บทเพลง Hurricane ของบ๊อบ ดีแลน: แรงพิโรธต่อความอยุติธรรมจากการที่ชายผู้หนึ่งติดคุกฟรี 19 ปีเพียงเพราะเขา ‘ผิวดำ’

บทเพลง Hurricane ของบ๊อบ ดีแลน: แรงพิโรธต่อความอยุติธรรมจากการที่ชายผู้หนึ่งติดคุกฟรี 19 ปีเพียงเพราะเขา ‘ผิวดำ’

เรื่องราวเบื้องหลังบทเพลง Hurricane ของ บ๊อบ ดีแลน (Bob Dylan) เมื่อนักมวยผิวดำนามว่า ‘รูบิน คาร์เตอร์’ (Rubin Carter) ต้องติดคุกฟรี 19 ปี เพียงเพราะเขา ‘ผิวดำ’

 Here comes the story of the Hurricane The man the authorities came to blame For somethin’ that he never done Put in a prison cell, but one time he could-a been The champion of the world

  เขามีนามว่า ‘พายุเฮอร์ริเคน’ ในทศวรรษ 1960 ด้วยสไตล์การชกอันดุดันและว่องไวที่มาพร้อมกับฮุคซ้ายอันทรงพลัง จึงไม่แปลกที่ ‘รูบิน คาร์เตอร์’ (Rubin Carter) นักมวยดาวรุ่งผิวดำชาวอเมริกัน-แคนาดา จะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้โดยวิธีการน็อกเอาต์ถึง 13 ครั้ง จากการแข่ง 21 คู่ และประสบความสำเร็จอย่างสายฟ้าแลบ ชื่อเสียงของเขาดังกระหึ่มไปทั่ววงการมวยอเมริกันจนผู้ชมต่างขนานนามเขาว่า ‘พายุเฮอร์ริเคน’ เมื่ออายุครบ 11 ปี รูบินถูกนำตัวเข้าสู่สถานดัดนิสัยเยาวชน ด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายบุคคลที่พยายามจะล่วงละเมิดทางเพศเขา ไม่กี่ปีหลังจากนั้น รูบินก็ได้ลักลอบหนีออกจากสถานดัดนิสัยเพื่อไปสมัครเข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ และนั่นทำให้เขาได้ลองสวมนวมเพื่อชกเป็นครั้งแรก รูบินได้พิสูจน์ตัวเองอย่างชัดเจนว่าเขามีความสามารถด้านการชกมวย ขณะที่เขาประจำการอยู่ที่ประเทศเยอรมนี เขาสามารถน็อกคู่ต่อสู้ได้ถึง 35 รอบ จากชัยชนะ 51 ครั้ง และมีเพียง 5 ครั้งที่เขาแพ้ ต่อมาเขาจึงได้เป็นแชมป์ไลท์เวลเตอร์เวทของกองทัพสหรัฐฯ ในยุโรป ณ ขณะนั้น หลังจากปลดประจำการ รูบินถูกจับข้อหาหลบหนีจากสถานดัดสันดานและถูกตัดสินจำคุกนาน 10 เดือน ต่อมาในปี 1957 เขาก็ถูกจับอีกครั้งข้อหาจี้ชิงทรัพย์ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถนนแพตเทอร์สันและถูกตัดสินจำคุกกว่า 4 ปี แต่รูบินอ้างว่าเขาก่อเหตุครั้งนี้เนื่องจากการดื่มสุรา นอกจากเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำลายเสือและความน่าเกรงขามดั่งพายุ อีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ถูกใช้เพื่อโปรโมตรูบินคือ ‘อดีต’ อันขมขื่นของเขา ประวัติอาชญากรรมของรูบินถูกใช้มาโปรโมตเพื่อบอกว่าเรือนจำได้เปลี่ยนเขาให้เป็นนักสู้ผู้น่าเกรงขาม