read
thought
20 ก.ย. 2564 | 22:27 น.
The Secret Life of Walter Mitty: ภาพยนตร์ชวนฝันของคนทำงานที่บอกให้ลองหยุดฝัน แล้วออกไปใช้ชีวิตดู
Play
Loading...
/ บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty (2013) /
‘ฟิล์มก็ต้องหา สาวก็ต้องจีบ’
ไม่ว่าจะเป็นภารกิจตามหาฟิล์มเนกาทีฟหมายเลข 25 หรือการพยายามเข้าใกล้สาวที่ตัวเองแอบรักก็ล้วนเป็นสิ่งที่ ‘วอลเตอร์ มิตตี้’ (รับบทโดย
เบน สติลเลอร์
) ผู้จัดการแผนกฟิล์มเนกาทีฟของนิตยสาร ‘ไลฟ์’ อยากจะทำให้สำเร็จ แต่ด้วยความที่วอลเตอร์เป็นหนุ่มเรียบร้อย พูดน้อย แถมยังมีปมในวัยเด็ก ทำให้เขาไม่กล้าที่จะก้าวออกจาก ‘comfort zone’ ของตนเองสักที
‘The Secret Life of Walter Mitty’ (2013) กำกับและนำแสดงโดย ‘
เบน สติลเลอร์’ (Ben Stiller) เป็นภาพยนตร์แนว
คอมเมดี้-ผจญภัย ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของพนักงานประจำที่ทำแต่กิจวัตรซ้ำเดิม และมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว โดยไม่มีโอกาสได้ออกไปใช้ชีวิตนอกกรอบเสียที ซึ่งทั้งหมดคือเรื่องราวของวอลเตอร์ มิตตี้ ชายผู้กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี หลังจากพ่อของเขาจากไป แต่โชคชะตาไม่ได้พรากคนสำคัญของวอลเตอร์ไปเพียงอย่างเดียว เพราะความฝันและความกล้าของเขาก็ถูกพรากไปด้วย
กระทั่งวันหนึ่ง วอลเตอร์ผู้ทำงานอยู่เบื้องหลังการเรียงภาพฟิล์มที่ปรากฏภายในนิตยสารไลฟ์มาตลอดได้รับตลับฟิล์มจากช่างภาพคนสำคัญอย่าง ‘ฌอน โอ’ คอนเนลล์’ รับบทโดย ‘ฌอน เพนน์’ (Sean Penn) พร้อมของขวัญเป็นกระเป๋าเงินที่สลักคำคมของไลฟ์เอาไว้ว่า
‘To see the world’
/
ท้ามองโลก /
‘Things Dangerous to come to’
/
ดาหน้าสู่อันตราย /
‘To see behind walls’
/
มองข้ามกำแพง /
‘To draw closer’
/
เพ่งมองลึกซึ้ง /
‘To find each other and to feel’
/
ค้นพบกันและกัน เพื่อรู้สึก /
‘That is the purpose of life’
/ นั่นคือเป้าหมายของชีวิต /
แน่นอนว่า วอลเตอร์ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับของขวัญชิ้นนั้น เพราะฌอนถือเป็นคนที่เขาชื่นชมและชื่นชอบมาตลอด แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่ราบรื่นอย่างที่เคยเป็น เมื่อนิตยสารไลฟ์กำลังจะปิดตัวลง และเปลี่ยนไปเป็น ‘ไลฟ์ ออนไลน์’ ซึ่งภาพปกเล่มสุดท้ายจะต้องใช้ฟิล์มเนกาทีฟหมายเลข 25 ของฌอน แต่มันดันไม่อยู่ในตลับฟิล์มที่ส่งมา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยของพนักงานธรรมดาที่กำลังจะมีชีวิตที่ไม่ธรรมดาอย่าง วอลเตอร์ มิตตี้
ฝันหวานของพนักงานประจำ
