บาคุโก คัตสึกิ: ฮีโร่ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองด้วยคำว่า ‘ขอโทษ’
“ฉันจะทำข้อสอบจำลองให้ได้คะแนนสูงสุด ฉันเป็นคนเดียวของที่นี่ที่มีคุณสมบัติเข้าโรงเรียนยูเอ ฉันจะเหนือกว่าออลไมต์ด้วยซ้ำ แล้วจะกลายเป็นฮีโร่ชั้นนำที่ค่าตัวสูงที่สุด”
ประโยคข้างต้นคือคำพูดของ ‘บาคุโก คัตสึกิ’ เด็กหนุ่มท่าทางนักเลงผู้มีอัตลักษณ์แข็งแกร่งอย่าง ‘ระเบิด’ ที่เปิดฉากด้วยการโชว์พาวถึงความมั่นใจด้วยการพูดว่าจะเอาชนะสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ - ฮีโร่อันดับหนึ่ง ‘ออลไมต์’ ตั้งแต่ตอนแรก ๆ ของแอนิเมชัน ‘My Hero Academia’
ขณะที่ผู้อ่านมังงะและผู้รับชมแอนิเมชันเรื่องนี้หลายคนพูดไปในทางเดียวกันว่า การเปิดตัวของบาคุโก คัตสึกิ คือนิยามของคำว่า hate at first sight ได้ดียิ่งกว่าวายร้ายหรือวิลเลินหลาย ๆ คนในเรื่องเสียอีก เพราะนอกจากความมั่นใจทะลุปรอทที่บาคุโกมีแล้ว เด็กหนุ่มจอมระเบิดคนนี้ยังพ่วงมาด้วยนิสัยหัวโจกนักเลงที่ชอบแกล้งคนอ่อนแอกว่าเป็นกิจวัตร โดยหนึ่งในคนที่โดนแกล้งหนักและแรงที่สุดมาตั้งแต่เด็กจนโตก็คือพระเอกของเรื่องอย่าง ‘มิโดริยะ อิซึคุ’ ที่เปิดตัวด้วยการเป็นเด็กไร้อัตลักษณ์นั่นเอง
แม้จะมีพฤติกรรมสุดทนที่พาให้ทั้งคนดูและตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องพากันพูดว่า ‘นี่นายอยากเป็นฮีโร่แน่เหรอฟะ’ อยู่บ่อย ๆ แต่นั่นแหละคือจุดเด่นของคาแรคเตอร์นี้ที่ผู้เขียนอย่างอาจารย์โฮริโคชิ โคเฮย์ ตั้งใจจะค่อย ๆ ชี้ให้ผู้อ่านเห็นถึง ‘พัฒนาการ’ ของเด็กหนุ่มหัวหนามจอมห่าม ว่าแก่นแท้ของจิตใจเขาก็มีความเป็น ‘ฮีโร่’ ไม่น้อยกว่าใคร
***บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาแอนิเมชัน My Hero Academia และเปิดเผยเนื้อหามังงะ My Hero Academia โดยเฉพาะตอนที่ 322
เปิดตัวแบบวายร้าย
บาคุโกกับมิโดริยะมีความฝันเดียวกัน นั่นคือพวกเขาอยากเป็น ‘ฮีโร่’ แต่ข้อแตกต่างระหว่างทั้งสองมากมายเหลือเกิน - นับจากวัยเด็กที่บาคุโกมีความมั่นใจเกินร้อย และวางตัวเป็นหัวหน้าก๊วนเด็กเกเร ในขณะที่มิโดริยะซึ่งอยู่บ้านใกล้ ๆ เป็นลูกกระจ๊อกขี้แยที่มักจะเดินตามหลังบาคุโก คัตสึกิ หรือ ‘คัตจัง’ ต้อย ๆ เสมอ
ก่อน 4 ขวบอัตลักษณ์ของบาคุโกก็เริ่มปรากฏ เด็กน้อยปล่อย ‘ระเบิด’ ลูกเล็ก ๆ จากฝ่ามือพร้อมด้วยเสียงชื่นชมจากเพื่อนทั้งห้อง แม้แต่คุณครูก็ยังบอกว่าด้วยอัตลักษณ์แบบนี้ เด็กชายต้องกลายเป็นฮีโร่ที่ดีได้แน่ ๆ
