“เราคิดว่า เขาคือพระเจ้า
“เราไว้ใจทุกสิ่งที่อยู่ในการดูแลของเขา”
วันที่ 11 ธันวาคม 2008 เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ (Bernard Madoff) ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมด้วยการกระทำความผิดอาญา ฐานฉ้อฉลกลโกงกว่า 11 กระทง เบื้องหน้าของธุรกิจ แมดอฟฟ์คือพ่อมดการเงินแห่งตลาดหุ้นแนสแด็ก (Nasdaq) ที่เคยเป็นถึงประธานตลาดหุ้นแนสแด็ก เขาก่อตั้งบริษัทการเงินที่มีชื่อว่า Bernard L. Madoff Investment Securities, LLC. ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและเครดิตทางการเงินที่เขาสะสมไว้มากมาย ทำให้ไม่มีใครเอะใจเลยว่า ภายใต้บริษัทอันสวยหรูจะถูกสอดไส้ไว้ด้วยแผนการลงทุนอย่างกลเม็ดพอนซี (Ponzi Scheme) ปฏิบัติการลงทุนแบบฉ้อฉล ที่ตัวผู้ดำเนินการจะทำการหลอกล่อนักลงทุนด้วยผลตอบแทนที่สูงลิ่ว ทำให้มีเหยื่อนักลงทุนหลายรายตั้งใจเข้ามาเสาะแสวงหาความฝันและความหวังจากที่นี่ แม้การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนด้วยอัตราที่สูงแบบไม่น่าเชื่อเช่นนี้ จะดูชวนฝันเกินไปหน่อยก็ตาม
แต่ก็เพราะเชื้อไฟแห่งความหวังของอเมริกันชน ที่ต้องข้ามผ่านภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงวิกฤตทางการเงินหลายครั้งนี่แหละที่ทำให้กลเม็ดของแมดอฟฟ์สร้างความน่าเชื่อถือ จนมีเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 208,000 ล้านบาท)
เหตุการณ์นี้ทำให้ในปี 2009 แมดอฟฟ์ถูกตัดสินจำคุกนานถึง 150 ปี (1,800 เดือน) และผ่านไป 11 ปี ในวันที่ 14 เมษายน 2021 เขาได้เสียชีวิตลงในคุกด้วยวัย 82 ปี
อะไรคือบทเรียนจากแชร์ลูกโซ่ Ponzi Scheme มูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาทล้มลง คงจะต้องเริ่มต้นจากการมาสำรวจชีวิตและการงานของเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ จากสูงสุด สู่การสร้างกลลวงให้คนจำนวนมากสูญเสียทรัพย์สินนั้นมีที่มาจากอะไร?
เด็กชายแมดอฟฟ์ถึงพ่อมดแนสแด็ก
เบอร์นาร์ด ลอว์เรนซ์ แมดอฟฟ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 เมษายน 1938 ที่เมืองบรูกลิน เป็นบุตรของนายราล์ฟ และนางซิลเวีย แมดอฟฟ์ ซึ่งเป็นครอบครัวชนชั้นแรงงาน และเป็นผู้อพยพมาจากยุโรปตะวันออกกลาง เขาใช้ชีวิตและเติบโตในลอเรลตัน ย่านชนชั้นกลางเมืองขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของเมืองควีนส์ สหรัฐอเมริกา เมืองที่ทำให้เขาได้พบกับรูธ อัลเพิร์น ภรรยาของเขา ที่มีพ่อเปิดธุรกิจรับทำบัญชีในแมนฮัตตัน
ช่วงที่แมดอฟฟ์ใกล้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา เขาได้ตัดสินใจจดทะเบียนบริษัท Bernard L. Madoff Investment Securities, LLC. กับสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) โดยการก่อตั้งบริษัทครั้งนี้ มาจากการเก็บเล็กผสมน้อยด้วยงานรับจ้างเมื่อครั้งที่เขายังศึกษาอยู่ ซึ่งหลังจากที่ใช้เวลาอยู่นาน แมดอฟฟ์ก็พบว่าเขาไม่ได้อยากทำงานตามที่เรียนมาเท่าไหร่ จากนั้นจึงหันมาโฟกัสกับธุรกิจการซื้อขายหุ้นเต็มตัว ณ ตอนนั้น แม้ว่าตลาดการซื้อขายหุ้นจะใหญ่และได้รับความนิยมมากแล้ว แต่บริษัทที่เข้ามาเป็นผู้เล่นในสนามแห่งนี้กลับมีเพียงยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แมดอฟฟ์เห็นถึงโอกาสตรงนี้จึงไม่รอช้า และในที่สุด ธุรกิจของเขาก็เติบโตและรุ่งเรืองอย่างมากเมื่อปี 1960