วอลเตอร์ คือตัวแทนเหล่าคนทำงานทั่วโลก เขาตื่นเช้ามาทำงาน ตกเย็นกลับบ้านไปหาครอบครัว วนลูปเช่นนี้ทุกคืนวัน แต่ก็มีบ้างที่จะแอบแวบเข้าเว็บหาคู่เพื่อส่ง ‘อมยิ้ม’ ให้กับหญิงสาวที่เขาชอบอย่าง ‘เชอริล เมลฮอฟฟ์’ รับบทโดย ‘คริสเตน วิก’ (Kristen Wiig) พนักงานแผนกบัญชีที่อยู่บริษัทเดียวกับเขา
ด้วยความที่วอลเตอร์เสียพ่อไปตั้งแต่อายุ 17 ปี และครอบครัวไม่มีเงินเก็บ เขาในวัยนั้นจึงจำใจโกนผมทรงโมฮอว์กที่พ่อตัดให้ทิ้ง แล้วออกไปหางานทำโดยละทิ้งความฝัน และการเล่นสเก็ตบอร์ดที่ตนเองชื่นชอบ วอลเตอร์กลายเป็นคนที่ไม่มีความฝัน เขาใช้จินตนาการอันล้ำเลิศในการพาตนเองล่องลอยไปจากโลกแห่งความเป็นจริงดังที่เราเห็นในภาพยนตร์ แต่หลังจากเขาออกผจญภัยไปทั่วโลก อาการมโนของเขาก็ลดลง
เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะฝันหวานของเขาค่อย ๆ ขยับเข้าหา ‘ความจริง’ ทีละนิด จากการลงมือต่อต้านสิ่งเดิม ๆ ที่ครอบงำชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความกังวล ความยึดติด หรือแม้กระทั่งความดื้อของตนเอง เขาเริ่มเข้าไปพูดคุยกับเชอริลมากขึ้น และเธอก็กลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบินไปกรีนแลนด์ เพื่อตามหาฌอนและฟิล์มหมายเลข 25
จากห้องเก็บฟิล์มที่เต็มไปด้วยความมืดสลัว สู่โลกกว้างที่ใครหลายคนไม่เคยสัมผัส แต่ก่อนจะถึงเวลาเปิดโลก ผู้คนมากมายคงกำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกับวอลเตอร์อยู่ ทุกคนรู้ซึ้งถึงความน่าเบื่อของการลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อทำสิ่งเดิม ๆ ทุกวัน บางคนอาจจะนั่งเหม่อลอยช่วงพัก จินตนาการถึงเวลาที่ได้ออกไปท่องเที่ยว ขณะที่บางคนอาจจินตนาการเพียงเวลาว่างที่จะได้นั่งทำในสิ่งที่ชอบอย่างจริงจัง แต่ทั้งหมดนั้นจะเป็นเพียงแค่ความฝัน หากไม่มีใครหยุดฝันแล้วลงมือทำเสียที
วอลเตอร์คิดแล้วคิดอีกว่าเขาจะเดินทางไปตามหาฌอนดีไหม จากจุดหมายแรกอย่างกรีนแลนด์ก็ทำให้เขาต้องนั่งคำนวณค่าใช้จ่ายอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อการผจญภัยปลดล็อกตนเองเริ่มขึ้น เราจึงเห็นวอลเตอร์เลิกบันทึกรายรับรายจ่าย แล้วมุ่งหน้าท่องโลกตามใจตนเอง
แม้เงินเดือนสำหรับอาหารกายจะสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารใจก็สำคัญเช่นกัน วอลเตอร์มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งค่าบ้านพักคนชราของแม่ ค่าขนย้ายเปียโน หรือแม้กระทั่งค่าปรับของน้องสาว ความรับผิดชอบทั้งหมดประเดประดังเข้ามา และก่อร่างสร้างตัวเป็นกำแพงปิดกั้นความฝัน แต่เมื่อวอลเตอร์ค้นพบว่า เงินที่เขาหามานั้นสามารถสร้างความสุขได้มากกว่าความน่าเบื่อ เขาจึงจัดลำดับความสำคัญของชีวิตใหม่ แล้วเอาความฝันกลับเข้ามาในชีวิตเหมือนก่อนที่เขาจะอายุ 17 ปี