แม้จะเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงและป๊อปปูลาร์อย่างมากในละแวกแพตเทอร์สัน แต่รูบินก็ไม่ได้เป็นที่ชอบพอกับสื่อหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจนัก รูบินเคยเล่าไว้ในการสัมภาษณ์หนึ่งว่า การเป็นคนดำในยุคสมัยก่อนมันยากลำบาก เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะดื่มน้ำสาธารณะหรือเข้าร้านอาหารบางร้านด้วยซ้ำ การเป็นคนดำคือการโตมาแบบการถูกกดขี่และถูกเอาเปรียบ รูบินกล่าวว่าคนดำหลายคนก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกับสิ่งนี้ แต่ไม่ใช่กับเขา “เวลามีคนมาล้อเลียนหรือรังแกผม เสียงเดียวที่เขาเหล่านั้นจะได้ยินคือเสียงหมัดของผมเคลื่อนที่ไปหาพวกเขา” ต่อมาเมื่อเขามีชื่อเสียงจากการเป็นนักมวย สื่อบางสำนักก็เขียนข่าวโจมตีว่าเขาเป็นพวก ‘คนดำหัวรุนแรง’ (Black Militant) จากเหตุการณ์นี้ทำให้ตำรวจเริ่มมีอคติและมาตามราวีเขา ครั้งหนึ่งเขายังเคยถูกตำรวจจับขังคุกเพียงเพราะเขารถเสีย [caption id="attachment_36512" align="aligncenter" width="952"] บทเพลง Hurricane ของบ๊อบ ดีแลน: แรงพิโรธต่อความอยุติธรรมจากการที่ชายผู้หนึ่งติดคุกฟรี 19 ปีเพียงเพราะเขา ‘ผิวดำ’ Rubin "Hurricane" Carter boxing Gomeo Brennan in a match Carter will win by a unanimous decision.[/caption] ฆาตกรรมปริศนาในบาร์ที่นิวเจอร์ซีย์ ในช่วงเวลาดึกสงัดเกือบจะเช้ามืดของวันที่ 17 มิถุนายน ปี 1966 ภายในร้าน ‘Lafayette Bar and Grill’ ยังคงมีลูกค้าที่นั่งผ่อนคลายกับเครื่องดื่มของตนพร้อม ๆ กับ จิม โอลิเวอร์ บาร์เทนเดอร์ประจำร้านที่กำลังตรวจเช็กบิลประจำวันอยู่ ทันใดนั้นเองเสียงประตูเปิดก็ดังขึ้น ชายผิวดำสองคนเดินเข้ามาในบาร์พร้อมกับปืนลูกซองและปืนพกในมือคนละกระบอก จิมสัมผัสได้ถึงลางไม่ดี เขารีบคว้าแก้วเบียร์แล้วขว้างไปที่ชายสองคนนั้น ในขณะที่แก้วเบียร์กระทบกับกำแพงและแตกเป็นเสี่ยง ๆ จิมวิ่งหนีสุดชีวิตไปที่หลังร้าน แต่กระสุนลูกซองเบอร์ 12 ก็วิ่งทะลุกระดูกสันหลังและปลิดชีวิตเขาในทันที คนร้ายทั้งสองไม่รอช้า กระหน่ำยิงเหยื่ออีกคนจนกระสุนตัดขั้วสมองและเสียชีวิตคาที่ในขณะที่บุหรี่ที่เพิ่งจุดยังไหม้อยู่ในมือ เหยื่อรายที่สามถูกคนร้ายที่มีปืนพกยิงที่บริเวณหัว กระสุนลูกโดด .32 ทะลุหน้าผากและสร้างความเสียหายบริเวณดวงตาข้างขวา เหยื่อรายสุดท้ายเป็นผู้หญิง เธอถูกปืนลูกซองยิงที่บริเวณแขนขวาจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น ต่อมาเธอก็ถูกคนร้ายที่ถือปืนพกยิงระยะประชิดกว่า 5 นัด ในขณะเดียวกัน ‘แพทริเชีย วาเลนไทน์’ สาวเสิร์ฟที่อาศัยอยู่ที่ชั้นบนของร้านก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากชั้นล่าง