17 มิ.ย. 2564 | 19:43 น.
***เปิดเผยเนื้อหาของเรื่องจนถึงอนิเมะใน Season 5 ตอนที่ 12 ยังคงโด่งดังไม่หยุดกับเรื่อง My Hero Academia ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ Weekly Jump (週刊少年ジャンプ) ของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค. ศ. 2014 จนปัจจุบันก็ยังดำเนินเรื่องอยู่ มีรวมเล่มของตัวเองไปแล้วทั้งสิ้น 30 เล่มพอดี (ณ เมษายน ค. ศ. 2021) เรื่องนี้เป็นการ์ตูนแนวโชเน็นที่ดำเนินเรื่องด้วยธีม ‘ความเหลื่อมล้ำ’ อย่างชัดเจนมาก ตั้งแต่ตอนแรกที่เปิดเรื่องมา พระเอกก็โดน bully ในโรงเรียนอยู่เป็นประจำเพราะตัวเองนั้นด้อยกว่าเพื่อนคนอื่นเพราะไร้อัตลักษณ์ “มนุษย์นั้นเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน นี่คือความจริงของสังคมที่ตัวผมได้รู้ตั้งแต่ตอนประมาณ 4 ขวบ เป็นความรู้สึกสิ้นหวังครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของผม” (人は生まれながらに平等じゃない。これが 齢四歳にして知った社会の現実。そして僕の、最初で最後の挫折だ。) เนื้อเรื่องกล่าวถึงโลกในยุคอนาคตที่ประชากรโลกประมาณ 80% มีการกลายพันธุ์และเกิดความสามารถพิเศษต่าง ๆ ที่เรียกว่า ‘อัตลักษณ์ (個性)’ โดยอัตลักษณ์นี้สืบทอดทางพันธุกรรม ลูกที่เกิดมาจะมีแนวโน้มได้รับอัตลักษณ์ของทางพ่อฝ่ายเดียว, ทางแม่ฝ่ายเดียว, หรือเกิดอัตลักษณ์ผสมก็เป็นได้ และมักเริ่มแสดงอัตลักษณ์ออกเมื่ออายุได้ประมาณ 4 ขวบ โดยมนุษย์คนแรกที่มีอัตลักษณ์คือทารกที่เกิดที่เมืองชิงชิ่ง (軽慶市) ประเทศจีน ที่สามารถส่องแสงออกจากร่างได้ และก็เริ่มค้นพบมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่มีอัตลักษณ์หลายหลายมากขึ้นทั่วโลกจนกลายเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ 80% จะมีพลังพิเศษกัน และเกิดเป็นกลุ่มเหล่าร้าย ‘วิลเลิน (Villain)’ ที่ใช้อัตลักษณ์ในทางที่ผิดกฎหมาย และเกิดสมาคมฮีโร่ที่ใช้อัตลักษณ์เพื่อคืนความสุขมาสู่สังคม มิโดะริยะ อิสึคุ (緑谷出久) พระเอกของเรื่อง ผู้ใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นฮีโร่ กลับค้นพบความจริงที่น่าเศร้าว่า ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในสังคมต่างก็มีอัตลักษณ์ มีจุดเด่น มีพรสวรรค์ แต่ตัวเขาเองกลับไร้อัตลักษณ์โดยสิ้นเชิง นายแพทย์ที่ตรวจร่างกายยังเสริมว่าคนแบบเขานั้นหายากมากจริง ๆ สำหรับยุคสมัยนี้ เพราะเขามีข้อต่อตรงกระดูกนิ้วก้อยเท้าอยู่ครบทั้งสองข้อต่อแบบมนุษย์ยุคเก่าที่แท้จริง จึงไร้อัตลักษณ์โดยสมบูรณ์แบบแม้ว่าพ่อและแม่ของเขาจะเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ Generation ที่ 4 แล้วก็ตาม โลกของ My Hero Academia นั้นช่างโหดร้ายกับคนไร้อัตลักษณ์ยิ่งนัก มักตกเป็นเหยื่อของวายร้าย หรือเป็นเหยื่อโดนคนที่มีอัตลักษณ์รังแกดูหมิ่น