บทสัมภาษณ์ ‘NINO’ เส้นทางแห่งภาพยนตร์และดนตรี ของชายที่ลุกขึ้นยืนจากจุดต่ำสุดของชีวิตด้วยการกดบีต
“มันเหมือนกำลังจะวิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว แต่ว่ามันก็ตกหน้าผาไปเลย ร่วงลงไปเลย กลับมา พ่อ แม่ บ้านก็โดนยึด ครอบครัวเราไม่มีที่นอน เราไม่มีธุรกิจ เราแทบจะไม่เหลืออะไรเลย”
จากนักเรียนภาพยนตร์ที่พลาดฝันจากอาชีพผู้กำกับ เพราะธุรกิจที่บ้านถูกโกงจนไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนเทอมสุดท้าย นีโน่ - เกริก ชาญกว้าง จำใจต้องบอกลาตำแหน่งนักเรียนที่ ‘Vancouver Film School’ และกลับบ้านมือเปล่า จากวันที่ร่วงหล่นจากความฝัน นีโน่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยการเข้าทำงานในสตูดิโอ VRZO และจับพลัดจับผลูมา ‘กดบีต’ ครั้งแรกด้วยการมอบหมายงานจาก ‘กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่’
“ผมตอบรับงานเขาไปทั้ง ๆ ที่ผมยังทำไม่เป็น ก็คือรับงานบรีฟมา กลับมาที่สตูดิโอก็เปิดว่า ‘how to make Hip Hop beat’ เลย”
The People ชวนนีโน่คุยถึงเรื่องราวในวันวาน กว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์ฝีมือดีที่ Prod. ผลงานเพลงหลักล้านวิวหลายเพลง ให้กับศิลปินหลายคน ไม่ว่าจะเป็น OG-ANIC, LAZYLOXY, F. HERO, Maiyarap, MILLI รวมไปถึงโปรดิวซ์เพลง 4EVER ให้กับ 4EVE เจ็ดสาวเกิร์ลกรุ๊ปไทย และก่อตั้ง ‘HYPE TRAIN’ ค่ายเพลงของตัวเองที่มีศิลปินอาทิ OG BOBBY, DON KIDS และ SPRITE ที่กำลังมาแรงไม่ใช่เล่นทีเดียว
The People: ย้อนเล่าวัยเด็กของคุณสักหน่อย นีโน่ชอบดนตรีตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า ชีวิตตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
นีโน่: จริง ๆ ผมเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างจะไม่ได้มีฐานะมากครับ คุณพ่อคุณแม่จริง ๆ เขาอยู่ที่ขอนแก่น แล้วก็ต่างคนก็คือยังไม่ได้มีธุรกิจอะไร จนเขาได้มาแต่งงานกันแล้วก็ได้เจอกัน ก็เริ่มทำธุรกิจขายรถ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีฐานะ ถือว่ายังไม่ได้มีอะไรมาก
ตอนเด็ก ๆ วัยเด็กก็ถือว่าโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่เขาสู้เพื่อผม ได้ส่งให้ผมได้ไปรับการศึกษาที่โรงเรียนที่ค่อนข้างถือว่าจะโอเคเลยในการที่จะเริ่มต้นเข้าสู่การเข้าโรงเรียน ตอนเด็ก ๆ ส่วนใหญ่คุณพ่อเขาก็จะเป็นคนให้สิ่งที่ผมไม่เคยได้เจอมาก่อน เพราะว่าส่วนใหญ่โอกาสที่เขาไม่ได้ทำแล้ว เขาก็เลยมอบให้เราหมดเลย เช่นดนตรี เวลาเขาไปต่างจังหวัดเขาก็จะซื้อซีดีต่าง ๆ ซีดีคอนเสิร์ตมาให้ผมดูตลอด กลายเป็นว่ามันก็เลยเหมือนได้รับส่วนนี้ตั้งแต่เด็ก ๆ เลย
อย่างเช่นเพลงแรก ๆ เลยที่ได้ฟัง เพลงสากลก็คือเพลงของ Santana ครับ Carlos Santana คือเป็นแบนด์ที่ใหญ่มาก คือเปิดดีวีดี ซีดีมานี่คือแบบตื่นตาตื่นใจมาก เพราะรู้สึกว่าเราไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน แล้วมันก็น่าสนใจมาก ๆ หลัง ๆ มาคุณพ่อก็เลยซื้อดีวีดีซื้ออะไรมาให้ผมเยอะแยะไปหมด มี Dream Theater มีแนวแจ๊ส แล้วด้วยที่บ้านก็คือเป็นแบบบ้าน ๆ เลย คือผมก็ได้รับอิทธิพลเรื่องแบบเพลงหมอลำ ลูกทุ่ง ด้วยความที่เราอยู่บ้านนอก แล้วก็ได้รับอิทธิพลแนวสามช่าอะไรมาด้วย คือผมค่อนข้างจะแบบฟังหลากหลายมากในช่วงเด็ก มีอะไรผมก็รับหมดเลย
