01 ต.ค. 2564 | 14:19 น.
ภาพยนตร์ซีรีส์ ‘Indiana Jones - ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า’ ยังคงเป็นภาพยนตร์แนวผจญภัยที่ครองใจคนทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน และใครหลายคนก็คงจะคุ้นตากันดีกับภาพชายหนุ่มผู้มาพร้อมหมวกฟีโดรา เหน็บแส้เอาไว้ที่เอว และสวมเสื้อเชิ้ตเปรอะฝุ่นที่ปลดกระดุมเม็ดบนเอาไว้ตลอดเวลา เขาคนนี้คือนักโบราณคดีที่มีชื่อว่า ‘เฮนรี วอลตัน โจนส์ จูเนียร์’ (Henry Walton Jones, Junior) หรือที่รู้จักกันในนาม ‘อินเดียน่า โจนส์’ (Indiana Jones) รับบทโดย ‘แฮร์ริสัน ฟอร์ด’ (Harrison Ford) อินเดียน่า โจนส์ ออกฉายมาแล้วทั้งหมด 4 ภาค และภาค 5 กำลังจะออกฉายในปี 2022 โดยมีแฮร์ริสัน ฟอร์ด ในวัย 77 ปีกลับมารับบท ‘อินดี้’ คนเดิม ส่วนผู้กำกับในภาค 5 ได้เปลี่ยนตัวจาก ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) ที่กำกับ 4 ภาคแรกเป็น ‘เจมส์ แมนโกลด์’ (James Mangold) ผู้เคยฝากผลงานกำกับไว้ใน ‘The Wolverine’ (2013) และ ‘Ford v Ferrari’ (2019) อย่างที่เราทราบกันดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของ ‘จอร์จ ลูคัส’ (George Lucas) ผู้ให้กำเนิดมหากาพย์สงครามดวงดาว ‘Star Wars’ นั่นทำให้ที่มาของบท และเรื่องราวเบื้องหลังภาพยนตร์มีรายละเอียดความสนุกแอบซ่อนให้คนดูมองหาและติดตามอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่แรงบันดาลใจในการตั้งชื่อตัวละครของจอร์จ ลูคัสที่มีที่มาจากชื่อสุนัขของเขาเอง ชื่อตัวละครที่มีที่มาจากชื่อสุนัข ภาพยนตร์ภาคแรกของแฟรนไชส์อินเดียน่า โจนส์ ‘Raiders of the Lost Ark’ ออกฉายในปี 1981 สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนทั่วโลกเป็นอย่างมาก เมื่อนักโบราณคดีหนุ่มไม่ใช่เพียงอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่กลับเป็นนักผจญภัยที่ออกเดินทางตามหาสมบัติไปทั่วโลก ทั้งยังทำตัวเหมือนโจรปล้นสุสานในบางที สำหรับชื่อ อินเดียน่า ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง จอร์จ ลูคัสตั้งชื่อตามสุนัขพันธุ์อลาสกัน มาลามิวท์ (Alaskan Malamute) ของเขา ซึ่งอินเดียน่า (ที่เป็นสุนัข) ไม่ใช่เพียงชื่อของ ดร.โจนส์เท่านั้น แต่มันยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละครชิวแบคคา (Chewbacca) จากสตาร์ วอรส์ อีกด้วย [caption id="attachment_37162" align="aligncenter" width="990"] จอร์จ ลูคัส และ อินเดียน่า[/caption] ส่วนในภาค ‘Indiana Jones and the Temple of Doom - ถล่มวิหารเจ้าแม่กาลี’ (1984) นักร้องสาวชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จในเซี่ยงไฮ้อย่าง ‘วิลลี่ สก็อตต์’ (Willie Scott) รับบทโดย เคท แคปชอว์ (Kate Capshaw) ก็มีที่มาจากชื่อสุนัขพันธุ์ค็อกเกอร์ สแปเนียล (Cocker Spaniel) ของสตีเวน สปีลเบิร์ก รวมถึงตัวละครหลักอีกตัวอย่าง ‘ช็อต ราวด์’ (Short Round) รับบทโดย ‘โจนาธาน - คี ฮุย ควน’ (Ke Huy Quan / Jonathan Ke Quan) ก็ตั้งตามชื่อสุนัขพันธุ์เชทแลนด์ ชีพด็อก (Shetland sheepdogs) ของ ‘วิลลาร์ด ไฮค์’ (Willard Huyck) ผู้เขียนบทของภาคนี้เช่นกัน แต่นอกจากที่มาชื่อตัวละครที่ไม่มีใครคาดคิดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทีมผู้สร้างไม่ได้คาดคิดเช่นกันคือการมาของคี