เธอจึงมองลอดออกไปนอกหน้าต่างแล้วพบว่าคนร้ายทั้งสองคนได้หลบหนีไปที่รถสีขาวที่มีป้ายทะเบียนจากรัฐอื่น เธอจึงรีบวิ่งลงไปดูชั้นล่างว่าเกิดอะไรขึ้น “ผมไม่ได้ทำนะ ผมแค่จะมาปล้นแคชเชียร์เฉยๆ” กองศพของเหยื่อเรียงรายกันต่อหน้าแพตตี้ ในขณะนั้นเองก็มีชายปริศนาคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในที่เกิดเหตุ ชายผู้นั้นคือ ‘อัลเฟรด เบลโล’ (Alfred Bello) หัวขโมยผู้ซึ่งกำลังจะลักลอบขโมยของในโกดังแห่งหนึ่งกับเพื่อนของเขา ‘อาร์เธอร์ แบรดลีย์’ (Arthur Bradley) เขาแค่จะมาซื้อบุหรี่แถว ๆ บาร์ แต่พอเห็นทางสะดวกจึงพยายามจะฉวยโอกาสขโมยเงินจากแคชเชียร์เฉย ๆ ทั้งสองคนจึงตกลงว่าควรโทรฯ แจ้งตำรวจในทันที เมื่อตำรวจมาถึง อัลเฟรด เบลโล ก็สารภาพในทันทีว่าเขากับเพื่อน อาร์เธอร์ แบรดลีย์ วางแผนจะมาขโมยของ แต่ระหว่างนั้นเขาเห็นชายผิวดำสองคนพร้อมอาวุธวิ่งหนีออกจากบาร์ขึ้นรถสีขาวไป ส่วนคำให้การของแพตตี้ก็ไปในทางเดียวกับเบลโล นั่นก็คือ ‘ชายผิวดำสองคนวิ่งหนีขึ้นรถสีขาว’ “เฮ้ย! คนนี้ยังไม่ตายนี่หว่า” ระหว่างที่ตำรวจกำลังสอบสวนพยานทั้งสองและสำรวจสถานที่เกิดเหตุ ร่างที่นอนจมกองเลือดก็ขยับตัว ปรากฏว่าเหยื่อรายที่ถูกยิงเข้าบริเวณหัวและรายที่เป็นผู้หญิงที่ถูกยิงในระยะประชิดยังมีชีวิตรอด พวกเขาทั้งสองจึงถูกนำตัวส่งเข้าโรงพยาบาลในทันที ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึก รูบิน คาร์เตอร์ และเพื่อนของเขา ‘จอห์น อาร์ติส’ ก็กำลังขับรถเก๋งสีขาวตระเวนเที่ยวบาร์อยู่รอบเมือง ในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง เขาก็เห็นไฟสีแดง-น้ำเงินพร้อมเสียงไซเรนมาจากข้างหลัง ตำรวจแจ้งกับรูบินว่ารถของเขาเป็นรถเก๋งสีขาวที่มีความคล้ายคลึงกับคำให้การของพยานทั้งสองอย่างมาก เขาจึงขอตรวจค้น แม้จะไม่เจออาวุธปืนที่ตรงกับกระสุนที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ แต่รูบินและจอห์นก็ถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปพบกับเหยื่อที่รอดชีวิต หลังจากที่รูบินถูกนำตัวไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อการชี้ตัว เหยื่อรายที่สามใช้ดวงตาเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ของเขามองไปที่รูบิน จากนั้นเขาก็ยืนยันกับตำรวจว่า รูบินและจอห์นไม่ใช่ผู้ก่อเหตุ แต่ตำรวจก็ยังถามซ้ำกับผู้บาดเจ็บอีกว่า “คุณแน่ใจเหรอว่าไม่ใช่?” ต่อมารูบินและจอห์นถูกนำตัวไปสอบสวนกว่า 17 ชั่วโมงพร้อมกับเข้าเครื่องจับเท็จ ทั้งคู่สามารถผ่านเครื่องจับเท็จได้อย่างไม่มีพิรุธ หลังจากที่ไม่มีอะไรน่าสงสัย ตำรวจจึงปล่อยรูบินและจอห์นกลับบ้าน   