ประมาณ ป.5 คุณพ่อพาไปเที่ยวที่พัทยา มันตื่นตาตื่นใจมากนะเพราะว่าที่ขอนแก่นมันมีร้านขายซีดี เพลงหรือหนังแค่ร้านเดียว มันน้อยมาก แล้วพอจะซื้ออะไรคือมันไม่เคยเห็นเพลงสากลไง พอไปเจอที่พัทยาปุ๊บ ไปเจอปก ก็คือเราเห็นหน้าปกอะ เท่ เท่ไว้ก่อน เราก็เลยซื้อ ก็คือกำเงินไปซื้อ ปรากฏว่าได้มาเป็น Limp Bizkit กับ Linkin Park
Linkin Park ปกเพลงมันเป็นเหมือนกราฟฟิตีครับ เห็นแล้วมันดูเท่ดี มันดูแบบตรงใจมากเลย มันเฟี้ยวมาก ก็คือเลือกมั่วมากเลย ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เอาเท่ไว้ก่อน พอเปิดฟังปุ๊บก็เลยแบบ เฮ้ย! มันมีเสียงว้ากด้วย มันคือดนตรีอะไร เราไม่เคยเจอมาก่อน เพราะ Carlos Santana หรือหมอลำหรืออะไรที่เราเคยฟัง กับอะไรอย่างนี้มันคนละแบบ คนละโลกเลย พอเจอปุ๊บก็เลยเรียกได้ว่าหลงเสน่ห์มัน ก็เลยชอบ และหลังจากนั้นก็เลยไปตามดูว่า อ๋อ! มันมีดนตรีที่ผสมเกี่ยวกับฮิปฮอป ก็เลยไปตามฟังของคนไทยดูครับ ไปเจอก้านคอคลับแล้วก็ Thaitanium ก็เป็นจุดเริ่มต้นเลยที่รู้จักดนตรีแนวฮิปฮอป เพราะว่าที่ผ่านมาเราก็ฟังหลากหลาย
คือหลังจากนั้นผมก็กำลังจะเข้ามัธยมฯ เวลามัธยมฯ อย่างน้อยมันต้องมีการเล่นดนตรี ผมก็เลยเลือกที่จะเล่นดนตรีชิ้นแรกก็คือกลอง เพราะรู้สึกว่ามันเท่มาก ๆ กลายเป็นว่าผมก็ไปเรียนกลองสักพักหนึ่ง เรียนได้อาทิตย์หนึ่งแล้วก็อาทิตย์ต่อไปไปเจอเขาเล่นกีตาร์ จำได้ว่าคนที่เล่นกีตาร์เขาเล่นเพลงหินเหล็กไฟ เล่นเพลงสู้ ผมก็โยนไม้กองทิ้งเลย (หัวเราะ) โยนไม้กลองทิ้งเลยแล้วก็จะเล่นอันนี้แหละ ใช่, กลายเป็นว่า เอ้า! ไปเล่นกีตาร์เฉยเลย ตอนนั้นก็ตั้งมั่นว่าอยากจะทำตรงนี้ อยากจะเล่นกีตาร์ เพราะว่ามันเชื่อมต่อกับ Santana ด้วย แล้วก็ Dream Theater คือฉันอยากจะเป็นกีตาร์ฮีโร่
ตั้งแต่นั้นมาก็คือสร้างวงดนตรีกับเพื่อน ๆ แล้วก็พยายามไปประกวดแต่ละที่ ก็ทำอยู่สักพักหนึ่ง ระหว่างทางนั้นด้วยการที่ผมเป็นคนชอบ แบบเป็นเหมือนเป็ดด้วยนิดหนึ่ง คือมันค่อนข้างหลากหลายเพราะผมชอบศิลปะมาก คือตอนเด็ก ๆ พ่อก็ซื้อดีวีดี มันก็จะมีพวกหนัง Star Wars อะไรอย่างงี้ คือผมดูแล้วผมก็ชอบ ผมเป็นคนที่โชคดีด้วยแหละที่คุณพ่อคุณแม่เขาซัพพอร์ตให้ผมทำอะไรหลาย ๆ อย่าง
ผมชอบหนังเขาก็ให้ผมลองไปซื้อกล้องมาถ่ายรูปดู ซึ่งตอนนั้นผมก็จับปลาหลายมือมาก ทั้งเล่นดนตรี ทั้งขอคุณพ่อคุณแม่ซื้อกล้องเพื่อจะเอาไปประกวดทำเกี่ยวกับหนังสั้น ในห้องก็จะมีผมคนเดียวที่เป็นคนที่ชอบถือกล้อง ถ่าย ๆ ๆ ๆ เก็บ behind the scene ไว้ทุกคน ผ่านมาสักพักหนึ่งก็ประมาณใกล้จะจบการศึกษา ม.4 - ม.6
จริง ๆ ช่วงมัธยมฯ ต้นก็ดื้อมากครับ ดื้อ ไม่ยอมเรียนเลย เพราะว่าด้วยตอนนั้นคือทางเลือกมันน้อยมาก การเรียนที่ผมรู้สึกว่าผมชอบอะไรที่มันศิลปะ แต่กลับมาในโลกชีวิตจริง เขาให้ผมเลือกได้แค่ไม่กี่ทาง คือถามคุณพ่อคุณแม่ว่าจบแล้วจะทำอะไร ส่วนใหญ่ญาติก็จะพูดว่า เป็นหมอไหม ทหารไหม ตำรวจไหม หรืออะไรอย่างงี้ครับ วิศวะไหม การที่แบบเรียนตอนนั้นคือมันแค่ไม่กี่สาย แต่สุดท้าย ม.4 ผมก็เลยกลับมาเลือกวิทย์-คณิต
เพราะอาชีพนักดนตรีตอนนั้นก็โดนแอนตี้ด้วยครับ รอบ ๆ ตัวเราเขาบอกว่านักดนตรีคงไม่น่ารอด เพราะว่ายุคนั้นมันก็มีแค่ไม่กี่ค่าย แกรมมี่ อาร์เอส ถ้าจะเรียนจบมาแล้วเพื่อไปรอ audition ก็คงไม่น่ารอด โดนกดดันจากรอบข้างด้วย มันก็หลาย ๆ อย่างด้วย ก็เลยกลับมาเรียนวิทย์-คณิต ตั้งใจอยากจะเป็นวิศวคอมพิวเตอร์ อย่างน้อยก็เออ...คอมพ์มันก็คงจะใกล้ตัวเราแหละมั้ง ก็เลยกลับมาตั้งใจเรียนมาก ๆ แต่ก็พอถู ๆ ไถ ๆ ครับ สุดท้ายแล้วก็เลย เอาไปเอามาจะจบ ม.6 ผมก็เลยตั้งมั่นว่าผมไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปีแล้ว ผมอยากจะออกไปสู่โลกชีวิตจริงเลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุน ตอนนั้นมีแค่ดนตรีเป็นหลัก แล้วก็เรียนเกี่ยวกับเรื่องทำหนัง ตอนนั้นสนใจเรื่อง CGI มาก ๆ
