Michael Jackson: มูนวอล์ก สตอล์กเกอร์ และการทำลายกำแพงสีผิวในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยเพลง ‘Billie Jean’

Michael Jackson: มูนวอล์ก สตอล์กเกอร์ และการทำลายกำแพงสีผิวในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยเพลง ‘Billie Jean’
“ผมบอก MTV ว่าผมจะถอนทุกอย่างออกจากช่องของคุณ ทุกสิ่งที่เรามี ผมจะไม่ให้วิดีโอใด ๆ กับ MTV อีกต่อไป และจะบอกสาธารณชนให้รู้ความจริงว่าพวกคุณเกลียดแค่ไหนที่ต้องเล่นเพลงของคนผิวดำ” คือคำที่ ‘Walter Yetnikoff’ บอสใหญ่ของ CBS Records ค่ายต้นสังกัดของ Epic Records ที่เซ็นสัญญากับไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) บอกกับ MTV เพื่อพาให้หลายบทเพลงจากอัลบั้ม ‘Thriller’ รวมทั้ง ‘Billie Jean’ ได้ฉายบนสถานีโทรทัศน์หัววัยรุ่นช่องนั้น ในวันที่อุตสาหกรรมดนตรีของอเมริกายังระอุด้วยการเหยียดผิว โดยเฉพาะสถานีฮิตอย่าง MTV ที่ราวกับจะมีสโลแกนภายในองค์กรว่า ‘ถ้าไม่ขาวเราไม่เปิด’ อย่างไรอย่างนั้น ด้วยความโด่งดังของ MJ และคำต่อรองปนขู่ของหัวเรือประจำค่าย ในที่สุด MTV ก็ยอมจำนน และ ‘Billie Jean’ ก็กลายเป็นบทเพลงที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยคำขอจากผู้คน จนสุดท้ายมันก็ได้รับเครดิตว่ามีส่วนช่วยทำลายกำแพงแห่งสีผิว ทำให้เหล่าศิลปินผิวดำได้มีพื้นที่และปรากฏหน้าค่าตาบนจอโทรทัศน์ที่ฉายทั่วอเมริกามากขึ้นไปอีกขั้น   / She told me her name was Billie Jean, as she caused a scene Then every head turned with eyes that dreamed of being the one Who will dance on the floor in the round /   บิลลี่ จีน คือใคร ท่ามกลางเสียงเบสสนุกหู เสียงร้องโทนสูงเป็นเอกลักษณ์ และท่าเต้นประจำตัวของ MJ ที่พาให้เพลงนี้ทะยานขึ้นที่หนึ่งแบบไม่ยากเย็นอะไร สิ่งที่ตามมาคือคำถามที่ผู้คนสงสัยเกี่ยวกับความหมายของเนื้อร้อง และเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ระหว่างคำ ไมเคิล แจ็กสัน เคยเฉลยถึงความหมายของเพลงนี้เอาไว้ว่า “บิลลี จีนคือแม่สาวนามสมมติ และเป็นตัวแทนของสาว ๆ มากมาย ในยุค 60s มักจะเรียกพวกหล่อนว่า ‘กรุปปี้’ (Groupies) พวกเธอจะดักรอที่ประตูหลังเวที และสร้างความสัมพันธ์กับวงดนตรีที่มาเยือนเมืองของพวกเธอ “ผมเขียนเพลงนี้จากเรื่องของพี่ชาย ตอนผมยังเด็ก จะมี ‘บิลลี จีน’ อยู่เต็มไปหมดเลยละ พวกเธอทุกคนอ้างกันทั้งนั้นว่าพี่ชายผมเป็นพ่อของลูกในท้องเธอ” ขณะที่ราชาเพลงป็อปให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ‘Billie Jean’ ของเขาไว้เพียงเท่านั้นและยึดโยงมันเข้ากับเรื่องของพี่ชาย ในวันที่เขายังเด็กและเป็นน้องเล็กในวง ‘The Jackson 5’ แต่ด้วยคำบอกเล่าจาก ‘ควินซี โจนส์’ (Quincy Jones) โปรดิวเซอร์ของไมเคิล แจ็กสัน ก็ทำให้เหล่านักฟังได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การมาถึงของสาวกรุปปี้ ที่ชี้หน้าบอกศิลปินว่า ‘เธอเป็นพ่อของลูกฉัน’ อาจเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของ MJ เองก็ได้ สาวปริศนาคนดังกล่าวเป็นสตอล์กเกอร์ที่เคยแอบตามสืบส่องความเป็นไปของแจ็กสัน เคยส่งจดหมายมาหาเขา เล่าว่าเธอท้องลูกชายที่เขาเป็นพ่อ และเคยปรากฏตัวริมสระขณะที่ MJ กำลังพักผ่อน เธอสวมชุดว่ายน้ำ ปกปิดดวงตาด้วยแว่นกันแดด เธอกล่าวหาแจ็กสันว่าเขาเป็นพ่อของลูกคนหนึ่ง จากลูกฝาแฝดสองคนในท้องของเธอ ควินซี โจนส์ลงความเห็นว่าคำกล่าวหาของเธอชวนขัน แต่ไมเคิล แจ็กสันก็รู้สึกลำบากใจจนต้องระบายออกมาผ่านบทเพลง   โรลส์รอยซ์ติดไฟ “นักดนตรีน่ะรู้ดีว่าเพลงฮิตหน้าตาเป็นยังไง มันจะรู้ได้เองว่าใช่ เหมือนทุกอย่างอยู่ถูกที่ถูกทาง เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เติมคุณให้เต็ม ทำให้คุณรู้สึกดี คุณจะรู้ได้ทันทีที่ได้ยินมัน นั่นแหละที่ผมรู้สึกกับ ‘Billie Jean’ ผมรู้ว่ายังไงเพลงนี้ก็ดัง” คือคำที่แจ็กสันเล่าถึงสิ่งที่ลอยวนในหัวเขาขณะที่เริ่มทำงานกับเพลงนี้ แจ็กสันหมกมุ่นและครุ่นคิดถึง ‘Billie Jean’ ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่ชีวิตของเขาเฉียดเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่าความตาย วันหนึ่งระหว่างพักจากอัดเพลง แจ็กสันและผู้จัดการอยู่บนรถโรลส์-รอยซ์คันโปรด รถวิ่งอยู่บนทางด่วน Ventura Freeway ขณะที่เด็กหนุ่มบนรถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนที่มาขนาบข้าง บุ้ยใบ้เคาะกระจก และบอกทั้งคู่ว่า ‘รถของคุณติดไฟแล้วพวก’ “ตอนนั้นเองที่เรารู้สึกถึงเขม่าควัน ท้ายรถของเราไหม้ไปหมด เราอาจจะตายไปแล้วถ้ามันระเบิด เด็กคนนั้นช่วยชีวิตเราไว้ แต่ผมกำลังสนใจไขว่คว้าทำนองเพลงนี้ที่อยู่ในหัวตัวเองมากกว่าจนไม่ได้สังเกตสังกาอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งภายหลัง (ถึงได้สังเกตเห็น)”   โปรดิวเซอร์ไม่ชอบใจ แต่ MJ ว่าดี การถกเถียงกันภายในสตูดิโอนั้นเป็นเรื่องปกติ และความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นก็เกิดขึ้นภายในเพลงนี้ โดยเป็นสงครามขนาดย่อมระหว่างแจ็กสัน เจ้าของเพลง และโจนส์ โปรดิวเซอร์ ขณะที่แจ็กสันใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการประกอบร่างเบสและกลองอยู่ที่บ้าน (ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผลลัพธ์ของมันออกมาฟังคล้ายเพลง ‘I Can’t Go For That (No Can Do)’ ของ ‘Daryl Hall & John Oates’ เพราะครั้งหนึ่ง MJ เคยยอมรับกับ Daryl Hall ด้วยตัวเองว่าเขายืมกรูฟจากเพลงนั้นมาใช้ ขณะที่ศิลปินผู้ถูกยืมตอบว่า ‘ไม่เป็นไร ใคร ๆ ก็ทำน่า’) โจนส์ก็แสดงความคิดเห็นของตนอย่างจริงใจว่าเขาไม่ค่อยจะชอบเบสไลน์ในเพลงเท่าไร ส่วนอินโทรของเพลงก็ยืดยาวจนควรตัดให้กระชับและรีบเข้าท่อนเมโลดี้ “ผมบอกแจ็กสันว่าอินโทรยาวไป แต่เขาบอกว่ามันทำให้เขาอยากเต้น และเมื่อไมเคิล แจ็กสัน บอกว่าอะไรสักอย่างทำให้เขาอยากเต้น ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเถียงแล้ว เขาเลยชนะไป” เช่นเดียวกับอีกครั้งที่พวกเขาเถียงกันว่าควรตั้งชื่อเพลงว่าอะไร ระหว่าง ‘Billie Jean’ ที่อาจพาให้คนสับสนกับนักเทนนิส ‘Billie