จากนั้น แมดอฟฟ์ต้องพบกับช่วงวิกฤตที่ตกต่ำถึงขีดสุดในปี 1970 ทว่า ไม่นานก็กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้งได้ เมื่อแมดอฟฟ์ชักชวนปีเตอร์ แมดอฟฟ์ พี่ชายของเขาเข้าร่วมกับบริษัท ครั้งนี้เองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ Bernard L. Madoff Investment Securities, LLC. สร้างชื่อเสียง จากการผนวกรวมเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยเข้ากับการค้าขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม จนกลายเป็นจุดกำเนิดของตลาดหุ้นแนสแด็ก ที่มีส่วนร่วมในฐานะนักลงทุนแพลตฟอร์ม สำหรับการลงทุนและการเทรดหุ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์
ความเป็นผู้นำในตลาดของแมดอฟฟ์ และความเก่งกล้าท้าชนกับวอลสตรีต ตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่ของนิวยอร์ก ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของหน่วยงานภาครัฐกลาง ที่พยายามจะปรับปรุงตลาดให้ดูทันสมัยและมีความเป็นสากลมากขึ้น กระทั่งเวลาต่อมา แมดอฟฟ์ก็ได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงตลาดหุ้น จากการพัฒนาโครงสร้างตลาดและระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์
ความกลัวและความหวังของผู้คน
ยุครุ่งเรืองของแมดอฟฟ์ถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 1990 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานตลาดหุ้นแนสแด็ก จากนั้นจึงย้ายออฟฟิศสำนักงานมาอยู่ที่อาคารลิปสติก เมืองแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญของธุรกิจการเงินในสหรัฐเมริกา เมื่อความสำเร็จค่อย ๆ ขยับขยายอาณาเขต แมดอฟฟ์ก็เริ่มเป็นที่ต้องการและถูกมองหาจากนักลงทุนมากขึ้น เขาไม่ได้โฆษณาตัวเองมากมาย แต่พบว่ากลยุทธ์สำคัญคือจงทำตัวให้ยากเข้าไว้ ยิ่งเขายอมรับลูกค้าน้อยลง บริการก็จะยิ่งเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น
“แมดอฟฟ์สร้างตำนานบทหนึ่งที่เขาจะทำให้ทุกคนเชื่อว่า ทุกอย่างที่ทำอยู่มันพิเศษมาก ๆ มีความเฉพาะตัว ไม่เหมือนใครจนต้องปิดเป็นความลับ” วีเซล จากมูลนิธิอีลีวีเซลเพื่อมนุษยชาติ สูญเงิน 15 ล้านดอลลาร์ไปกับกองทุนของแมดอฟฟ์กล่าวคำปราศรัยต่อสาธารณะ
นอกจากนี้ อดีตพนักงานของแมดอฟฟ์ยังบอกด้วยว่า เขากำชับให้พนักงานทุกคนดูแลตึกให้สะอาดเอี่ยมอ่องตลอดเวลา ต้องคุมโทนอาคารด้วยสีดำและเทาเท่านั้น นัยของสีนั้นก็เพื่อให้ผู้คนที่เข้ามารู้สึกได้ถึงความเย็น สบาย และดูทันสมัย ซึ่งแมดอฟฟ์ยังพยายามแสดงออกถึงความถูกต้อง ด้วยการเน้นย้ำถึงการทำธุรกิจร่วมกันของคนในครอบครัว ที่มีลูกชาย พี่ชาย และญาติคนอื่น ๆ เขาติดคำขวัญประจำบริษัทไว้ที่หน้าประตูทางเข้าความว่า “ชื่อเจ้าของบริษัทอยู่ที่ประตู” (“The owner’s name is on the door.”)
และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น แมดอฟฟ์ก็เริ่มต้นปฏิบัติการพอนซี สคีม (Ponzi Scheme) การฉ้อฉลครั้งใหญ่นี้เริ่มจากหมู่เพื่อนสนิท ญาติ และคนรู้จัก ขยายวงเล็ก ๆ ในแมนฮัตตัน และลอง ไอส์แลนด์ก่อน ซึ่งในช่วงเวลาที่การลงทุนแชร์ลูกโซ่ครั้งนี้เริ่มมีผู้สนใจลงทุนเยอะขึ้น ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นเริ่มถดถอยด้วย อาจกล่าวได้ว่า แมดอฟฟ์ใช้ทั้งความกลัว ความระส่ำ และความหวังของผู้คนเป็นตัวหล่อเลี้ยงกองทุนลวงโลกนี้ เพราะไม่เพียงแต่คนใกล้ตัวเท่านั้น แต่นานวันเข้า ทั้งมูลนิธิ ห้างร้าน บริษัท คนดังผู้มีชื่อเสียง คนทำงาน ชนชั้นกลาง ฯลฯ ต่างแห่มาลงทุนด้วยเป้าหมายเดียวกันก็คือ ผลตอบแทนที่สูงลิ่ว
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง แมดอฟฟ์ได้รับการจับตาจากแฮร์รี มาร์โคโปลอส ผู้ตรวจสอบการฉ้อโกงเงินที่รายงานไปยังกลต. หลายต่อหลายครั้งว่า กองทุนของแมดอฟฟ์เข้าข่ายทุจริตฉ้อโกง แต่ด้วยความทันสมัยของการวางระบบในบริษัท ทำให้แมดอฟฟ์หลุดจากการตรวจสอบของ กลต. มากถึง 8 ครั้ง ทว่า ท้ายที่สุด เรื่องก็แดงในปี 2008 ช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ในอเมริกา ตอนนั้นนักลงทุนหลายรายเข้ามาขอคืนเงินทุนจากแมดอฟฟ์พร้อม ๆ กัน เป็นจำนวนเงินหลายพันล้านเหรียญ ซึ่งแน่นอนว่า กองทุนที่ไม่เคยมีอยู่จริงจะมีเงินจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไร
ก่อนการจับกุมจะมาถึงตัว แมดอฟฟ์ตัดสินใจสารภาพกับลูกชายทั้งสองว่า การดำเนินการของกองทุนที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำนั้น แท้จริงแล้วมันคือ ‘เรื่องโกหกครั้งใหญ่’ (one big lie) แมดอฟฟ์ให้การสารภาพและถูกจับกุมในเช้าวันที่ 11 ธันวาคม 2008 ที่เพนต์เฮาส์ในแมนฮัตตัน
ไม่เหลือแม้กระทั่งครอบครัว
ภายหลังการจับกุมและถูกคุมขังของแมดอฟฟ์ได้สร้างแรงปะทะระลอกใหญ่ให้กับครอบครัวอย่างมหาศาล รายงานจากสำนักข่าววอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ลูกชายทั้งสองของแมดอฟฟ์ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ไม่ได้หมุนรอบพ่อมดผู้ทรงเสน่ห์อีกต่อไป
“มาร์คยังคงขมขื่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการหลอกลวงของพ่อ และบาดแผลที่พ่อของเขาทำให้เกิดขึ้น ส่วนแอนดี้ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการหลอกลวงของพ่อของเขา”
2 ปีให้หลังถัดจากวันเกิดเหตุ มาร์ค แมดอฟฟ์ ลูกชายคนโตของเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ ตัดสินใจฆ่าตัวตายในบ้านพัก โดยมีทนายความของเขาระบุว่า มาร์คเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์จากอาชญากรรมของพ่อที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมสร้างมัน แต่กลับต้องยอมจำนนกับแรงกดดันจากข้อกล่าวหา แรงเสียดทานจากความเท็จมาตลอด 2 ปี แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก มาร์คเคยมีความพยายามคิดฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งแรกเมื่อปี 2009 ตอนนั้นเขาเขียนจดหมายถึงพ่อในเรือนจำว่า “ตอนนี้คุณคงจะรู้แล้วว่า คุณได้ทำลายชีวิตของลูกชายของคุณด้วยชีวิตแห่งการหลอกลวง คุณทำได้ยังไงวะ คุณแม่งxxx”
พยานในเรือนจำให้สัมภาษณ์ว่า แมดอฟฟ์ร้องไห้เสียใจกับข่าวการฆ่าตัวตายของมาร์คอย่างมาก หลังจากการสารภาพบาปเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนการเข้าจับกุม มาร์คและแอนดรูว์ ลูกชายทั้งสองคนก็ไม่เคยมาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย
แมดอฟฟ์มีหลานทั้งหมด 5 คน และทุกคนล้วนเปลี่ยนนามสกุล ไม่มีแมดอฟฟ์หลงเหลืออีกต่อไป
“ฉันเกลียดเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ ถ้าฉันเห็นเขาตอนนี้ ฉันจะบอกเขาว่า คุณต้องรับผิดชอบการฆาตกรรมสามีของฉัน และฉันจะถ่มถุยน้ำลายใส่หน้าเขาแน่” สเตฟานี ภรรยามาร์ค แมดอฟฟ์ กล่าว