และถึงต่อให้มีอัตลักษณ์แต่ว่าเป็นอัตลักษณ์ที่ไม่เท่ หรือเป็นอัตลักษณ์ที่ดูน่ากลัว น่าขยะแขยง ก็จะถูกสังคมผลักไส รังเกียจ จนมีไม่น้อยที่กลับไปเข้ากลุ่มกับพวกวิลเลินและกลายเป็นเหล่าร้ายไปจริง ๆ ในที่สุด เป็นโลกแห่งการต้องมีจุดเด่น มีจุดขาย มิเช่นนั้นก็ยากจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ (คล้าย ๆ โลกแห่งความจริงเราอย่างไรไม่รู้ ที่ในยุคนี้ทุกคนต้องมีจุดเด่น จุดขาย ไม่งั้นก็เป็นแค่ ‘คนไร้อัตลักษณ์’ คนหนึ่ง) และกลายเป็นโลกแห่งชาติตระกูลว่าต้องมีอัตลักษณ์แบบนี้ ๆ ที่สืบทอดมาจากตระกูลนี้ ๆ เท่านั้น ถึงจะกลายเป็นผู้ชนะในสังคม แต่เหมือนฟ้ามาโปรด พระเอกของเรามีโอกาสได้รับการถ่ายทอดอัตลักษณ์จากฮีโร่อันดับหนึ่งของเรื่อง แต่ช้าก่อน เรื่องราวไม่แฮปปี้เอ็นดิ้งแบบนั้นแน่ อัตลักษณ์ที่ได้รับถ่ายทอดมานั้นเป็นสิ่งที่สั่งสมมาถึง 8 ชั่วอายุคนที่มีพลังมหาศาลมาก จึงทำให้มิโดะริยะต้องฝึกฝนร่างกายอย่างหนักหนาสาหัสมากเพื่อให้ร่างกายทนกับพลังแห่งอัตลักษณ์นั้นได้ แม้จะฝึกหนักเพียงใด ครั้งแรกที่ปล่อยอัตลักษณ์นี้ออกไปก็ยังทำให้มิโดะริยะบาดเจ็บสาหัสที่แขนแทบจะพิการไปในคราวเดียวกันนั้น ตลอดทั้งเรื่องจะเห็นความพยายามอย่างหนักหนาสาหัสของตัวละครทุกตัว ฝ่ายตัวร้ายก็ต่อสู้เพื่อให้ตัวเองได้รับแสงสว่างในสังคมบ้าง, เพื่อล้างแค้น, หรือเพราะถูกผลักไสจนมิอาจยืนอยู่ในหนทางแห่งแสงสว่าง ฯลฯ เหล่าร้ายหลายตัวมีอดีตอันแสนมืดมนจนน่าเห็นใจ ในขณะที่เหล่าตัวเอกก็ต้องพยายามฝึกฝนการใช้อัตลักษณ์ของตัวเองให้เก่งขึ้น ฝึกการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหรือทีมเวิร์คเพื่อทำให้อัตลักษณ์ของตัวเองมีประสิทธิภาพมากที่สุดในสนามรบ และตัวละครเกือบทุกตัวต่างก็ต้องบาดเจ็บสาหัส เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป ท่ามกลางความสับสนในชีวิตของวัยรุ่นและความสับสนของสังคมแห่งมนุษย์พันธุ์ใหม่ ความสนุกของเรื่องนี้คือการจับตามองการเติบโตของตัวละครจำนวนมากกกก เริ่มจากพระเอกคือมิโดะริยะ ที่ช่วงแรกใช้พลังแล้วร่างกายพังทุกครั้ง กลายเป็นค่อย ๆ เริ่มรวบรวมพลังไปที่นิ้ว หรือเริ่มใช้คล่อง จนร่างพังอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จนปรับมาใช้เพลงเตะแทน แล้วยังต้องทะเลาะกับแม่ของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าที่เห็นลูกชายต้องร่างพังทุกครั้งที่ใช้พลังช่วยเหลือผู้อื่น ยังมีตัวละครคู่รักคู่แค้นที่ bully พระเอกตั้งแต่เด็กยันโตอย่างบะคุโกที่ฝึกฝนพลังระเบิดของตัวเองจนเก่งขึ้นทุกที แล้วยังมีตัวละครที่เป็นขั้วตรงข้ามกับมิโดะริยะอย่างเช่น โชโตะ ที่มีอัตลักษณ์อันแสนจะเท่และทรงพลัง ซึ่งตรงนี้ชัดมากว่า โชโตะมีอัตลักษณ์ที่ทรงพลังมากมาแต่เด็ก ทำให้วางแผนโจมตีได้ไม่ดี