Jean King’ หรืออีกชื่ออย่าง ‘Not My Lover’  แน่นอนว่าในครั้งนี้ชื่อ ‘Billie Jean’ ของไมเคิล แจ็กสัน ก็ชนะอย่างขาดลอย นอกจากเสียงดนตรีแล้ว ด้านงานภาพเคลื่อนไหวหรือมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้ก็เป็นอีกอย่างที่พาให้ ‘Billie Jean’ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยเป็นเรื่องราวคล้าย ๆ ภาพยนตร์สั้นความยาว 4:55 นาที ที่ไมเคิล แจ็กสันเป็นตัวเอก และถูกบิลลี จีน อ้างว่าเขาเป็นพ่อของลูกในท้องเช่นเดียวกันกับเนื้อเพลง หลังจากเรื่องราวคำลวงของเธอลอยไปถึงหูนักข่าว ก็ปรากฏปาปารัสซีชายใน MV ถือกล้อง ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ และคอยแอบถ่ายภาพของ MJ เพื่อนำไปขายเป็นข่าวอยู่เสมอ ผลสุดท้ายก็จบลงที่ชายคนนั้นถูกจับตัว ส่วน MJ เองก็ ‘หายตัว’ ไปจากห้องขณะที่เขานอนอยู่เคียงข้างกับบิลลี จีน  ทิ้งไว้เพียงแสงไฟนีออนบนถนนที่จะสว่างวาบขึ้นมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อเท้าของไมเคิล แจ็กสัน ขยับเต้นต่อไป เท่ากับว่าตอนนี้ MJ ได้ ‘ล่องหน’ จากบิลลี จีน และสายตาปาปารัสซีอย่างสมบูรณ์แล้วนั่นเอง ซึ่งการสว่างขึ้นของพื้นที่เหยียบลงไปนั่นก็มาจากไอเดียของ MJ ที่อยากให้ภายใน MV ของเขานั้นถูกผสานไปด้วย ‘เวทมนตร์’ นั่นเอง   มูนวอล์กซิกเนเจอร์ และถุงมือข้างซ้าย เป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวถึงไมเคิล แจ็กสัน โดยไม่กล่าวถึงความมหัศจรรย์ในท่วงท่า การขยับตัวเต้นของเขา และยิ่งเมื่อพูดถึงเพลง ‘Billie Jean’ ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของท่าเต้นที่สำคัญที่สุดท่าหนึ่งของโลกอย่าง ‘moonwalk’ ที่ MJ ได้เปิดเผยลีลาการขยับเท้าเหมือนจะเดินไปข้างหน้า แต่ทว่าร่างกายของเขากลับเคลื่อนไปด้านหลังครั้งแรกในรายการฉลองครบรอบ 25 ปี บนช่อง NBC ที่ชื่อว่า ‘Motown 25: Yesterday, Today, Forever,’ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 1983 ครั้งแรกของ ‘moonwalk’ เกิดขึ้นแค่ 2 วินาทีสั้น ๆ ภายในโชว์ แต่มันกลายเป็น 2 วินาทีที่ถูกจดจำไปตลอดกาล โดยในการแสดงเดียวกันนี้ บนมือข้างซ้ายของ MJ ยังเป็นครั้งแรกที่เขาสวมถุงมือสีขาวที่เป็นไอคอนประจำตัวอีกชิ้นเอาไว้ด้วย จนอาจจะบอกว่า ‘Billie Jean’ คือบทเพลงที่รวมสิ่งใหม่ ๆ ที่จะกลายเป็นตำนานของ ไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป็อปแห่งโลกดนตรีก็ว่าได้   ที่มา: https://www.songfacts.com/facts/michael-jackson/billie-jean https://www.nme.com/blogs/nme-blogs/30-cool-facts-you-didnt-know-about-billie-jean-766687 https://www.smoothradio.com/artists/michael-jackson/first-moonwalk-motown-video-1983/ https://www.huffpost.com/entry/35-years-ago-today-michael-jackson-moonwalked-on-tv-for-the-first-time_n_5afc8579e4b06a3fb50d1c7c https://www.express.co.uk/entertainment/music/1426116/Michael-Jackson-glove-why-did-Michael-Jackson-wear-a-single-glove-fashion-evg