ภาพยนตร์ว่าด้วยจินตนาการ ความฝัน และความจริงเรื่องนี้คงทำให้ใครหลายคนอยากจะตีตั๋วเดินทางท่องเที่ยวในทันที แต่นอกจากแรงบันดาลใจที่ได้รับอย่างล้นเหลือจากภาพยนตร์ ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ยังแสดงให้เราเห็นถึงความสำคัญของทุกหน้าที่ในการทำงาน
งานเล็กแค่ไหนก็ยิ่งใหญ่เสมอ
ฟิล์มมากกว่าหนึ่งล้านรูปถูกส่งมาให้วอลเตอร์เป็นผู้รับผิดชอบตลอดการทำงานที่ไลฟ์ของเขา และเขาไม่เคยจัดเรียงรูปพลาดเลยสักครั้ง นั่นคือความรักและความรับผิดชอบอย่างสูงสุดที่วอลเตอร์มอบให้กับงาน ซึ่งฌอนก็ทราบเรื่องนี้ดี
“ลูกเป็นพาร์ตเนอร์ของฌอน เขาบอกแม่ ลูกคือคนที่ทำงานหนักที่สุด เพื่อให้รูปของเขาปรากฏในแบบที่เขาตั้งใจ ลูกทำให้งานเขาสำเร็จ”
แม่ของวอลเตอร์พูดกับลูกชายในวันที่วอลเตอร์ไม่มีงานทำอีกต่อไป แต่ด้วยคำพูดนี้ คุณค่าของหน้าที่ที่ใครหลายคนมองว่าเล็กจึงใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าภาพของฌอนจะสวยงามเพียงใด แต่หากลำดับภาพผิดพลาด ใช้ภาพขาดหรือเกินไปแม้แต่ภาพเดียว ความหมายที่ต้องการจะสื่อย่อมผิดเพี้ยนไป
การเดินทางออกจากความจำเจเพื่อตามหาฌอนกลายเป็นของขวัญอันล้ำค่าของวอลเตอร์ ไม่ว่าฌอนจะตั้งใจหรือไม่ เขาคือผู้ปลดแอกวอลเตอร์จากความกลัวและความน่าเบื่อ ทั้งยังมอบคำขอบคุณให้กับวอลเตอร์ผ่านฟิล์มหมายเลข 25 และคำบรรยายบนปกนิตยสารไลฟ์เล่มสุดท้าย
‘Dedicated to the People Who Made It’
/ นิตยสารฉบับสุดท้าย อุทิศให้คนที่สร้างมันมา /
ในที่สุด พนักงานผู้ทำงานปิดทองหลังพระมาตลอดก็ได้ฤกษ์เปิดตัวให้ผู้คนรู้จัก และสิ่งที่วอลเตอร์ทำก็สมควรแล้วที่จะได้รับคำขอบคุณและคำชื่นชม
แต่ไม่ใช่แค่ตำแหน่งงานของวอลเตอร์เท่านั้น ในชีวิตจริง ทุกหน้าที่ล้วนมีความสำคัญ เพราะนั่นหมายถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในสิ่งที่ตนเองดูแล ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นความสำคัญของการทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี
ในฉากเล็ก ๆ ที่แฝงความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่องานฟิล์มของวอลเตอร์และเพื่อนร่วมงานอย่าง ‘เฮอร์แนนโด’ วอลเตอร์ถามเฮอร์แนนโดว่า เขาอยากจะเรียงฟิล์มสำคัญของฌอนใส่เครื่องหรือไม่ ซึ่งเพื่อนของเขาก็ตอบด้วยความดีใจและรีบวิ่งมาทำงานที่เขารักอย่างตั้งใจทันที
