/ บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง The Conjuring: The Devil Made Me Do It (2021) /
‘เจมส์ วาน’ (James Wan) ชื่อของชายคนนี้ไม่เคยทำให้คนดูผู้คลั่งไคล้โลกพิศวงต้องผิดหวัง ยิ่งในฐานะผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลในวงการผี วานคือผู้นำภาพยนตร์ชั้นยอดมากมายออกสู่สายตาคนดูทั้งเรื่อง ‘Saw’ (2004) ‘Dead Silence’ (2007) ‘Insidious’ (2010) และมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ของจักรวาล ‘Conjuring’ ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักนักปีศาจวิทยา - มือปราบผีที่มีชีวิตอยู่จริงอย่าง ‘เอ็ด และลอร์เรน วอร์เรน’ (Ed and Lorraine Warren) กับการเดินทางช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ทรมานจากสิ่งที่ลี้ลับกว่า 10,000 เคส
เจมส์ วาน เปิดจักรวาลผีด้วย ‘The Conjuring’ (2013) บอกเล่าความสยองในบ้านของครอบครัว ‘เพอร์รอน’ (Perron) ที่แฮร์ริสวิลล์ รัฐโรดไอส์แลนด์ ซึ่งถูกรบกวนโดยวิญญาณของหญิงสาวที่ชื่อว่า ‘แบทชีบา เชอร์แมน’ (Bathsheba Sherman) ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และสังหารลูกของตนเองเพื่อบูชาซาตาน แต่นอกจากความน่ากลัวที่ทำให้หัวใจเต้นรัวแล้ว ในภาคนี้เรายังได้พบกับ ‘แอนนาเบลล์’ (Annabelle) ตุ๊กตาสยองที่ผู้คนต่างอยากรู้จักจนมีภาคแยกของตัวเองไม่ว่าจะเป็น ‘Annabelle’ (2014) ‘Annabelle: Creation’ (2017) และ ‘Annabelle Comes Home’ (2019)
ส่วนในภาคที่สอง ‘The Conjuring 2’ (2016) เอ็ด และลอร์เรน วอร์เรนเปิดแฟ้มคดีของพวกเขาไปสู่เรื่องราวชวนขนหัวลุกที่ถูกเรียกว่า ‘Enfield poltergeist’ ในบ้านของครอบครัว ‘ฮอดจ์สัน’ (Hodgson) ที่เอ็นฟิลด์ (Enfield) ประเทศอังกฤษ ซึ่งในภาคนี้เองเราจะได้พบกับการปรากฏตัวของปีศาจในคราบแม่ชีเป็นครั้งแรก ก่อนจะมีภาคแยกเป็นของตัวเองในชื่อ ‘The Nun’ (2018)
ในภาพยนตร์สองภาคแรกของ The Conjuring วานได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับด้วยตนเอง แต่ในภาคที่ 3 นี้เขาได้ส่งไม้ต่อให้กับ ‘ไมเคิล ชาเวส’ (Michael Chaves) เด็กปั้นของวานผู้เคยฝากผลงานไว้ในเรื่อง ‘The Curse of La Llorona’ (2019) ส่วนตนเองได้ย้ายไปนั่งตำแหน่งโปรดิวเซอร์อีกเช่นเคย
The Conjuring: The Devil Made Me Do It (2021) ว่าด้วยเรื่องจริงจากแฟ้มคดีของสองสามีภรรยาวอร์เรนเกี่ยวกับชายที่ชื่อว่า ‘อาร์นี ไชแอนด์ จอห์นสัน’ (Arne Cheyenne Johnson) วัยรุ่นวัย 19 ปีผู้มีชีวิตเป็นปกติก่อนจะก่อเหตุแทงเจ้าของบ้านชื่อว่า ‘อลัน โบโน’ (Alan Bono) ไปกว่า 20 ครั้ง แต่เมื่อถึงคราวขึ้นศาล อาร์นีได้ให้การว่าเป็นเพราะเขาถูก ‘ปีศาจสิง’
เรื่องจริงอันโด่งดังของชายผู้ถูกผีสิงให้ฆ่าคน
อาร์นีเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาวัย 19 ปี เขามีคู่หมั้นแสนน่ารักที่ชื่อว่า ‘เด็บบี้ แกรทเซล’ (Debbie Glatzel) ซึ่งในปี 1980 อาร์นีได้ย้ายเข้าไปอยู่กับครอบครัวแกรทเซลที่บรูคไลน์ (Brookline) ก่อนที่หนึ่งเดือนให้หลัง น้องชายของเด็บบี้ที่ชื่อว่า ‘เดวิด แกรทเซล’ (David Glatzel) จะถูกผีเข้าสิง จนครอบครัวต้องขอให้บาทหลวงมาช่วยทำพิธี รวมถึงเชิญสามีภรรยานักปราบผี เอ็ด และลอร์เรน วอร์เรน มาช่วยพวกเขา