เราก็เลยเสิร์ชแล้วก็ถามพวกคุณครูด้วย เขาก็เลยแนะนำมาว่ามีโรงเรียนที่ชื่อว่า Vancouver Film School ครับ ระหว่างนั้นผมก็ทำหนังทำอะไร ทำเล่น ๆ พวกยูทูบ ผมก็เลยส่ง portfolio ไปที่โรงเรียนนี้ พิมพ์ไปด้วยภาษาที่มั่วซั่วที่สุดของผม ภาษาอังกฤษ เขาก็เหมือนจะตอบกลับมา ผมก็ดีใจมาก ๆ หลังจากนั้นคุณแม่ก็เลยติดต่อเอเจนซี่ที่กรุงเทพฯ ให้ ให้ติดต่อเรื่องการติดต่อไปเรียน แต่ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เสี่ยงมาก ๆ เพราะว่า หนึ่ง, เราไปเรียนที่นู่นเราไม่ได้ปริญญา เราจะได้แค่ certificate แล้วประกอบด้วยค่าใช้จ่ายมันค่อนข้างสูงมาก ๆ แล้วตอนนั้นเราก็ไม่ได้มีตังค์มาก กลายเป็นว่าคุณแม่ตัดสินใจขายบ้านอีกหลังหนึ่ง เพื่อเป็นค่าเทอมให้ผมได้ไปเรียนที่แคนาดา Vancouver Film School
The People: ตอนเรียนที่นั่นบรรยากาศการเรียนเป็นยังไงบ้าง
นีโน่: ตอนไปแรก ๆ ผมก็ไปคนเดียวเลย แล้วก็ไปอยู่กับโฮสต์แค่สองเดือนแล้วก็ออกมาอยู่เอง ก็ตื่นเต้นมาก ๆ ผมตกใจมาก ๆ เลยเพราะว่าคนที่ไปเรียนส่วนใหญ่จะอายุยี่สิบห้าอัพหมดเลย ผมมีเพื่อนที่อายุยี่สิบห้าถึงเกือบจะสี่สิบทุกคน ผมเป็นเด็กอายุสิบเก้าคนเดียวที่อยู่ใน branch นั้น ก็ตกใจว่าทำไมไม่มีรุ่นเราเลย แล้วก็เหมือนกลายเป็นว่าโรงเรียนนี้ใครก็ได้ อายุเท่าไรก็ได้ อย่างน้อยอายุสิบแปดขึ้นไปถึงยี่สิบ สี่สิบก็ยังมาเรียนที่นี่ได้ มันเป็นฟีล ๆ นี้ เป็น certificate ก็สนุกมากครับ ปีแรกเข้าไปเรียนปุ๊บเขาก็จะให้เรียนทฤษฎีแค่อาทิตย์เดียวเลย แล้วอาทิตย์ต่อไปก็คือปฏิบัติจริง คือมันค่อนข้าง skip มาก อะไรที่ไม่จำเป็นสำหรับอะไร ๆ เขาตัดเลย ต่อตรงเลย ไม่ว่าคุณจะทำอะไร เรียนนี้เสร็จอันนี้เสร็จ เทอมนี้คุณเลือกสายได้เลยว่าคุณอยากจะไปไหน ก็คือตกใจ แล้วเราด้วยที่เป็นวัยที่ยังไม่สามารถ เรียกได้ว่ายังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ คือแบบมันก็เป็นเด็ก ๆ แล้วมันก็ยังมีความดื้ออยู่ อยากจะไปเที่ยวอยากจะไปอะไร แต่มันก็ไปไม่ได้เพราะอายุก็เด็ก เพื่อนตอนเย็นเขาไปเที่ยวกัน ผมก็เข้าไม่ได้เพราะอายุมันไม่ถึงยี่สิบ
The People: อาชีพในฝันจริง ๆ ในตอนนั้น ถ้าไม่ได้กดบีต เราจะทำอะไร
นีโน่: ผมคิดว่าผมอยากเป็นผู้กำกับครับ แล้วก็อยากทำหนังเกี่ยวกับที่เราชอบมาตั้งแต่แรก ผมคิดว่าคงน่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่ก็อีกอย่างหนึ่งที่คิดเลยก็คงเป็นเกมเมอร์ครับ (หัวเราะ) เพราะแต่ก่อนตอนเด็ก ๆ เป็นคนที่ติดเกมมาก แล้วก็มีความใฝ่ฝัน คือเป็นคนที่ทำอะไรด้านหนึ่งแล้วผมก็จะแบบอินมาก ๆ น่าจะมีสองอย่างนี้แหละที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ที่สุดในชีวิต
The People: เหตุการณ์ไหนที่ทำให้ความฝันของคุณไม่กลายเป็นความจริง
นีโน่: เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนผมไปเรียน มันกำลังจะใกล้จบแล้วใช่ไหมครับ ประมาณว่าคุณแม่ผมได้ขายธุรกิจที่บ้านเพื่อที่จะ เหมือนเขาอยากจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ พอขายปุ๊บกลายเป็นว่าคนที่มาซื้อเขาโกงผม โกงครอบครัวผม แล้วเหมือนกับว่า ฉันจะจ่ายก่อนนะสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะมาจ่าย กลายเป็นว่าเขาไม่จ่าย คือเป็นคนกันเองนะ แบบรู้จักกันดีเลย ถึงเวลาปุ๊บเขาไม่จ่าย ก็เลยเกิดปัญหา