หากเปรียบเทียบความรักในการทำงานระหว่างพนักงานตัวเล็ก ๆ ในแผนกฟิล์ม กับเหล่าผู้บริหารใส่สูทผูกไทของไลฟ์ เราคงจะทราบกันดีว่าผู้บริหารเหล่านั้นสนใจแต่เพียงความสำเร็จของงาน พวกเขาดูถูกและวางตนเหนือพนักงานคนอื่นด้วย ‘ตำแหน่ง’ ซึ่งรวมไปถึงวอลเตอร์ที่มีมาดไม่สู้คน ทั้งยังชอบเหม่อลอย เขาจึงถูกหมายหัวโดย ‘เท็ด เฮนดริกส์’ ผู้บริหารการปรับเปลี่ยนองค์กรที่มักจะล้อเขาด้วยเพลง ‘Space Oddity’ ของ ‘
เดวิด โบวี
’ แต่หารู้ไม่ว่าเพลงธรรมดานี้แฝงไปด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสาวสวยที่วอลเตอร์แอบชอบอย่างเชอริลคือผู้ที่เปลี่ยนชีวิตวอลเตอร์จากบทเพลงนี้
Ground Control to Major Tom
“Ground Control to Major Tom”
/ ภาคพื้นดินเรียกผู้พันทอม /
“Can you hear me, Major Tom?”
/ คุณได้ยินผมไหม ผู้พันทอม /
ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง Space Oddity ที่เท็ดใช้ล้อวอลเตอร์ขณะที่เขากำลังอยู่ในภวังค์แห่งจินตนาการ เท็ดเรียกวอลเตอร์ด้วยการเปรียบเปรยว่า เขาคือผู้พันทอมที่กำลังหลุดลอยออกไปนอกอวกาศ โดยที่ตัวเท็ดเองก็ไม่รู้ความหมายของสิ่งเหล่านั้น
“เพลงนั้น ผู้พันทอม ตอนที่นายเคราดกแซวคุณ เขาไม่รู้หรอกว่าพูดถึงอะไร เพลงนั้นพูดถึงความกล้าหาญ ฝ่าฟันไปในที่ที่ไม่รู้ เพลงมันเท่มาก ๆ”
เชอริลบอกกับวอลเตอร์หลังจากที่เขาเหม่อลอย (อีกแล้ว) ซึ่งคำพูดของเธอทำให้วอลเตอร์รู้สึกดีมาก ทั้งยังดียิ่งกว่า เมื่อเขาจินตนาการว่า เชอริลมาร้องเพลงนี้ให้เขาฟังระหว่างอยู่ที่กรีนแลนด์ และวอลเตอร์ต้องตัดสินใจว่า เขาจะกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของนักบินที่กำลังเมาอยู่ดีหรือไม่? ซึ่งคำตอบก็คือการทลายกำแพงแห่งความกลัว ด้วยความกล้าอย่างผู้พันทอมนั่นเอง
“Now it’s time to leave the capsule if you dare”
/ ตอนนี้ได้เวลาออกจากกระสวยแล้ว หากคุณกล้าพอ /
วอลเตอร์กระโดดจากเฮลิคอปเตอร์ลงมหาสมุทรกลางพายุ เขาสู้กับฉลาม ปั่นจักรยาน และเล่นบอร์ดไปตามถนนที่ยาวสุดสายตาของประเทศไอซ์แลนด์ รวมถึงหนีภูเขาไฟระเบิด และเดินทางไปยังอัฟกานิสถาน นี่คือความจริงที่เกิดจากความฝัน และความกล้าที่จะลงมือทำ
ภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจินตนาการ แต่ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องการจินตนาการ หากแต่ต้องการความกล้าที่จะทำให้ฝันเป็นจริง
จินตนาการอันยิ่งใหญ่กับบางสิ่งที่ไม่ต้องจินตนาการก็ได้
ว่าด้วยเรื่องความรักของวอลเตอร์ เขาคือหนุ่มขี้มโนที่คิดว่าตัวเองเป็นชายละตินผู้เดินฝ่าดงหิมะขั้วโลกเพื่อมาหาเชอริล และเป็นหนุ่มหัวสร้างสรรค์ ผู้สร้างรูปปั้นสีทองที่มีใบหน้าเป็นวอลเตอร์และเชอริลกำลังเต้นรำอยู่กลางลานน้ำพุหน้าบริษัท