ฮุย ควน ที่ตั้งใจมาดูพี่ชายของเขาออดิชันในบท ช็อต ราวด์เท่านั้น เด็กชายผู้มาด้วยความบังเอิญ ช็อต ราวด์ คือเด็กชายตัวน้อย ผู้ช่วยเหลืออินเดียน่า โจนส์ที่เซี่ยงไฮ้ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยไปยังวิหารเจ้าแม่กาลี ใครหลายคนที่เห็นการแสดงของคี ฮุย ควน ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เด็กชายคนนี้เข้าถึงบทบาทของเขามาก แต่ก่อนที่คี ฮุย ควนจะกลายมาเป็นตัวเลือกสุดท้ายของภาพยนตร์ สปีลเบิร์ก และผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดงอย่าง ‘ไมค์ เฟนตัน’ (Mike Fenton) ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหานักแสดงที่จะมารับบทช็อต ราวด์เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเปิดการออดิชันในโรงเรียนประถมที่ลอสแอนเจลิส จนได้พบกับคี ฮุย ควน ‘ทางอ้อม’ ในวันนั้น แม่ของคี ฮุย ควนพาพี่ชายของเขามาอ่านบทของช็อต ราวด์ แต่ระหว่างการคัดเลือกตัวแสดง น้องชายตัวน้อยกลับเริ่มให้คำแนะนำกับพี่ชายของตนเอง ซึ่งสิ่งนี้ดันไปเข้าตาของโปรดิวเซอร์อย่าง ‘แคทลีน เคนเนดี’ (Kathleen Kennedy) และ ‘แฟรงก์ มาร์ชอล’ (Frank Marshall) เป็นอย่างมาก พวกเขาขอให้คี ฮุย ควนอัดวิดีโอออดิชันส่งให้กับสปีลเบิร์ก จนในที่สุดเด็กชายคนนี้ก็ได้รับเชิญให้ออดิชันประกบคู่กับแฮร์ริสัน ฟอร์ด แต่เนื่องจากเด็กชายยังอ่านภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องนัก ผู้กำกับสปีลเบิร์กจึงตัดสินใจปล่อยให้เขาด้นสดระหว่างการออดิชัน ซึ่งคล้ายกับวิธีที่สปีลเบิร์กใช้กับ ‘เฮนรี โทมัส’ (Henry Thomas) เด็กชายจากเรื่อง ‘E.T.’ (1982) ซึ่งนั่นก็คือช่วงที่คี ฮุย ควนเล่นไพ่กับฟอร์ด และค้นพบว่าตนเองถูกโกง คี ฮุย ควนได้เล่าว่า เขาไม่รู้ว่าใครคือจอร์จ สตีเวน หรือแม้กระทั่งแฮร์ริสัน เขาเคยดูอินเดียน่า โจนส์ ภาคแรก แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังร่วมถ่ายทำอยู่เป็นภาคต่อ จนกระทั่งภาพยนตร์เสร็จสิ้น คี ฮุย ควนก็กลายเป็นช็อต ราวด์ไปแล้วโดยสมบูรณ์ และถือเป็นเด็กคนเดียวที่มีบทบาทมากที่สุดในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องนี้ ถึงแม้ Indiana Jones and the Temple of Doom (1984) จะทำรายได้ต่ำที่สุดในบรรดา 4 ภาค อยู่ที่ 333,080,271 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ Raiders of the Lost Ark (1981) ภาคแรกทำรายได้ไป 367,452,079 เหรียญฯ ภาค 3 ‘Indiana Jones and the Last Crusade’ (1989) ทำรายได้ 474,171,806 เหรียญฯ และภาค 4 ‘Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull’ (2008) ทำรายได้สูงสุด 786,635,413 เหรียญฯ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เพราะผลตอบรับที่ไม่ดีของภาค 2 สปีลเบิร์กจึงเลือกกลับมาแก้มืออีกครั้งในภาคศึกอภินิหารครูเสด ที่เราเกือบจะได้เห็นลูคัสพาอินเดียน่าไปปะทะ ‘ซุนหงอคง’ กันเสียแล้ว อินเดียน่าโจนส์เคยเกือบปะทะราชาวานรก่อนได้พล็อตจอกศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่จอร์จ ลูคัส วางโครงเรื่องดราฟแรกให้อินเดียน่า โจนส์ต้องพบเจอกับราชาวานรอย่างซุนหงอคง