Blondie - One Way or Another: จากประสบการณ์โรคจิตตามติด สู่เพลงฮิตปลุกใจคน

Blondie - One Way or Another: จากประสบการณ์โรคจิตตามติด สู่เพลงฮิตปลุกใจคน
/ One way, or another, I’m gonna find ya I’m gonna get ya get ya get ya get ya /   แม้จะผ่านมามากกว่า 50 ปีแล้ว หากเสียงดนตรีสนุกสนานรวมทั้งเสียงร้องของ เด็บบี แฮร์รี (Debbie Harry) นักร้องนำวง Blondie ในเพลง One Way or Another ก็ยังเป็นท่วงทำนองที่ครองใจใครหลาย ๆ คน ชนิดที่เพลงขึ้นเมื่อใดก็ชวนให้นึกอยากยักไหล่ หรือขยับกายตามจังหวะป็อปผสมพังก์เมื่อนั้น หนึ่งใน cover version ที่ถูกจดจำมากที่สุดของเพลงนี้ก็คงหนีไม่พ้นเวอร์ชันของห้าหนุ่มบอยแบนด์จากเกาะอังกฤษ One Direction สมัยที่ยังรวมวงกันอยู่ ปี 2013 พวกเขาปล่อย One Way or Another (Teenage Kicks) ออกมาโดยใช้เพลงที่ว่าของ Blondie มามิกซ์เข้ากับ Teenage Kicks ของ The Undertones นัยว่าเป็นการหารายได้ให้กับโครงการ Cosmic Relief องค์กรการกุศลของอังกฤษที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1985 เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนอาหารในเอธิโอเปีย การขึ้นแท่นเพลงฮิตประจำยุคของ One Way or Another ไม่ว่าจะเป็นฉบับของ Blondie หรือ One Direction ล้วนตอกย้ำความโด่งดังอย่างร่วมสมัยของมันได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นเพลงนี้ยังได้ประกอบภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์หลายต่อหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Little Darlings (1980), Mean Girls (2004), The Simpsons (2004), The Pink Panther (2006), Puss in Boots (2011) และ The Glee Project (2011) โดยมักได้ปรากฏเป็นซาวนด์แทร็กในฉากที่ตัวเอก (หรือตัวละครสมทบ) กำลังมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการจะทำอะไรสักอย่าง ความรู้สึกที่ได้จากเพลงนี้ที่มักฉาบทาด้วยความสดใสและนัยของการพุ่งไปหาเป้าหมายอย่างไม่ลดละ ทำให้ใครหลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้ หรือลืมไปว่าที่มาของเพลงฮิตจังหวะสนุกเพลงนี้ เกิดขึ้นจากประสบการณ์โดนสตอล์กเกอร์ตามติดของนักร้องสาวเด็บบี แฮร์รีนั่นเอง   / I will drive past your house And if the lights are all down I’ll see who’s around And if the lights are all out I’ll follow your bus downtown See who’s hangin’ ’round! /   “แฟนเก่าของฉันเป็นพวกบ้าดีเดือด” เด็บบีเล่าระลึกถึงคืนวันในอดีต Blondie คือวงดนตรีจากอเมริกาที่ได้ชื่อในภายหลังว่าหัวเรือใหญ่แห่งขนบนิวเวฟ (แนวดนตรีที่สานต่อมาจากพังก์ร็อก) ในต้นยุค 70s Blondie ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก แม้ว่าจะเริ่มมีชื่อเสียงในอังกฤษอยู่บ้าง หากพวกเขาก็ยังเป็นวงดนตรีอันเดอร์กราวนด์ในสหรัฐฯ - บ้านของพวกเขาเอง ก่อนหน้านั้น เมื่อปี 1973 เด็บบีเคยคบหาดูใจอยู่กับหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ (ในแง่ลบ) ให้เธอปิ๊งไอเดียเขียนเพลงฮิตที่ทำลายกำแพงคำว่า ‘อันเดอร์กราวนด์’ แล้วเฉิดฉายในฐานะวงที่มีนักร้องนำเป็นสาวผมบลอนด์ที่น่าจับตามองที่สุดวงหนึ่งของยุค เมื่อรักเดินทางมาถึงวันลา เด็บบีบอกเลิกชายที่เธอเคยรักและหวังว่าเขาจะเข้าใจและจากไปแต่โดยดี แต่สิ่งที่แฟนเก่าของเธอทำคือเขาเริ่มทำตัวเป็นโรคจิตที่ตามติดเธอไปทุกที่ ไม่ว่าเช้า สาย บ่าย ค่ำ หรือยามวิกาลที่เขามักจะเมาแอ๋อยู่หน้าประตูบ้านของเธอพร้อมทั้งเปล่งเสียงร้องเรียก ‘เด็บบี...เด็บบี...’ ซ้ำแล้วซ้ำอีก “ตอนที่เมาเขาจะเอาแต่ตามฉันทุกฝีก้าว ทุกชั่วโมงที่เขาเอาแต่ส่งเสียงเรียกฉัน พอฉันไม่ตอบรับ เขาก็จะวนเวียนอยู่หน้าประตูบ้าน สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องย้ายออกจากนิวเจอร์ซีย์เพื่อหนีให้พ้น ๆ” เด็บบีเล่า วันและคืนที่ต้องหวาดระแวงคนรักเก่าเหล่านั้นเองที่ทำให้คำ ‘One way, or another, I’m gonna find ya’ ผุดขึ้นในหัวของเธอเมื่อเธอและ Blondie ตั้งใจว่าจะปั้นเพลงใหม่ ด้วยเนื้อหาจากปลายปากกาของเด็บบีพร้อมด้วยการกล่อมเกลาเนื้อร้องและเรียบเรียงดนตรีของ ไนเจล แฮร์ริสัน (Nigel Harrison) มือเบสของวง ‘One Way, or Another’ จากคณะ Blondie ก็พร้อมสรรพสำหรับรับฟัง และถูกปล่อยออกมาในอัลบั้ม Parallel Lines ในปี 1978 แน่นอนว่าเพลงเนื้อหาน่าขนลุกที่ถูกฉาบทับด้วยท่วงทำนองพังก์ - ป็อปสดใสเพลงนี้ได้กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของพวกเขาเช่นเดียวกับ ‘Heart Of Glass’ จากอัลบั้มเดียวกัน และ ‘Call Me’ ในปี 1980 “ฉันถูกสตอล์ก (ตามติด) โดยไอ้โรคจิต (a nutjob) คนหนึ่ง ดังนั้นมันจึงเป็นเพลงจากเหตุการณ์ส่วนตัวที่ไม่เป็นมิตรนัก ฉันพยายามใส่ความคึกคักเข้าไปให้มันดูเบาสมอง มันเป็นเรื่องธรรมดาของทฤษฎีเอาตัวรอดละมั้ง แบบว่า แค่สลัดมันออกไป แล้วบอกว่า ‘ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง’ จงใช้ชีวิตต่อซะ ทุกคนน่าจะมีความรู้สึกร่วมกับมันได้ และนั่นแหละคือแง่มุมที่งดงามของมัน” อาจเพราะด้วยแนวคิดที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็งของเธอที่ทำให้เพลงที่ถูกแต่งขึ้นจากประสบการณ์ร้าย ๆ (ที่ปัจจุบันเด็บบีไม่ได้ฝังใจกับมันแล้ว) ได้กลายเป็นซาวนด์แทร็กโทนปลุกใจอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ท่อน ‘One day, maybe next week. I’m gonna meet ya, I’m gonna meet ya, I’ll meet ya.’ กลายเป็นท่อนจำที่ตอกย้ำความรู้สึกของผู้คนว่าจงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และหากเจอทางตันก็ให้พูดกับตัวเองอย่างมั่นใจว่า “One way, or another”   เรื่อง: จิรภิญญา สมเทพ ที่มา: https://rock.fandom.com/wiki/One_Way_or_Another https://ew.com/article/2011/09/20/blondie-debbie-harry-stories-behind-the-songs/ https://www.loudersound.com/features/the-story-behind-the-song-one-way-or-another-by-blondie-1 https://www.songfacts.com/facts/blondie/one-way-or-another