และประยุกต์ใช้อัตลักษณ์ของตัวเองได้อย่างมีขีดจำกัด เมื่อเทียบกับมิโดะริยะที่ไร้อัตลักษณ์มาตั้งแต่เด็กแต่เป็นแฟนพันธุ์แท้ฮีโร่และทำให้มิโดะริยะประเมินสถานการณ์และโจมตีได้ดีกว่าโชโตะ หรือเทียบกับบะคุโกที่ประยุกต์อัตลักษณ์ของตัวเองในสนามรบได้ดีกว่ามาก ทำให้ยิ่งเห็นประเด็นขั้วตรงข้ามระหว่าง พันธุกรรมหรือชาติตระกูล VS ความพยายามพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ได้ชัดเจนมาก แล้วยังมีตัวละครหลักตัวอื่นที่เรียกได้ว่าเป็นม้ามืดก็ได้ อย่างรุ่นพี่โทงะตะ มิริโอะ ที่มีอัตลักษณ์คือทะลุผ่านได้ทุกสรรพสิ่ง ซึ่งต้องฝึกฝนอย่างหนักหนาสาหัสกว่าจะใช้ให้มีประสิทธิภาพได้ แต่กลับสูญเสียอัตลักษณ์ของตัวเองไปอย่างน่าเจ็บปวด หรือตัวละครที่ไม่เด่นอะไรเลยอย่างชินโซ ฮิโตะชิ ที่มีอัตลักษณ์คือล้างสมองคนที่ขานรับเสียงของตัวเอง โดยชินโซมีซีนให้ออกโรงน้อยมากแค่ไม่กี่ตอนแล้วก็หายไปยาว ๆ แต่ใครจะคิดว่าชินโซจะกลับมาพร้อมเลเวลอัพ มีการฝึกฝนและใช้ไอเท็มเสริมจนกลายเป็นตัวละครเอกที่ทรงพลังไปอีกตัว หากใครรู้อักษรคันจิ ก็จะยิ่งเสพอรรถรสของชื่อตัวละครหลาย ๆ ตัวได้ (ไม่ทุกตัวนะ) เพราะตั้งชื่อได้เข้ากับอัตลักษณ์และคาแรกเตอร์มาก อย่างเช่น 1) บะคุโก (爆豪) เขียนด้วยอักษรตัว ระเบิด (爆) และ สูงส่ง (豪) จึงมีพลังระเบิดเด่นมาก 2) ออลไมท์ในร่างมนุษย์ปกติมีนามสกุลว่า ยะงิ (八木) เขียนด้วยอักษร แปด (八) และ ต้นไม้ (木) ให้เห็นว่าเป็นผู้สืบทอดพลังรุ่นที่แปด 3) โชโตะ (焦凍) เขียนด้วยอักษรตัว เผาไหม้ (焦) และ กลายเป็นน้ำแข็ง (凍) จึงมีพลังครึ่งร้อนครึ่งเย็น 4) พิ้งกี้มีนามสกุลว่า อะชิโดะ (芦戸) เพื่อให้ออกเสียงพ้องกับการใช้สำเนียงญี่ปุ่นในการอ่านภาษาอังกฤษคำว่า กรด (acid) ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง 5) ซะโต้ (砂藤) ที่ออกเสียงพ้องเสียงกับคำว่า น้ำตาล ในภาษาญี่ปุ่นว่า ซะโต้ (砂糖) ที่ต้องกินน้ำตาลแล้วถึงจะมีพลัง 6) ชินโซ ฮิโตะชิ (心操人使) โดย ชินโซ แปลว่า ควบคุมจิตใจ ส่วน ฮิโตะชิ แปลว่า ใช้มนุษย์ (เป็นเครื่องมือ) จึงมีอัตลักษณ์คือล้างสมองคน การเฝ้าดูความพยายามฝ่าฟันอุปสรรคหรือความสับสนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองของทุกตัวละครในเรื่องนี้ ไม่ว่าฝ่ายดีหรือฝ่ายร้าย จึงเป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้อย่างมาก เพราะทุกตัวละครไม่ได้เพียงแค่สืบทอดอัตลักษณ์ที่ได้รับมาทางพันธุกรรม แต่ทุกคนยังพยายามฝึกฝนต่อยอดไปอีกเพื่อเพิ่มความสามารถ ค้นคว้าเพิ่ม ประยุกต์เทคโนโลยีมาใช้ และพยายามส่งต่อสิ่งที่พัฒนาขึ้นไปสู่คนรุ่นหลังต่อ ๆ ไป ราวกับเป็นภาพจำลองแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมมนุษย์เลยทีเดียว เช่นเดียวกับที่ All-for-One สืบทอดมาตลอดจนรุ่นที่ 9 นั่นเอง