พอไปฟ้องกลายเป็นว่าเราถูกเด้งกลับ เพราะหนึ่งเราเป็นสัญญาใจกัน เราไม่มีลายลักษณ์อักษร คือเรารู้จักสนิทมาก กลายเป็นว่าผมโดนฟ้อง ที่บ้านโดนยึด รีสอร์ตโดนยึด ก็คือไม่มี ก็คือทุกอย่างอะครับ กลายเป็นว่าผมกำลังจะเรียนจบแล้ว กำลังจะ render แล้ว คือจะเข้า render farm แล้ว ผมก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมสุดท้าย มันเหลือแค่เทอมสุดท้าย แล้วตอนนั้นการเรียนก็ไม่ค่อยดีด้วย คือมันเครียดด้วยพอเรารู้เรื่องที่บ้าน โฟกัสมันไม่อยู่แล้ว ผมก็เละเทะเลย ก็คือรอวันกลับอย่างเดียว
ตอนนั้นก็คือร้องไห้ ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะว่าด้วยอายุเท่านั้นเราทำอะไรไม่ได้ใช่ไหมครับ พอความฝันเราอยู่แค่เอื้อมแล้ว กำลังจะกด render แล้ว คือแบบทุกวันนี้เพื่อนผมอยู่ใน Hollywood หมดแล้ว มันอีกนิดเดียว กลายเป็นว่าลอยลำอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งปี เพราะว่าเขาให้อยู่แค่สองปี เรียนเสร็จสองปี คือถ้าผมเรียนจบผมต่อวีซ่าเพื่อจะทำงานต่อได้ กลายเป็นว่าผมก็อยู่ไปเรื่อย ๆ แล้วก็หางานทำ พยายามหางานทำที่นู่น แต่ว่าเขาไม่ให้ทำ เพราะว่าที่นู่นเขาเคร่งมาก เป็นเมืองที่ดีที่สุดท็อปไฟว์ของโลก คือถ้าคุณไม่มีใบจบหรือใบอะไร ผมก็เหมือนต่างด้าวเลย ระหว่างทางนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไง อยู่ไปวัน ๆ แล้วก็มีไปขอเขาทำงานบ้าง ไปขอวัดอยู่บ้าง วัดไทย ขอกินข้าว ตอนนั้นคือค่อนข้างประสบปัญหาหนักมาก เพราะเราไม่รู้จะทำยังไงดี
The People: เรียกได้ว่าลำบากจนไม่สามารถ afford ค่าอาหารประจำวันได้
นีโน่: ใช่ครับ ก็คือผมเคยไม่กินข้าวประมาณสามวัน กินแต่น้ำในก๊อก ก็คือจนต้องไปขอข้าวที่วัดกิน แต่ค่าเดินทางไปวัดผมยังไปไม่ได้เลย ผมก็เลยเดินเอา เดิน ๆ ๆ ตอนนั้นก็หนักมากแล้ว เราก็ไม่ได้บอกคุณแม่ด้วยว่าเราไม่มีเงิน มันทำงานไม่ได้เพราะข้อจำกัดของวีซ่า แต่โชคดีที่ไปเจอพี่ ๆ คนไทยที่ช่วยเหลือผมในเรื่องค่าอยู่ค่ากิน ก็เลยแบบ เราก็ทำงานช่วยเขาไป ก็คือรอวันกลับอยู่จนวันสุดท้ายจริง ๆ วันที่วีซ่าจะหมด
The People: รู้สึกเคว้งบ้างไหมที่ต้องกลับบ้านมามือเปล่า
นีโน่: ความรู้สึกแรกก็รู้สึกว่ามันเหมือนว่า ไม่มีสติอะครับ มันเหมือนกำลังจะวิ่งเข้าเส้นชัยแล้วอีกนิดหนึ่งที่เราตั้งไว้ แต่ว่ามันก็ตกหน้าผาไปเลย ร่วงลงไปเลย กลับมา พ่อแม่ บ้านก็โดนยึด คือเราแบบ ครอบครัวเราไม่มีที่นอน เราไม่มีธุรกิจ เราแทบจะไม่เหลืออะไรเลย น้องสาวกำลังจบ กำลังใกล้จะจบ แล้วก็อีกนิดเดียวอะครับ มันใกล้แล้ว คือแบบล่องลอยไปเลย อยู่ที่บ้านประมาณเดือนหนึ่งเต็ม ๆ โดยที่คิดว่าจะเอาไงกับชีวิตดี กับครอบครัวดี ครอบครัวก็คือคิดแทบไม่ออก แล้วตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็คือเริ่มจะเครียดหนักมาก อย่างคุณพ่อผมแทบจะซื้อปืนไปยิงเขาเลย เราก็ต้องมีสติมาก ๆ เราต้องช่วยกันประคับประคอง คือมันโชคดีมาก ๆ ด้วยที่ตอนนั้นผมพาเขาเข้าเกี่ยวกับเรื่องธรรมะ เพราะว่าบ้านผมตอนนั้นเขาไม่เคยเข้าทางนี้เลย ผมได้ไปปฏิบัติตั้งแต่ตอน ป.6 แล้วมันเป็นช่วงที่มันแบบว่า ปัญหาเศรษฐกิจ ผมก็เลยให้คุณพ่อลองเข้ามาที่วัดดู เข้ามาหาหลวงพ่อดู ป.6 นะครับ ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมก็ให้แกลองเข้ามาดู กลายเป็นว่าไอ้สิ่งนี้ครับ สิ่งนี้มันช่วยให้ครอบครัวผมยังมีสติอยู่ ไม่งั้นเขาคงเอาปืนไปยิงคนนั้นจริง ๆ แล้ว
The People: หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นคนหารายได้เข้าครอบครัวเลยไหม