บาคุโกมีความฝันและมีอัตลักษณ์ที่เจ๋งพอจะทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้ ขณะที่มิโดริยะถูกวินิจฉัยว่า ‘ไร้อัตลักษณ์’ ซึ่งทำให้ทุกคนบนโลกตัดสินว่าเขาควรพับเก็บความฝันที่จะเป็นฮีโร่ไปซะ และอยู่กับความเป็นจริง
แต่มิโดริยะไม่คิดเช่นนั้น เด็กชายยังใฝ่ฝันต่อ แม้จะรู้ว่าปลายทางนั้นช่างริบหรี่ - การพยายามทำตัวเป็นฮีโร่ของตัวห่วยรั้งท้ายในกลุ่มนั้นกวนใจบาคุโกอยู่ไม่น้อย และเด็กชายเลือกที่จะแสดงออกด้วยการกลั่นแกล้ง
“คนอย่างนายจะไปทำอะไรได้ ไอ้คนไร้อัตลักษณ์”
ใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกาย พูดจาทำร้ายจิตใจ ในวัยที่โตขึ้นจนอยู่มัธยมต้นปีสุดท้าย บาคุโกเผาสมุด ‘บทวิเคราะห์ฮีโร่สำหรับอนาคต’ ของมิโดริยะ โยนมันออกนอกหน้าต่างชั้นเรียน และพูดกับเขาว่า
“ถ้านายอยากเป็นฮีโร่นักละก็ มันพอจะมีวิธีอยู่นะ คือเชื่อมั่นว่าตัวเองจะมีอัตลักษณ์ในชาติหน้า แล้วกระโดดจากหลังคาโรงเรียนไปตายซะ”
และนั่นคือการเปิดตัวของฮีโร่ที่เหมือนวายร้ายที่สุดใน My Hero Academia
ถูกช่วยชีวิตโดยก้อนกรวด
เพราะลำพองใจว่าตัวเอกมีอัตลักษณ์สุดแกร่ง ส่วนเพื่อนสมัยเด็กอย่างมิโดริยะ เป็นไอ้ไร้อัตลักษณ์ ‘เดกุ’ (แปลว่าไร้ประโยชน์) มาทั้งชีวิต บาคุโกจึงทั้งสับสนและหงุดหงิดตอนที่เขาถูกวิลเลินของเหลวเข้าจับตัว ขณะที่ฮีโร่ทั้งเหลือกำลังจนปัญญาเพราะอัตลักษณ์ของพวกเขาไม่สามารถต่อกรกับวิลเลินตรงหน้าได้ - เดกุกลายเป็นคนเดียวที่วิ่งเข้าหาและพยายามช่วยเขาอย่างสุดชีวิตแม้ตัวเองจะไร้พลัง
“นายไม่ได้ช่วยฉัน และฉันก็ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณนาย”
บาคุโกประกาศกับเดกุอย่างหัวเสีย แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มเลิกแกล้งเพื่อนสมัยเด็กขี้แยของตัวเองและตีตัวห่างออกไป ความไม่พอใจของบาคุโกยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเมื่อได้รู้ว่าอัตลักษณ์ของอีกฝ่ายดันปรากฏขึ้นมา และพาให้เด็กหนุ่มสอบเข้า ‘ยูเอ’ - โรงเรียนหลักสูตรฮีโร่ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นได้เช่นเดียวกันกับเขา และในการฝึกฝนระคนแข่งขันบางครั้ง เดกุยังสามารถ ‘ชนะ’ เขาได้อีกด้วย
“เมื่อก่อนยังเอาแต่เดินตามฉันต้อย ๆ แท้ ๆ นายก็เป็นแค่ก้อนกรวดที่อยู่ข้างถนน ฉันเหนือกว่านาย!”
แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ตอนนั้นบาคุโกก็คงชักไม่มั่นใจแล้วว่าใครเหนือกว่าใครกันแน่
โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เดกุเปลี่ยนจากเด็กขี้แยที่เคยเดินตามหลังเขาเสมอ เปลี่ยนจากก้อนกรวดก้อนดินที่เขาเคยแสดงออกว่าไม่มีค่า มาเป็นคู่แข่งคนสำคัญที่บาคุโกต้องเอาชนะเพื่อเป็น ‘ที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ’ ให้ได้
กระหายชัยชนะอย่างฮีโร่
อย่างที่ได้เกริ่นไปว่าบาคุโกเป็นฮีโร่ที่ดูเผิน ๆ คล้ายวิลเลิน - โผงผาง ใจร้อนจนดูเหมือนสู้โดยไม่คิด พร้อมที่จะปล่อยระเบิดและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิง จนถึงกับถูกเหล่าฮีโร่มืออาชีพโห่เอาระหว่างการต่อสู้ในงานกีฬาของเขากับ ‘อุรารากะ’ เด็กสาวร่วมห้องที่มีอัตลักษณ์ลอยตัวได้
แต่ถ้ามองในอีกแง่ การต่อสู้โดยไม่อ่อนข้อให้อีกฝ่ายเพราะเรื่องเพศสภาพนั้นกลับเป็นการให้เกียรติคู่ต่อสู้เสียด้วยซ้ำ - เพราะบาคุโกต้องการ ‘ชัยชนะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้’ ทำให้เขาเต็มที่กับทุกสนามโดยคาดหวังให้อีกฝ่ายเต็มที่กับมันเช่นกัน บาคุโกยินดีกับชัยชนะที่เขาได้รับจากอุรารากะในครั้งนั้น และยอมรับว่าเธอเองก็แข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ขณะที่แทบจะปฏิเสธเหรียญทองที่แปลว่าเขาเป็น ‘อันดับหนึ่ง’ จากงานกีฬาเดียวกัน เพราะคู่ต่อสู้ของเขาในนัดสุดท้ายอย่าง ‘โทโดโรกิ’ ไม่ยอมใช้เปลวไฟในการต่อสู้
อาจจะพูดได้ว่าแม้บาคุโกจะมีนิสัยชอบเอาชนะ แต่ทุกชัยชนะที่เขากระหาย จะต้องเป็นชัยชนะในแบบ ‘ฮีโร่’ เท่านั้น ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ ‘สมาพันธ์วิลเลิน’ จับตัวเขาไปและหวังให้เขาเข้าด้านมืดด้วยการบอกว่าในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น วิลเลินจะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
ทั้งสื่อมวลชนและผู้คนต่างคลางแคลงใจในตัวเขา และเกรงว่าเขาจะไปเข้าร่วมกับเหล่าวิลเลิน มีเพียงเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ของบาคุโกเท่านั้นที่รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางทำแบบนั้น
“ฉันมุ่งมั่นที่จะชนะแบบออลไมต์ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจฉันได้”
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผ่านทั้งการฝึกฝนในรั้วโรงเรียนยูเอและการต่อกรกับวิลเลิน character development ของบาคุโก คัตสึกิ ก็มีให้ผู้อ่านและผู้ชมได้เห็นเรื่อย ๆ มาโดยตลอด แต่สิ่งที่ยังติดค้างในใจใครหลาย ๆ คนก็คือเรื่องราวที่เขาเคยทำไว้กับเดกุ
เรื่องวุ่น ๆ จากฝีมือวิลเลินนั้นร้ายแรงและเกินควบคุมขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งความลับว่าเดกุเป็นผู้สืบทอดอัตลักษณ์ ‘วันฟอร์ออล’ ได้ถูกเปิดเผย ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจหนีออกจากโรงเรียนยูเอ และกลายเป็นฮีโร่ใต้ดินไร้สังกัด เพื่อไม่ให้เพื่อน ๆ และครู รวมทั้งผู้คนมากมายที่อพยพหนีวิลเลินไปพึ่งการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาในยูเอต้องซวยไปด้วย
เดกุเลือกที่จะฉายเดี่ยว ทิ้งทุกความฝันที่เขาเคยมี ไม่ว่าจะเป็นการเรียนที่โรงเรียนเดียวกับออลไมต์ หรือการช่วยเหลือผู้คนด้วยรอยยิ้ม เพราะตอนนี้บนใบหน้าของเขาว่างเปล่า ไม่มีรอยยิ้มเหลืออีกต่อไป - เดกุสะบักสะบอม มองเผิน ๆ สภาพไม่ต่างจากวิลเลิน และบาคุโกร่วมกับเพื่อน ๆ ห้องเอ มีแผนที่จะพาเดกุคนเดิมกลับมา
ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยคำขอโทษ
“ฉันมองแกต่ำต้อยกว่าเพราะแกมันไร้อัตลักษณ์”
หลังความอลหม่านของการวิ่งไล่จับที่เดกุคอยวิ่งหนี ส่วนเพื่อน ๆ ห้องเอวิ่งไล่ให้อีกฝ่ายจนมุม บาคุโกได้โอกาสพูดสิ่งที่ติดค้างในใจของเขากับเพื่อนสมัยเด็กที่ตอนนี้มีสภาพอิดโรยจนยืนแทบไม่ไหว
บาคุโกที่เคยเป็นคนเจ้าทิฐิ กลับสารภาพทุกอย่างต่อหน้าเดกุและเพื่อนทุกคน และบอกว่าที่เขาเอาแต่กลั่นแกล้งเดกุมาโดยตลอดเป็นเพราะเขาไม่อยากยอมรับความรู้สึกที่คิดอยู่เสมอมาตั้งแต่เดกุยังอ่อนแอและไร้อัตลักษณ์ ความใจดีและช่วยเหลือผู้คนแม้ไม่มีกำลังพอจะช่วยได้ของอีกฝ่ายทำให้บาคุโกรู้สึกว่า ‘เหมือนแกกำลังนำหน้าฉัน’
เพราะกลัวว่าจะถูกแซงหน้าก็เลยแกล้ง เพราะกลัวว่าจะแพ้ก็เลยไล่ แต่สุดท้ายบาคุโกก็พูดคำที่อยากพูดที่สุดออกไป
“ถึงพูดไปแล้วมันจะไม่ได้ช่วยอะไรก็เถอะ แต่นี่คือใจจริง อิซึคุ ที่ผ่าน ๆ มาฉันขอโทษ”
หัวที่เคยตั้งตรงบนบ่าอย่างทะนงตัวตลอดมาของบาคุโกค้อมลง พร้อมกับแววตาที่เคยว่างเปล่าของเดกุ หรือ ‘อิซึคุ’ ที่ตอนนี้ฟื้นกลับคืนมา
จะช่วยไม่ให้เหลือแล้วค่อยชนะ
สำหรับผู้เขียน มังงะตอนที่ 322 นั้นอิ่มในใจตั้งแต่ฉากดังกล่าวแล้ว แต่อาจารย์โฮริโคชิ โคเฮย์ ก็ทำให้มันเต็มตื้นขึ้นได้อีกด้วยการย้อนทวนถึงแนวคิดที่ต่างกันคนละขั้วของบาคุโกและเดกุ
จุดร่วมของทั้งคู่คือออลไมต์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เด็กทั้งสองอยากเป็นฮีโร่ แต่แนวคิดของพวกเขากลับต่างกันออกไป - บาคุโกอยาก ‘ชนะ’ ทุกคู่ต่อสู้อย่างออลไมต์ ส่วนเดกุอยาก ‘ช่วย’ ทุกคนได้อย่างเขา และในมังงะตอนดังกล่าว บาคุโกเปลี่ยนความคิด
แม้อุดมคติ ‘เอาชนะแล้วค่อยช่วยเหลือ’ อย่างที่บาคุโกเคยคิดจะไม่ใช่เรื่องผิด แต่คราวนี้เด็กหนุ่มได้ยอมรับกับเดกุว่าอุดมคติ ‘ช่วยเหลือแล้วค่อยเอาชนะ’ นั้นถูกต้องมากกว่า
“ไม่ว่าจะแก จะผู้อพยพที่ยูเอ หรือจะคนในเมือง ก็จะช่วยให้หมดไม่มีเหลือแล้วค่อยเอาชนะ”
ตอนนั้นเองที่เราได้เห็นว่าบาคุโกได้เข้าถึงหัวใจหลักของการเป็นฮีโร่ ที่ฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนรวมทั้งออลไมต์และเดกุเคยผ่าน นับเป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นถูกจังหวะพอดี และกลายเป็นคำเตือนสติที่เปลี่ยนใจพระเอกของเรื่องอย่างเดกุได้สำเร็จ
ในมุมของผู้เขียนบทความ มองว่า character development ทั้งร้ายและดีของบาคุโกนั้นเกิดขึ้นได้เพราะมิโดริยะ อิซึคุ หรือเดกุนั่นเอง - สิ่งที่บาคุโกทำกับเดกุในช่วงแรก ๆ นั้นอาจเป็นไปตามกลไกการปกป้องตนเอง หรือ self defense ที่เป็นผลให้เขาแสดงออกกับอดีตเพื่อนอย่างเลวร้าย แต่ขณะเดียวกัน ถ้าไม่มีเดกุ บาคุโกก็อาจจะยังสนใจชัยชนะมากกว่าการช่วยเหลืออยู่ อาจจะยังมีแนวคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกคนอยู่ และอาจไม่เคยได้เอ่ยคำ ‘ขอโทษ’ ออกมาแม้เพียงครั้งก็เป็นได้
ในตอนท้ายของมังงะตอนดังกล่าว เดกุไม่ได้เอ่ยคำให้อภัยออกมา และตัวของบาคุโกเอง หลังรู้ถึงความผิดที่ตัวเองเคยก่อ ก็คงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำนั้น แต่ก็ดูเหมือนจะวางใจไปได้อีกเปลาะแล้วว่า ในสมรภูมิรบครั้งถัดไปของเหล่าฮีโร่ เดกุจะมีบาคุโก รวมทั้งเพื่อน ๆ ห้องเออยู่เคียงข้าง คอยแข่งขัน หนุนหลัง รวมทั้งช่วยเหลือผู้คนไปด้วยกัน และพาสิ่งที่เลือนหายอย่าง ‘รอยยิ้ม’ กลับมาประดับบนใบหน้าของทุกคนอีกครั้ง