16 ส.ค. 2564 | 18:23 น.
“เพราะแค่อัจฉริยะยังไม่พอ ต้องใช้ความกล้าหาญถึงเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้” (Genius is not enough. It takes courage to change people's hearts)เพื่อนของดอนบอกกับโทนี่ ดอนพูดได้ถึง 8 ภาษา และจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยาดนตรีและศิลปะในพิธีกรรม ความฉลาดของเขาคือสิ่งที่ทำให้คนขาวยอมรับในส่วนหนึ่ง แต่กว่าจะถึงจุดนั้น การเป็นนักเรียนผิวดำเพียงคนเดียวที่ได้เรียนเปียโนก็ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างสูงในการฝ่าฟันความกดดัน จากเหตุการณ์ตรงหน้า โทนี่จึงเข้าใจแล้วว่า ทำไมดอนถึงไม่ยอมเข้าห้องน้ำใต้ต้นสนนั่น “ไปจากที่นี่กันเถอะ” โทนี่บอกกับดอน และทั้งคู่ก็เดินออกจากโรงแรมไปโดยไม่ทำการแสดงใด ๆ ทั้งสิ้น ทำเอาเจ้าของโรงแรมหน้าเสีย เพราะมีแขกระดับสูงมากมายที่รอการแสดงของดอนอยู่ จากความโผงผางและก้าวร้าวของโทนี่ เขาค่อย ๆ ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคนที่เข้าใจโลกอีกใบของดอนมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะทำให้โลกของเขาทั้งสองเป็นโลกที่เท่าเทียมกัน มีหลายฉากหลายตอนที่ดอนระบายความรู้สึกของเขาออกมา มันคือความซับซ้อนที่แม้กระทั่งโทนี่เองยังอธิบายไม่ได้ ได้แต่เพียงสัมผัสมันผ่านความรู้สึก
“ผมอยู่ในปราสาทตัวคนเดียว คนขาวรวย ๆ จ้างผมเล่นเปียโนให้ฟัง เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกมีวัฒนธรรม แต่ทันทีที่ผมก้าวลงจากเวที ผมก็กลับไปเป็นไอ้มืดคนหนึ่งในสายตาพวกเขา เพราะนั่นคือวัฒนธรรมที่แท้จริงของพวกเขา และผมโดนเหยียดหยามตามลำพัง เพราะคนผิวสีก็ไม่ยอมรับผม เพราะผมไม่เหมือนพวกเขา ถ้าผมดำไม่พอ ขาวไม่พอ เป็นลูกผู้ชายไม่พอ งั้นบอกผมสิโทนี่ ว่าผมเป็นตัวอะไร”คนผิวดำที่มีการศึกษา เล่นเปียโนได้ ร่ำรวย และแต่งตัวดี คือสิ่งที่ไม่ถูกนับรวมอยู่ในความเป็นคนดำในยุคนั้น ชาวไร่ชาวสวนที่เป็นคนดำมองดอนที่มีคนขาวอย่างโทนี่ขับรถให้ด้วยความแปลกใจ คนผิวดำที่พักอยู่ในโมเต็ลเดียวกับดอนก็เหยียดเขา เพราะเขาแต่งตัวด้วยชุดสูทดูแพง ดอนไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร และที่ไหนคือที่ของเขา จนกระทั่งได้พบกับโทนี่ ความโดดเดี่ยวไม่มีขาว ไม่มีดำ ใครก็พบเจอกับมันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้มันหายไป คือการได้พบกับคนที่เข้าใจ และพร้อมจะเข้าใจความเป็นเรา มิตรภาพเพื่อความเท่าเทียม ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นราวกับต้องการให้ผู้ชมร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกับโทนี่ เราเห็นพัฒนาการทางความคิดที่โอบรับความต่างที่สังคมกำหนดเข้าหาตัว เขาจับเข่าคุยกับดอน เขาช่วยเหลือดอน และโอบกอดดอนในยามเปลี่ยวเหงา ซึ่งมันไม่ใช่แค่เพราะหน้าที่ แต่เป็นเพราะมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างที่เราได้รู้จักตัวตนและโลกของอีกฝ่ายต่างหาก “ผมถูกฝึกให้เล่นเพลงคลาสสิก บรามส์, ฟรันทซ์ ลิสท์, บีโธเฟน, โชแปง ผมอยากเล่นเพลงพวกนั้น" “แต่มีค่ายเพลงติดต่อมาให้เล่นเพลงสมัยนิยมเป็นอาชีพ พวกเขายืนยันว่า