นีโน่: หลังจากนั้นผมก็เลยหางานครับ คิดว่ามันก็คงหางานได้บ้างแหละ อย่างน้อยก็มีค่าที่จุนเจืออะไรทุกอย่าง มันก็หายากมาก กลายเป็นว่าช่วงนั้นเราดูยูทูบ แล้วก็ไปเจอประกาศของ VRZO เพราะว่าอยู่ที่นู่นผมไม่มีอะไรทำผมก็จะดูยูทูบว่า เฮ้ย! มีอะไรน่าสนใจบ้าง VRZO เปิดรับ ผมก็เลยส่งเข้า facebook แล้วเขาก็สนใจ ผมตัดสินใจนั่งรถทัวร์นครชัยแอร์มากับเพื่อนสองคน นั่งมาแบบไม่รู้เลยว่ากรุงเทพฯ มันคืออะไร ครั้งเดียว ผมเคยไปกรุงเทพฯ ไม่กี่ครั้งเองในชีวิตตอนนั้น สองครั้งได้ ไปครั้งแรกก็คือไปแคนาดาเลย ครั้งที่สองก็นี่แหละครับ ไป VRZO
ก็คือไปนั่งรอตั้งแต่ช่วงเช้า รอเข้าสัมภาษณ์งาน ก็เข้าไปสัมภาษณ์แล้วก็ไม่รู้ว่านี่คือการสัมภาษณ์ในการทำงานครั้งแรกไง ผมก็แบบตลกมากเลย คือขอนแก่นค่าครองชีพมันก็คนละแบบ เขาถามว่าผมอยากได้เงินเดือนเท่าไร ผมก็เลยบอกว่างั้นผมเอาแค่ห้าพันหกพันก็พอแล้วพี่ เขาก็หัวเราะ พี่หลุยส์กับพี่จอร์จหัวเราะก๊ากเลย มึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย มาอยู่กรุงเทพฯ หกพันจะอยู่ได้ไง ผมก็เล่าเรื่องชีวิตให้เขาฟังนิดหนึ่ง เขาก็เลยเหมือนช่วยแก้ปัญหา ก็คือ เอางี้ มาอยู่ที่สตูดิโอ VRZO เลย แต่ว่ามีข้อแม้ก็คือช่วยทำความสะอาด ช่วยดูแล กลายเป็นว่าผมได้ที่อยู่ฟรี แล้วก็ได้เงินเดือนมาตรฐานเลย ก็คือทำ visual effect ในหน้าที่ visual effect นะครับ อยู่สักพักหนึ่งเลย ประมาณสองปีได้
The People: แล้ววลี ‘นีโน่กดบีตให้หน่อย’ เริ่มได้อย่างไร
นีโน่: จริง ๆ แล้วไอ้กดบีตผมไปเจอมาจากที่เมืองนอกครับ คือเพื่อนด้านสกอร์หนังเขามีเครื่องชื่อว่า MPC ก็คือเอาเสียงต่าง ๆ มาทำบีต ผมก็เลยพอได้เรียนรู้บ้าง กลับมาก็เลยอยากทำสนุก ๆ ด้วยความที่เราฟังเพลงอยู่แล้วแต่เด็ก ทำเล่น ๆ หลังเลิกงาน จนพี่หลุยส์เขาก็มองเห็นว่าผมทำได้ เฮ้ย! ทำได้นี่หว่า แล้วเขาก็กำลังทำวาไรตี้ที่ชื่อว่า RAP IS NOW อยู่ แล้วก็มีพี่ชม ชุมเกษียร อยู่ในนั้น เขาเป็นเกี่ยวกับเรื่องอาร์ตอะไรงี้ครับ ก็เลยกลายเป็นว่าเขาพาผมไปเจอพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ กลายเป็นจุดเริ่มต้นว่าผมได้ทดลองงานกับพี่กอล์ฟ
ที่ผมเจอพี่กอล์ฟครั้งแรกพูดตรง ๆ ว่าผมยังทำไม่เป็นเท่าไร ผมก็ตอบรับพี่หลุยส์ไปว่าทำได้พี่ เอาเลย เพราะว่าตอนนั้นเราก็ เรื่องรายได้อะไรอย่างนี้เราก็ไม่ค่อยมีด้วย แล้วเราก็อยากลองดู ผมนึกว่าเขาจะให้แค่พันสองพัน ถึงเวลาปุ๊บเขาก็แบบ เฮ้ย! ได้หลักหมื่นเลย ก็งงว่าเฮ้ย! มันมีอะไรอย่างงี้ด้วยเหรอ ผมตอบรับงานเขาไปทั้ง ๆ ที่ผมยังทำไม่เป็น กลายเป็นว่านั่นแหละครับเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มกดบีต ก็คือรับงานบรีฟมา ผมกลับมาที่สตูดิโอก็เปิดว่า ‘how to make Hip Hop beat’ เลย คือตอบทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ ยังทำไม่เป็นอะ ตอนนั้น ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น มันเหมือนบังคับให้ผมได้ทำด้วย ผมคิดว่าผมทำได้
จริง ๆ มันใช้เวลานานมาก ๆ กว่าที่จะจับจุดได้ว่ามันคืออะไร คือผมพูดตรง ๆ เลยว่าผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้จักผมได้ยังไง คือตอนนั้นน่ะ คือผมทำอย่างเดียวเลย มันมีหน้าที่คือแรงไดรฟ์มันมาจากครอบครัว ผมทำงานแบบไม่สนใจอะไรภายนอกเลย ใครจะคิดอะไร ใครจะทำอะไร ผมจะทำอันนี้ มีกี่งานผมก็รับหมด ทำ ทำให้ได้
กลายเป็นว่ามันมีอยู่งานหนึ่งครับ ที่ผมขอเขาใส่เครดิต เหมือนว่าพี่ช่วยใส่ credit ใน description ให้หน่อยได้ไหม ผมเอา end credit ของหนังมาเปรียบเทียบว่า เอ๊ย! ลองใส่ใน description ให้หน่อยได้ไหมในยูทูบ แล้วเขาพูดกับผมว่า เฮ้ย! มึงจะไปสนใจอะไรกับ credit ด้านล่างวะ ใครจะมาสนใจตรงนี้ คนเข้ามาฟังเพลงกัน ผมก็แบบเซ็งมาก ๆ เลย เพราะว่าผมแค่ใส่ชื่อได้ไหม เพราะว่ามันจะเป็นผลงานผมเผื่อผมเอาไปต่อยอดอะไรได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมใส่ ผมก็เลยคิดไอเดียว่า ฝรั่งเขามีการใส่ tag ชื่อครับ กลายเป็นว่าผมขอเอาใส่ในไตเติลเลยว่า Prod. By NINO กลายเป็นว่าจุดนั้นเราทำ marketing ให้ตัวเองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าทุกเพลง เหมือนรอถูกล็อตเตอรี่ว่าในร้อยเพลงนี้ เพลงไหนจะดัง คนก็จะได้ยินชื่อเราไปด้วย กลายเป็นว่าสามปีเต็ม ๆ ที่ผมทำงานแบบไม่สนใจอะไรเลย คนมารู้จักชื่อผมว่า Prod. By NINO คืออะไร คนก็เริ่มตามหาว่าไอ้นี่คือใคร มันน่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจเลย
The People: ทำงานวันละกี่ชั่วโมง
นีโน่: จริง ๆ ตอนนั้นออกจาก VRZO แล้วผมก็เคว้งคว้างมากไม่รู้จะทำอะไร ก็ซื้อคอมพ์มาหนึ่งตัวแบบว่ากัดฟันเลย ตอนนั้นบ้านก็คือไม่มี บ้านที่บ้านคือคุณพ่อคุณแม่ไปขออาศัยกับคุณตาคุณยาย แล้วก็ขอยืมรถคุณตา ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ขายแชมพูไปตามต่างจังหวัด ผมก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ดูแลน้อง น้องก็เข้ามหาวิทยาลัย คือผมส่งน้องเรียนด้วยตอนนั้น ผมก็เลยตัดสินใจว่า ผมจะตื่นมา...หนึ่งปี ขอหนึ่งปีจะตื่นมาทำ beat tutorial อย่างน้อยวันละสิบสองชั่วโมงหรือแปดชั่วโมง คือไม่ไปไหนเลย หนึ่งปีผมทำอย่างนี้ จนทำงานแล้วก็รู้ตัวอีกทีก็คือมาตอนนี้อะครับ ใช่, ผมไม่รู้ว่ามันกี่ชั่วโมง ผมรู้สึกว่ามันนับไม่ได้
ช่วงแรกผมตื่นมาผมไม่สนใจอะไรเลย ผมเข้ายูทูบแล้วผมก็นั่งทำบีต ทำทุกอย่างที่มันสามารถจะทำได้ตอนนั้นเพราะมันมีแรงไดรฟ์สูงมาก สูงจนผมไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นกลายเป็นว่าเราเป็นหัวเรือของครอบครัว ผมก็เลยต้องกัดฟันสู้อย่างเดียว
The People: เพราะไม่อยากให้ครอบครัวของคุณกลับไปจุดเดิม?
นีโน่: จริง ๆ มันก็มีส่วนครับ ผมแค่อยากจะทำทุกอย่างให้มันไม่กลับไปเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะเหมือนเรารู้จุดที่เราอยู่ที่ต่ำสุด เราเคยไปที่สูงสุดแล้วเราเคยล้มลงมาอีกรอบหนึ่งแบบเหวเลย แล้วเราก็กลับขึ้นมาใหม่ แล้วผมรู้สึกว่าผมไม่อยากจะกลับไปตรงนั้นอีกแล้ว ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ผมก็เลยสู้มาเรื่อย ๆ
The People: ความยากของการทำงานร่วมกับศิลปินคนอื่น ๆ
นีโน่: ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้านี้ผมเป็นเด็กที่ขี้อายมาก ผมแทบจะไม่ทำการตลาดอะไรเลย ผมใช้ชีวิตแบบไปวัน ๆ ทำไป คือรู้สึกว่าตอนนั้นตัวเองเป็น... ผมว่าทุกคนน่าจะเคยเป็นนะ คิดว่าตัวเองต่ำต้อย คิดว่าไม่เก่ง คือเป็นอย่างนี้จนเพื่อน ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม เพื่อนผมก็จะมี FIIXD มี BEN BIZZY ตอนนี้เป็นแรปเปอร์ ก็คือเขาก็มาบอกผมว่า เฮ้ย! จริง ๆ มึงเก่งนะ มึงทำไมไม่ทำวะ คือตอนนั้นผมเป็นคนแบบนั้นอยู่ จนผมออกจาก comfort zone ได้ กลายเป็นว่าเราเริ่มรับทำแนวอื่นมากขึ้น เริ่มเจอคนมากขึ้น เราเริ่มรู้วิธีการทำงานกับลูกค้า เริ่มรู้วิธีการคุย สื่อสาร เราได้เจอคนที่ค่อนข้างหลากหลายมาก แล้วก็ได้รู้ว่าวิธี handle มันเป็นยังไง จริง ๆ มันก็ประกอบไปด้วยธรรมะ จริง ๆ มันช่วยผมได้มากนะในการใช้ชีวิตประจำวัน คือสมมติเราโดนลูกค้าด่ามา ในใจเราอาจจะอยากด่ามันไปเลย ว่า เฮ้ย! ตอนนั้นก็เคยคิดว่าจะด่าเลย แต่ก็ไม่ทำก็ได้วะ แต่คือเหมือนเราคุยกับตัวเองว่า อ๋อ! เขาเป็นลูกค้านะ อะไรอย่างนี้ คือเหมือนกับคุยกับตัวเองค่อนข้างเยอะครับ มันกลายเป็นว่าทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ทุกวัน ๆ โดยที่ไม่เกิดอารมณ์ ไม่เกิดการขาดสติ ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ดีมาก
