***เปิดเผยเนื้อหาของเรื่อง เรื่อง Dr. Stone ตีพิมพ์รายสัปดาห์ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ Weekly Jump (週刊少年ジャンプ) ตั้งแต่ปี 2017 และปัจจุบันก็ยังไม่จบเพราะยังคงดำเนินเรื่องราวอยู่ โดยบทความนี้จะยึดเอาเนื้อเรื่องที่อนิเมะจบตอนที่ 11 ของ Season 2 เป็นหลักในการเขียน Dr. Stone เป็นการ์ตูนแนวโชเน็นที่มาแปลกมาก โดยการ์ตูนโชเน็นกระแสหลักมีแนวโน้มจะประกอบไปด้วยหัวใจสำคัญ 3 ประการดังนี้ 1) Yūjō (友情): ต้องแสดงให้เห็น ‘มิตรภาพของตัวละคร’ 2) Doryoku (努力): ต้องแสดงให้เห็น ‘ความวิริยอุตสาหะของตัวละคร’ 3) Shōri (勝利): ต้องแสดงให้เห็น ‘ชัยชนะ’ ที่ได้มาจากความวิริยอุตสาหะ ซึ่ง 3 ประการดังกล่าวมักจะออกมาในรูปแบบของการ์ตูนต่อสู้, ผจญภัย, หรือแอ๊กชัน แต่เรื่อง Dr. Stone มีความเป็นการ์ตูนต่อสู้หรือแอ๊กชันไม่มากนัก เพราะไปเน้นที่มิตรภาพของมนุษยชาติหลายคนที่เหลือรอด ที่ใช้ความวิริยอุตสาหะในการพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างอารยธรรมอีกครั้ง และหวังชัยชนะคือการนำอารยธรรมมนุษย์ที่ล่มสลายไปกลับมาสู่โลกมนุษย์ให้ได้ จึงมีฉากต่อสู้หรือแอ๊กชันน้อยกว่าการ์ตูนโชเน็นกระแสหลักหลายเรื่อง เริ่มเรื่องในโรงเรียนมัธยมฯ ปลายฮิโระซุเอะ (広末高等学校) พระเอกของเราคือ อิชิงะมิ เซ็นคู (石神千空) ซึ่งเป็นเด็กอัจฉริยะที่เก่งวิทยาศาสตร์ทุกแขนงและรอบรู้ศาสตร์ต่าง ๆ อีกมากมาย, เพื่อนสนิทของพระเอกที่ชื่อ โอกิ ไทจุ (大木大樹) ที่กำลังจะสารภาพรักกับสาวที่ตัวเองหลงรักมานานที่ชื่อ โอะงะวะ ยุซุริฮะ (小川杠) แต่ในจังหวะนั้นเกิดเหตุการณ์ประหลาด มีลำแสงสีเขียวแผ่คลุมไปทั่วโลก และทำให้สิ่งมีชีวิตเพียง 2 สายพันธุ์คือมนุษย์และนกนางแอ่นกลายเป็นหินไปหมดทั้งโลก มนุษย์ที่กลายเป็นหินทุกคนจะค่อย ๆ หมดสติไป ยกเว้นพระเอกที่เทพมาก นั่งนับวินาทีไปเรื่อย ๆ เพื่อกระตุ้นไม่ให้ตัวเองหมดสติ จนกระทั่งรู้วันเวลาและศักราชทั้งหมดคร่าว ๆ จนเมื่อพระเอกคลายสภาพจากการเป็นหินออกมา จึงพบว่าเวลาของโลกมนุษย์ผ่านไปแล้ว 3,689 ปี!! และพบว่าโลกมนุษย์กลายเป็นยุคหินไปหมดแล้ว ภารกิจแรก ๆ ของพระเอกจึงเป็นการหาอาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, สร้างที่อยู่อาศัย และหาวิธีผลิตน้ำยาคืนชีพจากการเป็นหิน นำไปชุบชีวิตไทจุเพื่อนตัวเอง และชุบชีวิต ชิชิโอ สึกะสะ (獅子王司) รวมทั้งชุบชีวิตให้ยุซุริฮะ โดยสึกะสะคนนี้เองจะกลายเป็นบอสใหญ่ของ Season 1 และ Season 2 ตอนล่าสุดด้วย เพราะมีโลกทัศน์ที่ต่างจากเซ็นคูอย่างมาก เนื่องจากสึกะสะต้องการจะกวาดล้างผู้ใหญ่ในยุคเก่าทิ้งไปให้หมด จึงตระเวนทำลายหิน (ที่เคยเป็นมนุษย์) ทิ้งเป็นจำนวนมาก และเลือกชุบชีวิตเฉพาะวัยรุ่นที่สึกะสะเห็นว่าควรชุบเท่านั้น เมื่อเกิดการปะทะกันจนแตกหัก เซ็นคูระหกระเหินไปพบกับหมู่บ้านยุคหินแห่งหนึ่งที่ชื่อ ‘หมู่บ้านอิชิงะมิ’ (石神) ซึ่งเป็นหมู่บ้านของมนุษย์ยุคหินที่เกิดในยุคหลังแสงสีเขียวอาบทั่วโลกไปแล้ว และค้นพบว่าที่จริงแล้วประชากรในหมู่บ้านนี้คือลูกหลานของนักบินอวกาศกลุ่มหนึ่งที่ไปสำรวจอวกาศ ณ จังหวะที่แสงสีเขียวฉาบไปทั่วโลก นักบินอวกาศกลุ่มนี้จึงรอดจากการกลายเป็นหินและตั้งรกรากออกลูกหลานจนกลายเป็นหมู่บ้านแห่งนี้ โดยหนึ่งในสมาชิกของนักบินกลุ่มนั้นคือ อิชิงะมิ เบียคุยะ (石神百夜) พ่อบุญธรรมของเซ็นคูนั่นเอง เบียคุยะได้ทิ้งทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรความรู้ไว้ให้ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเซ็นคูจะมาถึงหมู่บ้านนี้จนได้ ทำให้เซ็นคูได้รับความร่วมมือจากประชากรในหมู่บ้านเพื่อสร้างอารยธรรมให้กลับมาในโลกอีกครั้ง ความน่าติดตามของเรื่องนี้ ประเด็นแรกคือสัมพันธภาพและความขัดแย้งของเซ็นคูและสึกะสะ เซ็นคูเห็นว่าควรใช้วิทยาศาสตร์กอบกู้อารยธรรมกลับมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง และเปลี่ยนให้หมู่บ้านอิชิงะมิกลายเป็น ‘ราชอาณาจักรวิทยาศาสตร์’ (科学王国) ในขณะที่สึกะสะได้สะสมกองกำลังจนก่อตั้งเป็น ‘จักรวรรดิแห่งกำลัง’ (司帝国) ลักษณะการตั้งชื่ออาณาจักรของทั้งคู่ก็น่าสนใจ เพราะเซ็นคูใช้คำว่าอาณาจักรในความหมายของคำว่า Kingdom ในขณะที่สึกะสะใช้คำว่าจักรวรรดิในความหมายของคำว่า Empire แทน (มีความรู้สึกของการใช้กำลังรุกรานและการล่าเมืองขึ้นแฝงอยู่) สึกะสะเองก็น่าสนใจที่ไม่ได้ปฏิเสธตัวตนแห่งวิทยาศาสตร์เสียทั้งหมด เพราะเคยอธิบายไว้เช่นกันว่าในจักรวรรดิของตัวเองก็จำเป็นต้องใช้วิทยาศาสตร์ เพียงแต่สึกะสะไม่ต้องการให้วิทยาศาสตร์พัฒนาจนถึงขั้นนำไปสู่การสร้างระบบให้ผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวมีอำนาจครอบงำโลกมนุษย์อีก จึงตั้งหน้าตั้งตาฆ่าผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ในแง่หนึ่ง วิทยาศาสตร์ก็เป็นเหมือนดาบสองคมตามที่สึกะสะคิดจริง ๆ ดังจะเห็นได้จากบางครั้งที่วิทยาศาสตร์ตกไปอยู่ในมือคนไม่ดี ก็ก่อหายนะได้จริง ดังนั้นเรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นความเป็นดาบสองคมของคู่ขัดแย้งทั้งสอง คือระหว่างวิทยาศาสตร์และพละกำลังตามธรรมชาติของมนุษย์ เรื่องนี้กล่าวถึงการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ในระดับละเอียดยิบที่อิงจากโลกแห่งความเป็นจริงพอสมควร เริ่มตั้งแต่ผลิตสบู่ (ที่เซ็นคูเรียกว่าเป็น Dr. Stone เพราะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในการฆ่าเชื้อต่าง ๆ ในโลกที่ยังไม่มียารักษาโรค), ผลิตน้ำยาชุบชีวิตคนจากหิน, ดินปืน, ราเม็งที่ทำจากข้าวฟ่าง, ผลิตเหล็ก, ผลิตแก้ว ไปจนอะไรที่เวอร์มากอย่างการผลิตหลอดไฟ, โทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งรถถัง เรียกว่าถ้า ‘คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม’ เป็นการ์ตูนบั่นทอนปัญญา เรื่อง Dr. Stone นี่ก็คือ ‘การ์ตูนประเทืองปัญญา’ ขนานแท้เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ สัมพันธภาพของเบียคุยะและเซ็นคูก็น่าสนใจมาก เพราะไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแท้ ๆ แต่พ่อลูกคู่นี้กลับเข้าใจกันและกันอย่างมากระดับข้ามสหัสวรรษกันเลย มีความผูกพันแบบพ่อลูกมากกว่าพ่อลูกแท้ ๆ จำนวนมากในการ์ตูนแนวโชเน็นทั่วไป อีกทั้งนามสกุลของทั้งคู่คือ อิชิงะมิ ที่แปลว่า ‘พระเจ้าแห่งหิน’ เพื่อบอกใบ้ว่านี่คือตระกูลที่จะเป็นพระเจ้าในโลกยุคหินยุคใหม่ต่อไป การ์ตูนยังไม่จบจึงยังยากที่จะสรุป ยังมีปริศนาอีกมากมายที่น่าติดตาม เช่น เบียคุยะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่หลังจาก 3,689 ปีผ่านไป, ลำแสงสีเขียวลึกลับคืออะไร (ในมังงะเริ่มมีการพูดถึงแหล่งที่มาของแสงสีเขียวลึกลับไว้แล้ว), ทิศทางของเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ล้วนน่าติดตามทั้งสิ้น หากพรุ่งนี้โลกกลับไปเป็นยุคหินอีกครั้ง ผู้อ่านคิดว่าพวกเราจะสามารถเอาตัวรอดได้ในยุคหินแบบนั้นหรือไม่?