ผู้ชมไม่มีวันยอมรับนักเปียโนนิโกรในวงการเพลงคลาสสิก แค่อยากเปลี่ยนผมเป็นคนบันเทิงผิวสี” ดอนเล่าให้โทนี่ฟัง “ฝึกหรอ? คุณเป็นแมวน้ำหรือไง? คนเขารักเสียงเพลงของคุณ” โทนี่แย้ง “ใครก็เล่นเหมือนบีโธเฟน หรือโจแพน (โทนี่พูดไม่ชัด จริง ๆ คือโชแปง) หรือคนอื่น ๆ ที่คุณว่ามาได้ แต่เพลงของคุณ สิ่งที่คุณทำ มีแต่คุณที่ทำได้” แต่เดิมโทนี่ยังไม่เคยเห็นดอนเล่นเปียโน กระทั่งเห็นการแสดงครั้งแรก เขาก็อึ้งและทึ่งในความสามารถของดอนเป็นอย่างมาก โทนี่ไม่สนใจว่าคนที่เล่นจะเป็นคนขาวหรือคนดำ ขอแค่เป็น ‘ดอน’ โน้ตดนตรีธรรมดาก็ไพเราะขึ้นมาทันที นั่นจึงเป็นความสามารถที่โทนี่อยากจะส่งเสริม ซึ่งดอนก็ซาบซึ้งในมิตรภาพนี้เป็นอย่างมาก ตลอดการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่ดอนเท่านั้นที่ถูกทำความเข้าใจ เขาเองก็มองเห็นสิ่งดี ๆ ใน ‘ความเป็นโทนี่’ เช่นเดียวกัน ทั้งคำพูดที่หยาบคาย คำศัพท์ที่ถูกใช้ผิดความหมาย ความดิบเถื่อน ความซกมก และความเกเร ทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามกับดอนกลับแฝงไว้ซึ่งความจริงใจ ดอนเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เพราะโทนี่สอนเขาว่าบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องคิดเยอะก็ได้ เริ่มตั้งแต่การกิน ดอนไม่เคยกินไก่ด้วยมือ เพราะมันจะเลอะชุดของเขา ทั้งมันยังเป็นอาหารที่ดูไม่ถูกสุขลักษณะ แต่สุดท้ายเมื่อโทนี่บังคับให้เขาลอง ดอนก็ยอมรับว่ามันอร่อยเหาะ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องครอบครัว โทนี่อาศัยอยู่ในครอบครัวใหญ่ พวกเขามักจะพูดคุยกันอย่างครึกครื้น ขณะที่ดอนมีพี่ชายเพียงคนเดียว แต่กลับไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และไม่เคยคิดจะเขียนจดหมายหาพี่ชายก่อน
“เป็นผมคงไม่รอ โลกนี้เต็มไปด้วยคนเหงาที่ไม่กล้าแสดงท่าทีก่อน” (The world is full of lonely people afraid to make the first move)และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่โทนี่พูดให้ดอนคิดทบทวนว่า แทนที่จะรอพี่ชายเขียนมาหา หรือเขาควรจะเขียนจดหมายถึงพี่ชายบ้าง? จากคู่มือแห่งความไม่เท่าเทียม เพื่อให้คนผิวดำได้มีชีวิตอย่าง ‘ปลอดภัยเท่าเทียม’ กับคนขาว สู่การเรียนรู้ที่ชายทั้งสองแลกเปลี่ยนกัน ตลอดการเดินทางพวกเขาไม่ได้ข้ามเพียงพรมแดนรัฐ แต่ยังข้ามพรมแดนแห่งอคติและการเหยียดหยามไปด้วย ซึ่งนั่นคือผลลัพธ์ที่ถูกที่ควรของการฉีก Green Book ทิ้ง เพื่อที่สักวันโลกของเราจะเต็มไปด้วยความเท่าเทียม และอิสรภาพที่อนุญาตให้ทุกคนสามารถเลือกทำในสิ่งที่ชอบได้ตามใจ โดยไม่ต้องสนใจการแบ่งแยกที่เคยเกิดขึ้นตลอดมา เรื่อง: วโรดม เตชศรีสุธี อ้างอิง: ภาพยนตร์เรื่อง Green Book (2018) ออกฉายทาง Netflix https://www.usatoday.com/in-depth/travel/2021/02/19/black-history-month-inside-green-book-travel-guide/4357851001/ https://www.britannica.com/topic/The-Green-Book-travel-guide ที่มาภาพ: https://www.imdb.com/title/tt6966692/ https://en.wikipedia.org/wiki/Tony_Lip#/media/File:Tony_lip_actor.jpg Photo by John Springer Collection/CORBIS/Corbis via Getty Images