จริง ๆ ธรรมะไม่ได้แปลว่าผมเป็นคนดีนะ มันคือวิธีการมากกว่า ผมไม่สามารถจะมาบอกว่านี่อะไรคือถูกคือผิดหรอก มันเป็นเหมือนฝรั่งก็คือ one mindset สามารถเปลี่ยนเราได้เลย อะไรแบบนี้ แต่ไอ้สิ่งนี้พอมัน memory อยู่ในหัวผมแล้ว มันจะ automatic บอกกับตัวเองเหมือนมี skill อะ ถ้าเล่นเกมก็คือมี skill ว่า เฮ้ย! ใจเย็นนะ มันอาจจะแตกต่าง เพราะว่าจริง ๆ ฮิปฮอปกับอะไรอย่างนี้มันดูคนละขั้ว คือธรรมะมันก็เป็นเรื่องที่อธิบายค่อนข้างยากถ้าผมจะพูดในมุมกว้าง มันก็ต่างคนต่างคิด เรียกได้ว่าเป็นเหมือน skill ในชีวิตแล้วกัน ที่มีแล้วมันก็ช่วยให้ผมเดินทางอย่างปลอดภัย
The People: เล่าถึงค่ายสองค่ายที่คุณมีส่วนร่วมก่อตั้ง ‘YUPP’ และ ‘HYPE TRAIN’
นีโน่: ตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนมาก ๆ เพราะว่ารายการเริ่มสนใจเกี่ยวกับแรป จน Workpoint ได้ทำรายการชื่อว่า The Rapper แล้วผมได้มีโอกาสไปช่วยเขาทำ เอาไปเอามาผมก็สนิทกับพี่ที่ RAP IS NOW ก็เลยคิดว่าเออ...ทำไมไม่มีใครทำค่ายฮิปฮอปเลย ตอนนั้น YOUNGOHM ก็ดังด้วย เราลองไหม ชวน YOUNGOHM หรือแบบมาทำอะไรอย่างนี้ไหม เพราะว่าแบบมันนานมากเลยนะกว่าที่ฮิปฮอปมันจะขึ้นมา on ground ขนาดนี้ คนจะให้ความสนใจมากขนาดนี้ เราก็เลยตั้งค่าย ‘YUPP’ ขึ้นมากับพี่ ๆ ทั้งหมดหกคนรวมผมด้วย ก็คือไป required เด็กใน The Rapper อย่าง LazyLoxy, OG-GANIC, เด็กเลี้ยงควาย คืองานนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของวงการฮิปฮอปยุคนั้นเลย
ส่วน ‘HYPE TRAIN’ ก็คล้าย ๆ กัน แต่เป็นในรูปแบบที่ผมอยากโตมากกว่านี้ อยากโตด้วยตัวเอง การที่ผมขึ้นต้นมากับ YUPP มันเหมือนเป็น trial อะครับ ลองว่าแบบว่า คือมันไม่เคยมีใครสอนให้ผมทำธุรกิจ พี่ ๆ RAP IS NOW ด้วย เราก็งู ๆ ปลาๆ แบบไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่มีใครมาสอนเรา เอาไปเอามาเราก็เลยแบบว่าตอนนี้มันเริ่มแข็งแรงแล้ว แล้วเราเป็นคนที่เรียกว่าเป็นคนสุดโต่งประมาณหนึ่ง อยากลองสักครั้งหนึ่ง ตั้ง goal ใหม่ในชีวิต อยากจะลองมีอะไรที่เป็นของตัวเองสักครั้งในชีวิต ก่อนอายุ 30 หรือ 35 อยากจะลองมีค่ายของตัวเอง อยากจะลองทำธุรกิจ ก็คืออยากโตขึ้นไปอีก ก็เลยแยกตัวออกจาก YUPP ครับ แล้วก็มาทำ HYPE TRAIN ที่เป็นค่ายในรูปแบบของตัวเอง
The People: เลือกคนเข้าค่ายอย่างไร อยากปั้นพวกเขาไปในทิศทางไหน
นีโน่: จริง ๆ ก็ตามเซนส์เลยครับ แล้วก็ตามชะตากรรมเลย แบบว่าถ้าเจอปุ๊บแล้วคลิกก็คือติดต่อเลย คือผมไปเจอที่ Show Me The Money Thailand ผมไปเป็น music director ให้กับรายการ แล้วก็ scout เขาตั้งแต่ต้นเลย แล้วก็เหมือนโยนเหรียญ พลิกไปเลย ผมก็เลือกไว้เลยทั้งหมด 7 คน ไม่รู้เป็นใคร เป็นหน้าใหม่ทั้งหมด ไม่รวม SPRITE นะครับ เพราะ SPRITE ผมเจอก่อนรายการ