มีหลายคนที่ชื่นชอบจินตนาการอันหลุดโลกของเขา แต่กับเรื่องความรักแล้ว หลายคนกลับเชียร์ให้เขาเริ่มพูดคุยกับเชอริลอย่างจริงจังมากกว่าการมโนอยู่ในหัว เพราะสุดท้ายแล้วจินตนาการสุดบรรเจิดของวอลเตอร์ก็ได้ย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจของเขาเอง
จินตนาการที่เจ็บที่สุด คือการคิดว่าเชอริลกลับไปคืนดีกับอดีตสามีของเธอ วอลเตอร์ที่อกหักทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ถามความจริงดึงตัวเองออกมาจากหญิงสาวที่เขารัก โดยที่เธอเองก็ไม่มีโอกาสรับรู้สิ่งที่อยู่ในหัวสมองและหัวใจของเขาเลย เธอกลับคิดด้วยซ้ำว่า ตัวเธอคงจะน่าเบื่อเกินกว่าวอลเตอร์จะรับได้ แต่เมื่อวอลเตอร์กลับมาบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยที่ผ่านมาอย่างกล้าหาญ เธอก็ตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง
ในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครวอลเตอร์ มิตตี้อย่างชัดเจน นอกจากภาพลักษณ์การแต่งกายที่เปลี่ยนไป และการไว้หนวดเครา ความอ่อนแอที่อยู่ภายในก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความกล้า เขาบุกไปที่ห้องประชุมของผู้บริหารไลฟ์ และสั่งสอนเท็ดให้เห็นถึงความสำคัญและความพยายามของคนอื่น เขาวิ่งตามเชอริล ชวนเธอไปเดท และจับมือของเธอเพื่อเดินต่อไปด้วยกันในอนาคต
ขอบคุณจินตนาการที่ทำให้เรามีฝัน และสักวันเราจะได้ขอบคุณตัวเองที่หยุดฝัน และลงมือทำให้มันกลายเป็นจริง วอลเตอร์ดาหน้าสู่อันตราย และข้ามกำแพงที่ปิดกั้นเขาจากโลกอันกว้างใหญ่มาตลอด เวลาต่อจากนี้คือ ‘ชีวิต’ ที่แท้จริง ดังคำขวัญของไลฟ์ที่กล่าวว่า
‘To find each other and to feel’
/
ค้นพบกันและกัน เพื่อรู้สึก /
‘That is the purpose of life’
/ นั่นคือเป้าหมายของชีวิต /
เรื่อง: วโรดม เตชศรีสุธี
ภาพ:
https://www.imdb.com/title/tt0359950/
https://www.youtube.com/watch?v=HddkucqSzSM
อ้างอิง
ภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty (2013) รับชมผ่าน Disney+Hotstar
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
XG ประเดิมงาน Coachella 2025 พร้อมสร้างประวัติศาสตร์กับการเป็นศิลปินญี่ปุ่นเบอร์เดียวที่ได้ขึ้นโชว์
22 พ.ย. 2567
แฟนคลับกรี๊ด! “M2M” มาไทยแน่ปีหน้า ดีเดย์เปิดจองบัตรวันแรก 1 ธ.ค. 2567 นี้!!!
22 พ.ย. 2567
มอลลี่ แฟ็กทอรี่ สตูดิโอ ผนึกกำลัง สยามพารากอน และสยามเซ็นเตอร์ เปิดตัวคาแรคเตอร์ CryBunny และ CryTeddy
22 พ.ย. 2567
แท็กที่เกี่ยวข้อง
The People
Thought
Walter Mitty
Disnet Plus Hotstar
The Secret Life of Walter Mitty