แต่เพราะเดิมทีผู้กำกับอย่างสปีลเบิร์กไม่ได้ชอบเรื่องราวเหนือธรรมชาติมากนัก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนถกเถียงจนได้มาเป็นการตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์แทน เรื่องราวของ Indiana Jones and the Monkey King ที่ขอย้ำว่าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจริง มีหลายสื่อนำพล็อตเรื่องมาเปิดเผย ยกตัวอย่าง นิตยสารออนไลน์ ‘Mental Floss’ และ ‘Indiana Jones Fandom’ โดยเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นที่คฤหาสน์แห่งหนึ่ง (บ้างก็ว่าเป็นปราสาท) ในประเทศสกอตแลนด์ ปี 1937 อินเดียน่า โจนส์ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นโดยวิญญาณตนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะได้รับการติดต่อจากมาร์คัส โบรดี้ (Marcus Brody) ให้รู้จักกับ ‘ดร.แคลร์ คลาร์ก’ (Clare Clarke) ซึ่งได้พบกับคนแคระแอฟริกัน (African pygmy) อายุ 200 ปี ชื่อว่า ‘ไทกิ’ (Tyki) คนแคระบอกกับอินเดียน่าว่า เขารู้จักที่ตั้งของเมืองที่หายสาบสูญของซุนหงอคง ราชาวานรผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งยังเล่าถึง ‘ผลท้อศักดิ์สิทธิ์’ ที่เพียงแค่กัดครั้งเดียวก็สามารถเป็นอมตะได้หากจิตใจของบุคคลนั้นไร้มลทินมัวหมอง แต่ก่อนที่การเดินทางจะเริ่ม ไทกิถูกทหารนาซีจับตัวไป ซึ่งแน่นอนว่าอินเดียน่า โจนส์ของเราก็สามารถไปช่วยเหลือกลับมาได้ พร้อมออกเดินทางไปยังเมืองที่สาบสูญ เมื่อมาถึงเมือง ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับกอริลล่าผู้พิทักษ์ แต่ไทกิกลับตะโกนก้องให้ผู้พิทักษ์หยุดโยนอินเดียน่าลงจากเขา นั่นจึงทำให้ทุกคนรู้ว่าไทกิไม่ใช่แค่ผู้อยู่อาศัยในเมือง แต่เขาคือพระราชาในอนาคต หลังจากนั้นอินเดียน่าก็ถูกยิงโดยทหารนาซี ร่างของเขาถูกเพื่อน ๆ นำเข้าไปในสวนท้อ ที่ซึ่งซุนหงอคงอาศัยอยู่ และชุบชีวิตอินเดียน่าขึ้นมาอีกครั้ง พล็อตเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นจริงนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยคนเขียนบทอย่าง ‘คริส โคลัมบัส’ (Chris Columbus) นักเขียนของสปีลเบิร์กที่เคยฝากผลงานไว้ในเรื่อง ‘Gremlins’ (1984) แต่น่าเสียดายว่าพล็อตดังกล่าวไม่ได้ใช้ และลูคัสได้ยื่นพล็อตตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ให้กับสปีลเบิร์กแทน ทำให้ภาพยนตร์ภาค 3 ของอินเดียน่า โจนส์ถือกำเนิดขึ้นบนความสนุกสนาน และความกลมกล่อมยิ่งกว่า 2 ภาคแรก นอกจากเรื่องราวการตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ของลูคัส สปีลเบิร์กยังเสนอให้เพิ่มความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูกลงไป เพราะสิ่งนี้จะช่วยผลักดันให้การเดินทางตามหาจอกมีความหมายยิ่งกว่าเดิม โดยเขาวางตัวให้ ‘ฌอน คอนเนอรี’ (Sean Connery) เจ้าของบท เจมส์ บอนด์ 007 มารับบทพ่อของอินเดียน่า โจนส์ ส่วนหนึ่งของการให้คอนเนอรีมารับบทสำคัญ เป็นเพราะสปีลเบิร์กอยากสร้างภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เป็นอย่างมาก แต่เมื่อความฝันยังไม่เป็นจริง เขาจึงนำกองทัพนักแสดงจากภาพยนตร์ซีรีส์สายลับ 007 มาแทน ไม่ว่าจะเป็น ‘จูเลียน โกลเวอร์’ (Julian Glover) ตัวร้ายของภาคจอกศักดิ์สิทธิ์ก็เคยรับบทเป็นตัวร้ายจากเจมส์ บอนด์ ภาค ‘For