คำให้การของหัวขโมย การไต่สวนเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนถัดจากวันเกิดเหตุ ทางตำรวจยังไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้ มีเพียงชายผิวดำสองคนที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคืนนั้น พวกเขายังคงยึดปากคำของ อัลเฟรด เบลโล และ อาร์เธอร์ แบรดลีย์ เป็นหลักฐานหลักที่ชี้ตัวไปหารูบินและเพื่อนในคืนนั้น เบลโลยืนยันว่าเขาเห็นจอห์นเป็นหนึ่งในผู้ก่อเหตุในคืนนั้น ส่วนแบรดลีย์ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงมายืนยันว่าอีกคนที่เขาเห็นก็คือรูบิน นอกจากปากคำของหัวขโมยทั้งสองและสีผิวของผู้ต้องสงสัยแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดเลยที่จะสามารถโยงไปได้ว่า รูบิน คาร์เตอร์ และ จอห์น อาร์ติส คือผู้ก่อเหตุฆาตกรรมและทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมในคืนวันนั้น “แม้ว่ารูปพรรณสัณฐานของผมไม่ได้ตรงกับลักษณะของคนร้าย แม้ว่าผมจะผ่านเครื่องจับเท็จ ผมก็ถูกเขาตัดสินว่าผมผิดอยู่ดี” รูบิน คาร์เตอร์ถูกศาลตัดสินจำคุก 30 ปี ส่วนจอห์น อาร์ติสถูกตัดสินจำคุก 15 ปี โดยที่ศาลฎีกาปฏิเสธการยื่นอุทธรณ์ของเขาทั้งสอง เหตุการณ์นี้พรากอิสรภาพและชีวิตของนักมวยผิวดำคนหนึ่งไปด้วยหลักฐานอันน้อยนิด   / Now all the criminals in their coats and their ties Are free to drink martinis and watch the sun rise While Rubin sits like Buddha in a ten-foot cell An innocent man in a living hell /   หลายปีต่อมาความจริงก็ปรากฏว่าหัวขโมยทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกดดันให้ชี้ตัวผู้กระทำผิดว่าเป็นรูบินและจอห์นเพื่อแลกกับความเมตตาของตำรวจในการผ่อนปรนโทษในคดีของพวกเขาทั้งสอง เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนความอยุติธรรมและอคติในกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจน ณ ขณะนั้น   จากทัณฑสถานถึง บ๊อบ ดีแลน  “การที่คณะลูกขุนถูกป้อนแต่ข้อมูลเท็จและคำโกหกแล้วมาตัดสินว่าผมผิด นั่นไม่ได้แปลว่าผมเป็นคนผิด และเมื่อผมไปอยู่ในเรือนจำ ผมก็ขอปฏิเสธการทำตัวเหมือนผมเป็นนักโทษ เพราะผมไม่ใช่” ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในเรือนจำ รูบินปฏิเสธทุกสิ่งรอบตัวเขา เขาปฏิเสธที่จะใส่ชุดนักโทษ ปฏิเสธที่จะกินอาหารจากทางเรือนจำ ปฏิเสธที่จะทำงาน เมินเฉยต่อกฎระเบียบและผู้คุม รูบินยังเคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์หนึ่งว่า ถ้าเขาเลือกได้ เขาไม่อยากจะสูดอากาศภายในเรือนจำด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อจะปฏิเสธว่าเขาคือนักโทษในคดีฆาตกรรมและยืนยันอย่างไม่ลดละความพยายามว่าเขาคือ ‘ผู้บริสุทธิ์’ ด้วยพฤติกรรมนี้เองที่ทำให้รูบินถูกเรือนจำสั่งขังเดี่ยวในห้องมืดลึกลงไป 6 ฟุต ไร้ซึ่งสุขภัณฑ์ ไร้ซึ่งเครื่องอำนวยความสะดวกและน้ำประปา มีเพียงขนมปังแผ่นเก่า ๆ และน้ำอุ่นเพื่อประทังชีวิตในแต่ละวัน บุคคลรอบตัวเขารวมถึงครอบครัวล้วนบอกให้เขาหยุดต่อต้านและทำตามกฎของทางเรือนจำสักที บุคคลภายนอกจะได้มีสิทธิ์ในการเข้าเยี่ยมเขาเหมือนนักโทษคนอื่น แต่รูบินก็ปฏิเสธและยืนยันที่จะใส่ชุดที่ขาดรุ่ยของตนเองนั่งอยู่ในห้องขังเดี่ยวโดยไม่คุยกับใครแม้แต่ผู้คุม แม้เสียงระฆังยกที่ 15 หรือยกสุดท้ายในการแข่งขันบนสังเวียนมวยจะจบลง แต่เสียงระฆังยกต่อไปบนสังเวียนระบบความยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเริ่มขึ้น ในปี 1974 เป็นเวลา 8 ปีนับตั้งแต่ถูกศาลตัดสินจำคุกในคดีที่เขาเองไม่ได้ก่อ รูบิน คาร์เตอร์ ได้เขียนอัตชีวประวัติของตนเองในชื่อ ‘The Sixteenth Round: From Number 1 Contender to Number 45472’ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ ‘ยกที่สิบหก’ ของเขา และเรียกร้องความยุติธรรมของตนเองจากเรือนจำ นอกจากจะเล่าเรื่องราวชีวิตที่เริ่มต้นที่สังเวียนจนมาลงเอยในห้องขังเดี่ยวแล้ว อัตชีวประวัติเล่มนี้ก็เปรียบเสมือนจดหมายใส่ขวดที่ลอยน้ำไปขอความช่วยเหลือจากสาธารณชน หนึ่งปีถัดมา อัตชีวประวัติเล่มนี้ก็ถึงมือของ ‘บ๊อบ ดีแลน’ เจ้าของบทเพลงต่อต้านสงครามที่โด่งดังอย่าง ‘Blowin’ in the Wind’ แม้จะเคยเขียนเพลงเกี่ยวกับนักมวย แต่บ๊อบไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้ยินเรื่องราวเจ้าของฉายา ‘พายุเฮอร์ริเคน’ มาก่อน จนกระทั่งในปี 1975 ระหว่างที่เขาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เขาก็มีโอกาสได้อ่านอัตชีวประวัติเรื่องราวชีวิตของนักมวยดวงซวยผู้นี้ หลังจากที่กลับมา บ๊อบก็มุ่งตรงไปที่เรือนจำรอห์เวย์สเตท (Rahway State Prison) ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เพื่อไปค้นหาคำตอบของเรื่องราวนี้ “ดีแลนต่างจากคนอื่น ๆ ที่มาหาผม เขาไม่ได้มาเพื่อถามว่าผมทำจริงหรือเปล่า? ผมผิดจริงไหม? เขามาเพื่อหาคำตอบว่าผมเป็นใคร? แท้จริงแล้วผมเป็นคนคนเดียวกับที่เขาเห็นผมหรือเปล่า?” ทั้งบ๊อบและรูบินรู้สึกถูกชะตากันและกันอย่างมาก บ๊อบรู้สึกว่ารูบินมีปรัชญาชีวิตที่ใกล้เคียงกับตัวเขาเอง ต่างคนต่างเข้าใจกันและกัน ซึ่งเขาไม่ค่อยเจอคนแบบนี้บ่อยนัก ส่วนรูบินเองก็รู้สึกว่าตัวเขาเองและบ๊อบก็มีจุดน่าสนใจที่เชื่อมโยงกันอยู่ “เราทั้งคู่ต่างเป็นนักแสดงที่ชอบทำให้คนดูพอใจ ต่างกันเพียงแค่ผมมีฮุคซ้าย ส่วนบ๊อบมีมิตรรักนักดนตรีของเขา” (สมัยที่ บ๊อบ ดีแลน ทัวร์ The Rolling Thunder Revue กับศิลปินคนอื่น ๆ อีกมากมาย) รูบินกล่าว [caption id="attachment_36513" align="aligncenter" width="971"] บทเพลง Hurricane ของบ๊อบ ดีแลน: แรงพิโรธต่อความอยุติธรรมจากการที่ชายผู้หนึ่งติดคุกฟรี 19 ปีเพียงเพราะเขา ‘ผิวดำ’ March 23, 1975: Bob Dylan plays at the SNACK concert, a Kezar Stadium benefit organized by Bill Graham to save high school sports. The one-time benefit included performances by Jerry Garcia and Carlos Santana and appearances by Marlon Brando and Willie Mays. (Photo by Vince Maggiora/San Francisco Chronicle via Getty Images)[/caption] เพลงนี้เพื่อความยุติธรรม  “มันเกิดความอยุติธรรมขึ้นน่ะ และมันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน” หลังจากที่ได้พบกับเฮอร์ริเคน และด้วยปณิธานที่อยากจะช่วยเขาให้พ้นจากความอยุติธรรมครั้งนี้ บ๊อบก็มีอะไรมากมายที่อยากจะเขียนจนเขาไม่รู้ว่าจะบรรยายมันออกมาเป็นเนื้อเพลงอย่างไร ดังนั้นเขาจึงได้พบกับ ‘จาค เลวี’ (Jacques Levy) ผู้กำกับละครเวทีที่จะมาช่วยร้อยเรียง ‘Hurricane’ ออกมาเป็นบทเพลงที่ทรงพลัง “ถ้าพวกคุณมีเส้นสายทางการเมือง ไม่แน่คุณอาจช่วยเอาเขาออกจากคุกเพื่อมาใช้ชีวิตแบบปกติก็ได้นะ” ในปลายปี 1975 หลังจากที่บ๊อบ ดีแลนได้อัดเพลงนี้เสร็จเรียบร้อย เขาและผองเพื่อนนักดนตรีก็กำลังตระเวนทัวร์ ‘The Rolling Thunder Revue’ อยู่ทั่วอเมริกาเหนือ เขาจึงถือโอกาสนี้ปล่อยเพลง Hurricane เป็นซิงเกิลในเดือนพฤศจิกายน และใช้การทัวร์นี้เป็นช่องทางในการโปรโมตและประชาสัมพันธ์แคมเปญสนับสนุนอิสรภาพและความยุติธรรมให้รูบิน คาร์เตอร์ วันที่ 8 ธันวาคม บ๊อบและผองเพื่อนนักดนตรีได้มีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตส่งท้ายทัวร์ The Rolling Thunder Revue ปี 1975 ที่สวนสาธารณะเมดิสันสแควร์ นครนิวยอร์ก โดยมีคนดังมาร่วมเวทีมากมาย รวมถึง ‘มูฮัมหมัด อาลี’ แชมป์โลกนักมวยเฮฟวี่เวท ณ ขณะนั้นด้วย คอนเสิร์ตครั้งนั้นสามารถรวบรวมเงินบริจาคมามากกว่า $100,000 เพื่อเป็นทุนให้รูบิน คาร์เตอร์ในการสู้คดีต่อไป   (ติดตามเรื่องราวชะตาชีวิตของรูบิน คาร์เตอร์กับการต่อสู้ยกที่ 16 ต่อได้ในบทความ "เลสรา มาร์ติน: จากเด็กสลัมไม่รู้หนังสือสู่แสงสว่างผู้ปลดปล่อยรูบิน คาร์เตอร์ จากการจองจำกว่า 19 ปี" https://thepeople.co/lesra-martin-rubin-hurricane-carter/)   เขียนเพลงแบบบทละครเวที เลวีเคยให้สัมภาษณ์ว่า “บ๊อบเขาน่าจะชอบที่ผมสามารถช่วยให้เพลงเขาเล่าเรื่องได้ดีขึ้น เพราะแม้เขามีอะไรในหัวดี ๆ ที่อยากเล่าอยู่มากมาย แต่เขาไม่สามารถนำมาร้อยเรียงเป็นเรื่องที่สวยงามได้” นั่นทำให้บทเพลงนี้มีความคล้องจองกันสูงกว่าเพลงบัลลาดอื่นของดีแลนที่เน้นไปที่มีความเป็นนามธรรมและโครงสร้างที่ซับซ้อน จะสังเกตได้ว่าท่อนแรกของเพลงเปรียบเสมือนสคริปต์ละครเวทีหรือให้อารมณ์เหมือนนิยายสืบสวน-ฆาตกรรม   “เสียงปืนดังสนั่นขึ้นในบาร์แห่งหนึ่ง ทันใดนั้น แพตตี้ วาเลนไทน์ ก็ลงมาจากชั้นบน เธอเห็นบาร์เทนเดอร์นอนจมกองเลือด เธอจึงร้องตะโกนออกมาว่า ‘โอ้พระเจ้า เขาฆ่าทุกคนเลย!’”   นั่นเป็นเพราะเลวีได้ร้อยเรียงเนื้อหาของบ๊อบออกมาเป็นเนื้อเพลงในเชิงบรรยายพร้อมกับการใช้ภาษาที่คล้องจองกัน ผสมผสานกับการที่เขามีเบื้องหลังเป็นผู้กำกับละครเวทีอยู่แล้ว การจะกลั่นเรื่องราวที่มีอยู่มากมายออกมาให้เห็นภาพชัดเจนและลื่นไหลไปกับคำที่คล้องจองกันก็ไม่ยากเกินเอื้อม การร้อยเรียงเนื้อเพลงโดยใช้โหมดการเล่าเรื่องแบบ จาค เลวี ถือว่าได้ผลเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อผสมผสานกับเนื้อหาที่ทรงพลังจาก บ๊อบ ดีแลน มันเปรียบเสมือนกับการที่เราได้อ่านนวนิยายที่เพียงหลับตาแล้วฟังก็เห็นภาพ มันทำให้ผู้ฟังสามารถจินตนาการเหตุการณ์ที่บาร์ในนิวเจอร์ซีย์กับเสียงปืนนัดนั้นได้อย่างแจ่มชัด มันทำให้ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับชายผิวดำถูกตีแผ่มาอย่างทรงพลัง และมันทำให้คราบเขม่าดินปืนของความอยุติธรรมจากบาร์ในคืนนั้นถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เลือนหาย   เรื่อง: รัฐฐกรณ์ ศิริฤกษ์ ที่มา: https://www.liveabout.com/the-story-behind-bob-dylans-hurricane-1321615 https://ig.ft.com/life-of-a-song/hurricane.html https://www.chicagoreviewpress.com/sixteenth-round--the-products-9781569765678.php https://faroutmagazine.co.uk/the-story-behind-bob-dylan-song-hurricane/ https://www.nytimes.com/2014/04/21/sports/rubin-hurricane-carter-fearsome-boxer-dies-at-76.html https://www.northjersey.com/story/news/columnists/mike-kelly/2019/06/17/rubin-carter-john-artis-what-really-happened-night/1419996001/ https://www.law.umich.edu/special/exoneration/Pages/casedetailpre1989.aspx?caseid=408 https://www.youtube.com/watch?v=_MlxZT4hVD4 https://www.youtube.com/watch?v=5XEIFqOgURM Heylin, Clinton (2003). Bob Dylan: Behind the Shades Revisited. It Books. p. 398. Rolling Thunder Revue: A Bob Dylan Story by Martin Scorsese (2019)