[caption id="attachment_37623" align="aligncenter" width="989"]
เดวิด แกรทเซล ในฉบับภาพยนตร์[/caption]
เอ็ด และลอร์เรนทำพิธีไล่ผีถึง 4 ครั้ง ก่อนที่อาร์นีจะทนเห็นเดวิดทุกข์ทรมานไม่ไหว เขาเอ่ยท้าทายปีศาจให้ใช้ร่างกายของเขาเป็นที่สิงสู่แทน
และปีศาจก็ตอบรับคำขอของเขา
หลังจากนั้น เดวิดไม่มีอาการถูกผีเข้าอีกเลย กระทั่งวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ปี 1981 เรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่ออาร์นีลงมือแทงอลัน โบโนไปถึง 20 แผลด้วยมีดพก จนเขาเสียชีวิต ซึ่งนับเป็นคดีสะเทือนขวัญในรอบร้อยกว่าปีของย่านนี้ โดยตำรวจสรุปว่าเป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการมีปากเสียงกัน
[caption id="attachment_37626" align="alignnone" width="982"]
อาร์นี ไชแอนด์ จอห์นสัน ในฉบับภาพยนตร์[/caption]
[caption id="attachment_37625" align="aligncenter" width="552"]
อาร์นี ไชแอนด์ จอห์นสัน ตัวจริงขณะเดินทางถึงศาล[/caption]
ภายในศาล ‘มาร์ติน มินเนลลา’ (Martin Minnella) ทนายความของอาร์นีให้การต่อศาลว่า อาร์นีถูกผีเข้าสิงทำให้เขาก่อเหตุฆาตกรรมโบโน แต่ศาลไม่เชื่อในการมีอยู่ของปีศาจ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ทนายมินเนลลาต้องเปลี่ยนคำให้การว่า อาร์นีเพียงแค่ป้องกันตนเองแทน
อาร์นี จอห์นสัน ตัวจริงถูกตัดสินจำคุก 10-20 ปี แต่ติดจริงแค่ 5 ปี และเขาได้แต่งงานกับคู่หมั้นระหว่างอยู่ในเรือนจำ ส่วนฉบับภาพยนตร์นั้นมีตอนจบที่แตกต่างไป
[caption id="attachment_37624" align="aligncenter" width="990"]
อาร์นี ไชแอนด์ จอห์นสัน ในฉบับภาพยนตร์[/caption]
[caption id="attachment_37627" align="aligncenter" width="552"]
อาร์นี ไชแอนด์ จอห์นสัน ตัวจริงขณะเดินทางถึงศาล[/caption]
มีฉากหนึ่งในภาพยนตร์ที่เอ็ด วอร์เรน ต้องเกลี้ยกล่อมทนายของอาร์นีให้เชื่อว่า อาร์นีถูกปีศาจเข้าสิงจริง ซึ่งแน่นอนว่าทนายย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่เอ็ดก็ได้แย้งว่า ‘The courts have dealt with the existence of God’ ศาลเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า แต่ศาลกลับไม่เชื่อว่าปีศาจมีอยู่จริง สองสามีภรรยาจึงขอรับหน้าที่พิสูจน์สิ่งนี้
“เย็นนี้ผมอยากชวนคุณมาที่บ้าน เราจะพิสูจน์ให้คุณเห็น และแนะนำคุณให้รู้จักกับแอนนาเบล”
เมื่อถึงเวลาขึ้นศาล ทนายคนเดิมว่าความด้วยสีหน้าที่ยังไม่หายตื่นตระหนกจาก ‘อะไรบางอย่าง’ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็น ‘แอนนาเบล’ หรือ ‘ของที่ระลึก’ สักชิ้นในห้องสะสมวัตถุทางวิญญาณของเอ็ดและลอร์เรนที่ปัจจุบันยังคงจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ออคคัลท์ (Occult Museum) ของพวกเขา
เรื่องราวในภาพยนตร์ภาค 3 ของ The Conjuring ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายความหลอนของจักรวาลผีอันยิ่งใหญ่ แต่สำหรับสาวกบางคนอาจจะรู้สึกว่าภาพยนตร์ยังไปไม่สุด หรือน่ากลัวไม่พอ ด้วยความที่ในครั้งนี้แฟ้มคดีของวอร์เรนไม่ได้เกิดจากฝีมือของปีศาจที่มาจากขุมนรกด้วยตนเองเหมือนเช่นเคย แต่พวกมันถูก ‘เชิญมา’ ด้วยฝีมือของผู้ใช้ศาสตร์มืด (ที่ไม่เกี่ยวกับแฮร์รี พอตเตอร์) ประกอบกับผู้กำกับชาเวสได้ใส่อุปสรรคแนวใหม่เข้าไป ทำให้เรื่องตื่นเต้น แต่ก็ลดทอนความน่ากลัวไปพอสมควร