แต่อย่าลืมว่า มาร์คไม่ใช่ชีวิตเดียวที่ต้องสังเวยให้กับอาชญากรรมครั้งนี้ วิลเลียม ฟอกซ์ตัน ทหารอังกฤษที่สูญเสียมือจากการรบในอัฟกานิสถาน และต่อมาได้อุทิศตัวให้กับภารกิจด้านมนุษยธรรมขององค์การสหประชาชาติ ก็ตัดสินใจยิงตัวตายเมื่อรู้ว่า ตัวเองสูญเงินทั้งหมด ทั้งยังมีนายธนาคารชาวฝรั่งเศสที่ลงทุนไปกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ กินยานอนหลับและกรีดข้อมือ ยังไม่รวมคนอีกจำนวนมากที่เจ็บปวดกับการวางแผนการเงินผ่าน Ponzi Scheme ซึ่งหลายคนใช้เงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนแล้วค้นพบว่าเงินทั้งหมดหายเป็นอากาศธาตุไป
จากเรื่องจริงสู่ The Wizard of Lies
เรื่องราวของ เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ The Wizard of Lies ที่ฉายทางโทรทัศน์เมื่อปี 2017 โดย HBO ผู้รับบทเป็นแมดอฟฟ์คือ โรเบิร์ต เดอ นิโร
ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้น้ำหนักการเล่าเรื่องไปที่งานของแมดอฟฟ์ และการฉ้อฉลของเขาที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตัวเขาเอง ครอบครัว และคนรอบข้าง โดยเฉพาะกับชะตากรรมอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับลูกชายของเขา - มาร์ค แมดอฟฟ์
ฉากสำคัญหนึ่งใน The Wizard of Lies คือฉากที่นักข่าวเข้าไปสัมภาษณ์แมดอฟฟ์ในคุก ส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ในช่วงท้ายเรื่อง แมดอฟฟ์ได้อธิบายตัวเองว่า
“ตอนผมมอบตัว มันต้องใช้เวลาสักพักถึงจะทำมันได้ อย่างไรก็ตามเมื่อผมมอบตัว กระแสต่อต้านวอลสตรีตก็สูงขึ้น และพวกเขาต้องการวายร้าย พวกเขาต้องการใครสักคนมารับหน้าสิ่งที่เกิดขึ้น และหน้าที่นั้นก็คือผมนี่แหละ...
“ในกรณีของผม ผมบอกผู้คน ทุกคน อย่าลงทุนกับผมมากกว่าครึ่งหนึ่งที่คุณมีกับผม คุณไม่รู้หรอก ใครจะรู้ได้ ผมหมายความว่า วันหนึ่งผมอาจจะบ้าได้ แต่ความจริงคือ คนเราโลภ...”
จริงแท้ที่ว่า สิ่งที่แมดอฟฟ์ทำมันผิดต่อผู้คนที่เสียหายจำนวนมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ชวนให้ตั้งคำถามต่อทั้งความเป็นมนุษย์และระบบการเงินโลกได้อย่างน่าสนใจ
เป็นไปได้ว่า หากไม่มีวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 กองทุนลวงโลกของเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ ก็คงจะดำเนินการต่อไป โดยอาศัยช่องว่างจากกลไกการตรวจสอบที่หละหลวมของการเงินการธนาคาร ที่ได้พรากเอาความหวัง ความฝันของอเมริกันชนไปอย่างไม่มีวันกลับคืน
บทเรียนครั้งนี้ทำให้เห็นว่า 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐอาจจะละลายหายไปได้ทันที ซึ่งมีต้นตอมาจากทั้งคนและระบบ ตราบใดที่ความโลภของคนมาคู่กับความหละหลวมของระบบ การเกิด bug ในโลกการเงินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://abcnews.go.com/Business/bernie-madoff-ran-worlds-largest-ponzi-scheme-dead/story?id=68802753
https://www.bbc.com/news/business-56750103
https://www.cnbc.com/2021/04/14/bernie-madoff-dies-mastermind-of-the-nations-biggest-investment-fraud-was-82.html
https://www.nytimes.com/2021/04/14/business/bernie-madoff-dead.html
https://www.townandcountrymag.com/society/money-and-power/a9656715/bernie-madoff-ponzi-scheme-scandal-story-and-aftermath/
https://www.washingtonpost.com/local/obituaries/bernie-madoff-dead/2021/04/14/f8e33fa8-c5da-11df-94e1-c5afa35a9e59_story.html
https://www.wsj.com/articles/SB10001424052748703727804576011451297639480
https://www.wsj.com/articles/a-decade-on-the-fate-of-madoffs-mansions-1529591898
เรื่อง: พิราภรณ์ วิทูรัตน์