การที่ได้เข้ามาในวงการนี้จริง ๆ แล้วผมอยากให้อนาคตของศิลปินมี career path ที่อย่างน้อยอยู่ได้อย่างน้อยสามปีถึงห้าปี goal ของผมคือไม่ได้ทำให้เขาดัง แต่ทำให้เขาได้รู้ว่า จริง ๆ ก็คุยกับทุกคนเลยนะว่าก่อนจะเข้ามาปุ๊บ คุณต้องมั่นใจนะว่าจะไม่ดังแค่ปีเดียวแล้วจะเลิกทำ เพราะผมรู้สึกว่าในวงการมันเป็นเหมือน trend ผมรู้สึกว่าเหมือนยุงอะ คือแค่เกิดมาปุ๊บดูดเลือด ไม่กี่วันก็ตายแล้ว ผมรู้สึกว่าอยากเห็นศิลปินเดินทางได้อย่างน้อยมากสุดสักห้าปี goal มันก็จะมีค่อนข้างหลากหลาย อยากให้คนได้ฟังในรูปแบบของเราด้วย ทั้งเพื่อนบ้านด้วย ประเทศเพื่อนบ้าน
The People: อยากให้ค่าย go inter ไหม
นีโน่: อยากครับ ก็เป็นเหตุผลที่ จริง ๆ การเลือกของผมมันจะค่อนข้างงง ๆ หน่อยนะ เพราะว่าจริง ๆ SPRITE เนี่ยเรียกได้ว่าเป็นแนวแบบภูธร local เลย แล้วก็อีกคนที่ชื่อว่า OG BOBBY คือมันอินเตอร์ อินเตอร์ภูธร แต่จริง ๆ แล้วมันคือตัวผมนะ เพราะว่าทำหลากหลายมาก มันก็กลายเป็นเหมือนผมเป็นเชฟ และนี่คือเมนูอาหารที่เสิร์ฟให้ทุกคนได้ฟัง
The People: ถ้าวันหนึ่งมี beat maker หน้าใหม่ที่ฝีมือสูสีกับนีโน่เข้ามาในวงการ มองว่ามันคือการแข่งขัน หรือการรันวงการฮิปฮอปไทย
นีโน่: ผมมองว่าจริง ๆ คือทั้งคู่นะครับ แต่ผมมองว่า run มากกว่า การแข่งขันก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้คนมันไดรฟ์ เหมือนทำร้านกาแฟอะครับ เราทำร้านกาแฟเหมือนกัน แต่จุด ลักษณะ ความโดดเด่นก็ต่างกัน การแข่งขันจะช่วยทำให้เขาได้ไป run ต่อ เหมือนผมที่ได้รับโอกาสจากพี่กอล์ฟ คือถ้าไม่มีเด็กรุ่นใหม่ก็จะไม่มี อย่างที่บอกเด็กรุ่นใหม่คืออนาคตของชาติ เพราะฉะนั้นผมว่ามันเป็นการ run ด้วย แล้วก็เป็น competition ด้วย มันไปด้วยกัน
The People: เล่าถึงวงการเพลงฮิปฮอปไทยที่นีโน่รู้จัก
นีโน่: จริง ๆ แล้วฮิปฮอปตอนนี้ก็ค่อนข้างไปในวงกว้าง ผมว่ามาถึงในจุดที่มันจะอิ่มตัวแล้ว แต่ว่าก็กำลังคัดกรองคนอยู่ เพราะว่าศิลปินสมัยนี้ ความน่ากลัวของมันก็คืออายุการใช้งานมันน้อยมาก สมมติว่าหนึ่งเพลงคุณทำได้ 50 ล้านวิว แต่ถามว่าปีต่อไปคุณจะทำยังไงต่อ นี่คือความน่ากลัวของวงการตอนนี้ คือมันไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ทำเพลงออกมาได้ล้านวิวก็กลายเป็นว่าเราก็กดดันตัวเอง กลายเป็นว่าทุกอย่างมันมาไวไปไวมากตอนนี้ มันก็จะเหลือแค่ไม่กี่คนที่จะยืนหยัดสู้ สู้กับ circle ของฮิปฮอป ผมก็อยากให้วงการมันยังไปต่อได้อีก แล้วก็ยังมีตัวละครอีกหลายคนที่มันยังไม่ได้โผล่ออกมา
The People: แล้ววงการเพลงไทยล่ะ
นีโน่: จริง ๆ ก็ดุเดือดนะครับ ถามว่าวงการเพลงไทยมันก็จะมีอีกหลายอย่างให้เราได้ลอง จริง ๆ บ้านเราให้ความสนใจเรื่องดนตรีค่อนข้างสูง เพราะทำไม่ดีด่าแล้ว ทำไม่ดี ไม่ถูกใจ ด่าแล้ว แสดงว่ามันน่าสนใจ ยังมีการแข่งขัน ยังมีการให้พิสูจน์อะไรอีกมากมายในประเทศบ้านเรา ไม่ว่าจะแนวไหน ผมเข้าใจว่าคนในวงการยังต่อสู้ด้วยกันอยู่ครับ มันเหมือนสู้รบ เพราะว่ามันเป็นยุคที่มันเปลี่ยน เพราะว่าเมื่อก่อนหนึ่งอัลบั้ม หนึ่งเทป ขายได้สองล้านตลับ มันคือขายได้ อยู่ได้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง เราฟังเพลงจาก streaming ฟังได้จากยูทูบ กลายเป็นว่าการหารายได้จากการเป็นศิลปินมันก็มีทั้งความน่ากลัวแล้วก็มันไม่ยืนยาวอยู่ ผมก็เลยคิดว่ามันยังมีอะไรให้พิสูจน์อีกมากมายครับ
The People: ฝากค่าย ‘HYPE TRAIN’ สักหน่อย
นีโน่: ยังไงก็ฝากค่าย HYPE TRAIN ด้วยนะครับ ตอนนี้เรามีศิลปินทั้งหมด 9 คน ก็ตอนนี้กำลัง launch อยู่เลย ยังมีหลายคนที่ยังไม่ได้ปล่อย ก็ฝากค่าย HYPE TRAIN ด้วยครับ
สัมภาษณ์: จิรภิญญา สมเทพ
ภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม