่าจากราคาที่เขาซื้อมาในตอนแรก นอกจากนี้ ไมค์ยังวิจารณ์ Robinhood และบรรดาแอปพลิเคชันซื้อขายหุ้นแบบใหม่ที่ไม่คิดค่าธรรมเนียมการใช้งาน ซึ่งกำลังเข้ามา disrupt วงการอุตสาหกรรมการเงินว่า แอปฯ เหล่านี้กำลังทำให้การลงทุนกลายเป็น ‘กาสิโนอันตราย’ และกระตุ้นให้เกิดการเก็งกำไรระยะสั้นจนนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น คำเตือนเหล่านี้ของไมค์ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับความสนใจในวงกว้างมากนัก สังเกตได้จากสื่อใหญ่ ๆ ไม่ค่อยมีใครรายงานความเคลื่อนไหวดังกล่าวของเจ้าพ่อนักชอร์ตรายนี้ ขณะที่ปรากฏการณ์ GameStop และ Robinhood กลับกลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงการลงทุน และดูเหมือนจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนรายย่อยในฐานะนวัตกรรมการลงทุนของโลกยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม คำเตือนของผู้มีประสบการณ์ และหมกมุ่นในด้านนี้จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างไมเคิล เบอร์รี ถือเป็นข้อความที่ต้องรับฟังอย่างตั้งใจ และไม่อาจมองข้าม เพราะเท่ากับเป็นการตอกย้ำคำพูดที่มักได้ยินกันเป็นประจำอย่างคำว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” ส่วนความเสี่ยงนั้นจะมากหรือน้อย และคำเตือนครั้งใหม่ของไมค์ เบอร์รี จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่า คำตอบคืออะไร ข้อมูลอ้างอิง: https://www.vanityfair.com/news/2010/04/wall-street-excerpt-201004 https://markets.businessinsider.com/currencies/news/big-short-michael-burry-stops-tweeting-bubble-warnings-bitcoin-memes-2021-3-1030155185 https://fortune.com/2021/03/01/bitcoin-bubble-michael-burry-big-short-investing-btc/ https://www.newsweek.com/michael-burry-big-short-investor-sold-gamestop-shares-before-they-skyrocketed-1570379 http://www.econ.ucla.edu/news/Burry%20bio-Oct2011.pdf https://news.vanderbilt.edu/2011/04/13/michael-burry-transcript/