“อยากเป็นทหารอเมริกัน”
ในวันที่ฝันและใฝ่ถึงอาชีพในอนาคตของเด็กชายวัยมัธยมฯ ต้น ได้รับคำตอบจากครูของตนว่าเป็นไปไม่ได้ ‘ปอม-ภัทรพงศ์ นิยมชาติ’ อายุ 34 ปี คือผู้ใหญ่ที่ออกมาให้กำลังใจเด็กวัยฝัน ด้วยการเล่าเรื่องราวของตนเองผ่านโซเชียลมีเดีย
ปอมบอกย้ำในฐานะชายไทยที่ไปล่าฝันไกลถึงสหรัฐฯ และคว้าอาชีพ ‘ทหารในกองทัพสหรัฐอเมริกา’ (U.S. Army) มาได้ในท้ายที่สุด ว่าทุกความฝันมีโอกาสเป็นไปได้ ขอเพียงขยัน มุ่งมั่น ตั้งใจ และอย่าได้ท้อแท้ไม่ว่าใครจะบอกให้เปลี่ยนมัน
ฝึกพูดกลางก่อนท่อง ABC
ปอมเกิดและเติบโตที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยความหวังของพ่อที่อยากจะให้เขาได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดี ๆ ทั้งคู่จึงย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ในช่วงประถมศึกษาปีที่ 4 ตอนนั้นปอมพูดภาษาไทยสำเนียงกลางได้ไม่ค่อยชัด และเพื่อน ๆ ก็ล้อเขาประจำ
“จำได้ว่าไปสั่ง ‘ข้าวไข่พะโล้’ ที่โรงเรียน แต่พูดว่า ‘ไข่พะโล่’ เขาก็หัวเราะกันใหญ่”
ในตอนนั้นอาจารย์ประจำชั้นก็เห็นใจ และช่วยสอนพูดกลางให้กับปอมทุกวันหลังเลิกเรียนเป็นเวลาหลายเดือน ไม่ต่างจากการพูดสำเนียงกลางที่ต้องใช้เวลานานเพื่อให้เริ่มคุ้นเคยกับสำเนียงกรุงเทพฯ เมื่อพูดถึงภาษาอังกฤษก็ถือว่าเป็นเรื่องยากของปอมเช่นเดียวกัน
“เริ่มท่อง ABC ตอน ป.4 นะ ไม่ใช่อนุบาล เกรดคะแนนวิชาอังกฤษก็เดี๋ยว 2 บ้าง เดี๋ยว 3 บ้าง ตกบ้าง อะไรบ้าง โอ๊ย! ก็เอาตัวไม่ค่อยจะรอดนะ แต่มันก็พอถู ๆ ไถ ๆ”
แต่ปอมก็เริ่มปรับตัวและเรียนโรงเรียนมัธยมฯ ที่โรงเรียนวัดราชบพิธได้ในที่สุด ด้วยผลการเรียนปานกลาง และแรงผลักดันของพ่อที่อยากให้เขาได้ประสบการณ์ในต่างประเทศ ช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปอมมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะกล้า ๆ กลัว ๆ เรื่องภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยแข็งแรง และผ่านการคัดเลือกด้วยคะแนนแบบเฉียดฉิว แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเวลา 1 ปี ในรัฐมินนิโซตา ทางตอนเหนือของอเมริกา
เก็บเกี่ยวประสบการณ์
จากเด็กคนหนึ่งที่เคยเห็นหิมะแค่ในสวนสนุกดรีมเวิลด์ เขาได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในรัฐมินนิโซตาที่มีอากาศหนาวยาวนาน และหิมะขาวโพลนเกือบทั้งปี ตามความฝันที่อยากจะเห็นหิมะจริง ๆ สักครั้ง ในเมืองเล็ก ๆ แถบชนบท ที่ไม่มีคนไทยอยู่เลย และที่โรงเรียนมีนักเรียนต่างชาติเพียง 4 คน ปอมเล่าว่าช่วง 3-4 เดือนแรก เขาค่อนข้างจะลำบากในการปรับตัว เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย และต้องใช้ภาษามือในการสื่อสาร แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มฟังและพูดภาษาอังกฤษได้ จากที่เคยสอบตก ติด F ก็เริ่มได้คะแนนดีขึ้นเรื่อย ๆ จากความพยายามและตั้งใจของปอม
“ช่วงนั้นเป็นวิชาภูมิศาสตร์ อาจารย์บอกจะสอบ ก็อ่านแหลกเลย แปลแต่ละตัว แล้วก็อ่าน 2 รอบ 3 รอบ อ่านอยู่นั่นแหละ ก็เริ่มได้ B ได้ C แล้วก็เริ่มได้ A บ้าง ต้นทุนเราน้อย เราขยันน้อยก็ไม่ได้”