[caption id="attachment_37628" align="alignnone" width="996"]
เอ็ด และลอร์เรน วอร์เรน ในฉบับภาพยนตร์[/caption]
ยิ่งใหญ่เกือบเท่าเดิม เพิ่มเติมคือลุ้นไปอีกแบบ
อย่างที่ทราบกันดีว่าเอ็ด (รับบทโดย แพทริก วิลสัน - Patrick Wilson) และ ลอร์เรน วอร์เรน (รับบทโดย เวรา ฟาร์มิกา - Vera Farmiga) มีความสามารถในการปราบปีศาจกันอยู่แล้ว ทั้งลอร์เรนยังมีสัมผัสพิเศษที่ช่วยให้งานของพวกเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ประกอบกับผู้ชมรู้สึกผูกพันกับตัวละครทั้งสองที่เจมส์ วานสร้างขึ้นมาได้อย่างมีมิติ ทำให้ผู้กำกับคนใหม่อย่างชาเวสเลือกจะจับ ‘ความผูกพัน’ ของทั้งคู่ขึ้นมาบีบคั้นสถานการณ์ และอัดความรักอันลึกซึ้งของสองสามีภรรยาลงไปในเนื้อเรื่อง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทำให้เอ็ดเป็นโรคหัวใจ เพื่อที่ทั้งสองจะได้สืบคดียากขึ้นไปอีก เรียกได้ว่า นอกจากคนดูจะต้องลุ้นกับการผลุบ ๆ โผล่ ๆ ของปีศาจและผู้ใช้คุณไสยแล้ว ยังต้องลุ้นอีกว่าเอ็ดจะหัวใจวายตอนไหน
เรื่องลี้ลับคือเสน่ห์ของจักรวาล Conjuring แต่สำหรับภาคนี้ความลี้ลับนั้นถูกสร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ทำให้เราเห็น ‘ผี’ หรือ ‘ปีศาจ’ แบบเป็นตัวเป็นตนน้อยกว่าสองภาคแรก แถมคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องยังมาไวไปง่าย จนสิ่งที่คนดูน่าจะลุ้นที่สุดคือกลัวว่าเอ็ดจะตาย เพราะลืมเอายาโรคหัวใจไปมากกว่า
ด้วยความที่ The Conjuring ภาค 2 และภาค 3 ห่างกันถึง 5 ปี ทำให้ผู้ชมหลายคน ‘คิดถึง’ บรรยากาศความน่ากลัวที่รายล้อมสองสามีภรรยาคู่นี้อยู่ตลอด และภาพยนตร์ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังมากนักในการนำ ‘ของเก่า’ กลับมาให้พอได้เห็นหน้าค่าตา ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ‘วาลัค’ ปีศาจที่สวมอาภรณ์ของนักบุญ หรือฉากในห้องเก็บวัตถุทางวิญญาณในบ้านของวอร์เรนที่เห็นแล้วแอบคิดถึงเบา ๆ ยังไม่นับการเรียกชื่อ ‘แอนนาเบล’ ในตอนต้นที่แค่ได้ยินชื่อก็อยากจะย้อนกลับไปดูวีรกรรมของวิญญาณตนนี้อีกครั้ง แต่การไม่นำของเดิมกลับมาก็เป็นความตั้งใจของผู้กำกับเช่นกัน ชาเวสบอกว่าทุกอย่างจะเป็นสิ่งใหม่หมด แม้กระทั่งตัวร้ายของเรื่องก็มาในแบบที่แตกต่างไปจากเดิมเช่นกัน
เมื่อชาเวสหาแนวทางทำให้หนังของเขาไม่เหมือนเดิม เรื่องราวความรัก ความผูกพัน และความสัมพันธ์ จึงถูกยกขึ้นมาเล่ามากขึ้น แต่การเน้นหนักเรื่องเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม ในแง่หนึ่ง คนดูสามารถรับรู้ความรู้สึกและเอาใจช่วยเอ็ดและลอร์เรนได้มากขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากให้ตัวละครที่ตนเองรักต้องจากไป โดยเฉพาะการจากไปด้วยโรคไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับงานของทั้งสอง (อย่างตอนที่เอ็ดเกือบตกจากหน้าต่างและถูกไม้เสียบใน The Conjuring 2 ดูจะลุ้นได้สนุกกว่าเยอะ)