Your Eyes Only’ (1981) มาก่อน รวมไปถึง ‘จอห์น ริส-เดวีส์’ (John Rhys-Davies) ผู้รับบท ‘ซัลลา’ ก็เคยเล่นภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ภาค ‘The Living Daylights’ (1987) และ ‘อลิสัน ดูดี้’ (Alison Doody) ตัวเอกหญิงของเรื่องก็เคยรับบทเป็นสาวของบอนด์ใน ‘A View to a Kill’ (1985) เรียกได้ว่าเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงที่สมศักดิ์ศรี และสมการรอคอยของแฟนภาพยนตร์อินเดียน่า โจนส์ หลังจากผิดหวังกับความดาร์กและความหดหู่ของ The Temple of Doom ซึ่งนอกจากจะไม่ถูกใจผู้ใหญ่บางส่วนแล้ว ยังไม่ถูกใจผู้ปกครองของเด็ก ๆ ด้วย เนื่องจากมีการฉายภาพความรุนแรงที่ไม่เหมาะให้เด็กชม แต่ก็เป็นเพราะภาพยนตร์ภาคนี้เช่นกันที่ทำให้สปีลเบิร์กเขียนจดหมายถึง ‘Motion Picture Association of America’ ให้เพิ่มเรท ‘PG-13 RATING’ (ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี) ขึ้น หลังจากที่เดิมมีเพียงเรท G (General audiences), PG (Parental guidance suggested), R (Restricted - Under 17 requires accompanying parent or adult guardian) และ X (No one under 17 admitted) เท่านั้น ทั้งหมดคือที่มาและเบื้องหลังการทำงานของทีมผู้สร้างภาพยนตร์ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ที่เชื่อว่าใครหลายคนคงจะยกให้เป็นภาพยนตร์แนวผจญภัยขึ้นหิ้งจนถึงปัจจุบัน เพราะจากความตั้งใจให้เป็นหนังไตรภาค ความโหยหาของผู้ชมกลับมากขึ้นจนต้องสร้างภาค 4 และกำลังจะมีภาค 5 ตามมาในปี 2022 ซึ่งเราจะได้เห็นการกลับมาของแฮร์ริสัน ฟอร์ด ในบทอินเดียน่า โจนส์ อย่างแน่นอน เรื่อง: วโรดม เตชศรีสุธี ภาพ: Photo by Valerie Macon/Getty Images Photo by Bryn Colton/Getty Images https://www.imdb.com/title/tt0087469/ https://www.youtube.com/watch?v=e1KKVy-nki8 https://www.youtube.com/watch?v=zYWLE9HIqUM อ้างอิง: https://screenrant.com/indiana-jones-last-crusade-facts-trivia/ https://screenrant.com/indiana-jones-10-things-you-probably-didnt-know-about-the-temple-of-doom/ https://www.mentalfloss.com/article/77210/15-fun-facts-about-indiana-jones-movies https://www.mentalfloss.com/article/64268/15-things-you-might-not-know-about-indiana-jones-and-last-crusade https://www.denofgeek.com/movies/the-indiana-jones-films-that-never-were/ https://medium.com/rewindr/10-things-you-didnt-know-about-indiana-jones-and-the-last-crusade-4f7830c49215 https://d23.com/things-you-didnt-know-about-indiana-jones-and-the-temple-of-doom/ https://www.the-numbers.com/movies/franchise/Indiana-Jones#tab=summary https://indianajones.fandom.com/wiki/Indiana_Jones https://www.youtube.com/watch?v=tG1cwSJj2tI https://starwars.fandom.com/wiki/Indiana https://www.empireonline.com/movies/features/indiana-jones-making-last-crusade/ https://indianajones.fandom.com/wiki/Indiana_Jones_and_the_Monkey_King https://indianajones.fandom.com/wiki/James_Bond https://www.mentalfloss.com/article/31313/lost-scripts-part-i-indiana-jones-and-monkey-king