เวลาผ่านไปจนเกือบครบหนึ่งปี เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งการเรียนและการใช้ชีวิตในต่างแดน จนกระทั่งเขามีโอกาสได้ไปเดินสำรวจมหาวิทยาลัยมินนิโซตากับเพื่อน จากบรรยากาศในห้องเรียน และห้องสมุดที่ใหญ่โต และการเรียนในอเมริกาเป็นภาษาอังกฤษก็น่าจะทำให้เขาอยากที่จะมาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนี้ทันที
แต่การที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมินนิโซตาได้ต้องมีการยื่นคะแนนสอบ TOEFL ซึ่งคะแนนของเขาในตอนนั้นยังไม่ผ่านเกณฑ์ ทำให้เขาต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นก่อน ในช่วงนั้นปอมชอบวิชาประวัติศาสตร์มาก เขาใช้เวลาวันละ 6 ชั่วโมงไปกับการอ่านหนังสือในห้องสมุด จนทำให้เขาได้คะแนนเต็ม 100 คะแนนในวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของเขา และสุดท้ายก็ทำเรื่องย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมินนิโซตาตามที่หวังไว้ในตอนแรกได้ และเรียนจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากสาขารัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
“ไปตรง ๆ ไม่ได้ก็อ้อมไปก็ได้ บางทีมันก็อาจจะไม่ได้ได้ทันที รอได้ไหม ถึงเหมือนกัน”
จุดเริ่มต้นทหารกองทัพสหรัฐฯ
ในปี พ.ศ. 2557 ช่วงนั้นเขาเรียนใกล้จะจบปริญญาโทแล้ว แต่เขากลับไม่แน่ใจว่าเมื่อเรียนจบไปแล้วจะทำงานอะไรดี
ปอมจึงค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่า “Way to work for foreign students” (วิธีการหางานทำของนักเรียนต่างชาติ)
จากข้อมูลมากมายเต็มหน้าจอ จนเขาเลื่อนไปเห็นโครงการ MAVNI ซึ่งเปิดรับสมัครชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกามาไม่ต่ำกว่า 2 ปี เพื่อเข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ ก็ทำให้เขาตัดสินใจสมัครได้อย่างไม่ลังเล เนื่องจากปอมฝันอยากเป็นทหารมาตั้งแต่ยังเด็ก
แม้ว่าจะสอบผ่านข้อเขียนมาแล้ว แต่น้ำหนักของปอมเกินเกณฑ์มามาก เมื่อตั้งใจว่าจะเป็นทหารแล้ว เขาก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการลดน้ำหนักลงไปถึง 7 กิโลกรัม โดยการซ้อมวิ่งทุกวัน จนสามารถวิ่งได้ 2 ไมล์ หรือ 3.2 กิโลเมตร ในเวลา 17 นาที และผ่านด่านแรกของการเป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ
เส้นทางการเป็นทหารไม่ได้ผ่านมาได้ง่าย ๆ ปอมต้องเข้าฝึกกับกองทัพบกสหรัฐฯ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ กับบททดสอบที่ต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งด้านร่างกายและจิตใจ จากการตื่นเช้าตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาเข้าแถว และออกกำลังกายทั้งวิ่ง วิดพื้น ลุกนั่ง หรือซิตอัพ ไม่ว่าฝนตก แดดออก อากาศหนาว 10 องศา ก็ต้องอดทน รวมถึงกฎในการห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ หากจะติดต่อกับพ่อแม่ก็ต้องเขียนจดหมาย และรอคอยการตอบกลับเป็นเดือน ๆ แต่ว่าเขาก็ผ่านมาได้ และเริ่มเป็นทหารบกในกองทัพสหรัฐฯ อย่างเต็มตัวด้วยวัย 28 ปี
“ทรมาน แต่ว่าก็ต้องทน ถ้าฝึกไม่จบก็คือกลับบ้านเลย ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ได้อยู่ต่อ วีซ่าก็หมดอายุ ก็ทำเต็มที่ ยังไงก็ไม่ยอมแพ้”
ความเป็นอยู่ในกองทัพสหรัฐฯ
ในฐานทัพจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนในค่ายทหารตั้งแต่ห้างสรรพสินค้า ศูนย์เกม โรงหนัง หรือร้านอาหารไทย จีน เวียดนาม และเกาหลี ที่หลากหลายนอกเหนือจากอาหาร 3 มื้อที่ทางรัฐจัดสรรให้ เพื่อสร้างบรรยากาศในค่ายให้เหมือนกับเมืองทั่ว ๆ ไป จากประสบการณ์อาชีพทหารเป็นเวลา 6 ปี จ่าปอมเล่าว่าการดูแลจากภาครัฐถือว่าดีพอสมควร ในยศสิบเอก ตำแหน่ง Cargo Specialist หรือทหารขนส่ง จะมีเงินเดือนประมาณ 80,000-90,000 บาท และได้รับสวัสดิการด้านสุขภาพ ตั้งแต่การตัดแว่นสายตา ไปจนถึงการรักษาโรคร้ายแรงผ่านระบบ Tricare หรือประกันสุขภาพทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งสามารถได้รับการรักษาได้ฟรีทั่วโลก
แม้ว่าสวัสดิการจะดี แต่ทหารก็มีกฎเกณฑ์ไม่น้อยเช่นกัน หากละเมิดกฎร้ายแรงก็สามารถถูกไล่ออกจากงานได้ เช่น การเมาแล้วขับ หรือการเสพยาเสพติด ไม่ว่าทหารคนนั้นจะมียศใหญ่โตขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นพันโท หรือพันเอก จะถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมหากพบว่ามีการละเมิดกฎเหล่านี้
กฎอีกข้อที่น่าสนใจคือ No Political View หรือ กฎที่ห้ามทหารแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่ว่าจะในเครื่องแบบหรือนอกเครื่องแบบ ในชีวิตจริงหรือในโซเชียลมีเดีย ทำให้ทหารอเมริกันไม่สามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้
“No Political View ไม่ว่าจะในเครื่องแบบหรือนอกเครื่องแบบ ถือว่าคุณเป็นทหาร ไปใช้สิทธิ์ได้ แต่จะมาว่าคนนั้นคนนี้ไม่ได้ ถ้าเขาจับได้ก็ขึ้นศาลทหาร โอกาสออกก็มี”
เดินทางตามความฝัน
“ถ้าได้ทหารเรือก็คือความฝันที่แท้จริง ยื่นไปครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ นี่ก็ยื่นอีกเรื่อย ๆ เพราะสมัยเด็ก ๆ ชอบเล่นโมเดลเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือรบ จำได้ว่าไปเซ็นทรัลแล้วไปซื้อโมเดลเรือบรรทุกเครื่องบินมานั่งต่อ”
แม้ในวันนี้ปอมจะได้มาเป็นทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นอาชีพในฝันของใครหลาย ๆ คน แต่จริง ๆ แล้ว อีกหนึ่งความฝันของเขาที่เขาไม่เคยบอกใครที่ไหนนอกจากพ่อ คือความฝันที่จะได้เป็นทหารเรือ ปอมเล่าว่าเขาเคยสมัครทหารเรือไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ ครั้งนี้เขาจึงลองสมัครใหม่อีกครั้ง แม้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะรับมัน และทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าความฝันนั้นจะกลายมาเป็นความจริง
ความสำเร็จของเขาไม่มีทางลัด และดูเหมือนว่าแผนที่ความฝันของเขาออกจะเป็นเส้นทางที่ยาวนาน เต็มไปด้วยหลุมบ่อ และอุปสรรคมากมาย แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้ขยับเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ๆ ในทุก ๆ วัน
“ไม่ต้องมาเป็นทหารเหมือนพี่ก็ได้ ถ้าอยากเป็นโน่นเป็นนี่ แล้วเริ่มท้อ จะเป็นได้ไหม ต้องทำไงดี อาจจะต้องพักบ้าง ไปทางตรงไม่ได้ ไปทางอ้อมก็ได้ ถึงเหมือนกัน แต่ช้าหน่อย ทนไหวไหม แต่ว่าถ้าเราถึงแล้วมันภูมิใจ มันดีใจที่เราทำได้”
เรื่อง: กัญญาภัค ขวัญแก้ว
เครดิตภาพ: facebook Pattara Niyom