ส่วนอีกแง่หนึ่ง การเล่นเรื่องความสัมพันธ์กลับกลายเป็นตัวขัดความหลอน และทำให้เรื่องของปีศาจที่คนดูคาดหวังไม่ได้ออกโรงเต็มที่ อย่างไรก็ตาม Conjuring ที่เจมส์ วานเชื่อมโลกวิญญาณเข้ากับโลกของคนเป็นก็ยังคงเสน่ห์ของมันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความลี้ลับ ความลุ้นระทึก และความจริงที่ถูกสอดแทรกในภาพยนตร์ทั้งแฟ้มคดี เหตุการณ์ ผู้คน รวมถึงความรักอันบริสุทธิ์ใจของเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน ซึ่งอนุสรณ์ความรักและความเคารพที่ทีมผู้สร้างมอบให้แก่ลอร์เรนผู้จากไปในปี 2016 ก็ได้ปรากฏอยู่ในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เช่นกัน
สิ้นสุดตำนานมือปราบผี
เอ็ดและลอร์เรนนิยามตัวเองว่าเป็นนักปีศาจวิทยา แต่เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ และมีผู้คนต้องเดือดร้อนจากสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านั้น สองสามีภรรยาก็พร้อมจะรับหน้าที่นักปราบผีเพื่อคืนความสุขและความสบายใจให้แก่ประชาชน
เอ็ดและลอร์เรน ไม่ว่าจะเป็นในภาพยนตร์หรือในชีวิตจริงก็มักจะมาคู่กันอยู่เสมอ พวกเขาพบกันที่โรงละคร เดอะ โคโลเนียล ในเมืองบริดจ์พอร์ต เมืองเกิดของทั้งคู่ ก่อนจะแต่งงานกันในปี 1945 และมีลูกสาวชื่อว่า ‘จูดี วอร์เรน’ (Judy Warren) ในปี 1951 (ใช่แล้ว เธอคือเด็กสาวที่เกือบถูกแอนนาเบลฆ่าในภาพยนตร์ และต้องเผชิญกับความหลอนในบ้านของตนเองอยู่ตลอด)
[caption id="attachment_37632" align="aligncenter" width="987"]
เอ็ด และลอร์เรน วอร์เรน ตัวจริง[/caption]
หลังจากสองสามีภรรยาเดินทางช่วยเหลือผู้คนกว่า 10,000 เคส แฟ้มคดีของพวกเขาก็ได้ถูกผู้กำกับหลายคน รวมถึงเจมส์ วานหยิบยกขึ้นมาทำเป็นภาพยนตร์ชื่อก้องโลก แต่นอกจากความมุ่งมั่นในสายงานและการช่วยผู้คนของทั้งสองจะมั่นคงผ่านกาลเวลามากว่า 60 ปี เรื่องราวความรักของพวกเขาก็ถือเป็นตำนานอันน่าจดจำที่จะเปล่งประกายอยู่ท่ามกลางความดำมืดของโลกพิศวงเช่นกัน
เอ็ด (ตัวจริง) จากโลกไปตั้งแต่ปี 2006 ด้วยวัย 79 ปี แต่ลอร์เรนยังคงเดินทางให้ความรู้ผ่านการเลคเชอร์เรื่องสิ่งลี้ลับไปทั่วประเทศ เธอมีส่วนอย่างยิ่งในการทำให้จักรวาล Conjuring ของเจมส์ วานประสบความสำเร็จ รวมไปถึงเป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบที่น่าเคารพของนักแสดงอย่าง เวรา ฟาร์มิกา ซึ่งใช้เวลาอยู่กับลอร์เรนระหว่างการถ่ายทำเสมอ
[caption id="attachment_37618" align="aligncenter" width="557"]
ลอร์เรน วอร์เรน และเวรา ฟาร์มิกา ในงานเปิดรอบปฐมทัศน์ The Conjuring 2[/caption]
ขณะที่เวราเรียนรู้การพูด การเดิน การแต่งกาย และบุคลิกของลอร์เรนจากลอร์เรนตัวจริงใน Conjuring 2 ภาคแรก ผู้กำกับชาเวสได้เล่าว่า เขารู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้พบกับลอร์เรน เนื่องจากเธอเสียชีวิตไปในปี 2019 ก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มถ่ายทำ
“เราคิดถึงเธอมาก ตอนนั้นเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่กำลังป่วย ผมอยากพบเธอจริง ๆ ทั้งในฐานะแฟนคลับ และเพื่อให้เธอบอกเล่าเรื่องราวที่ถูกต้อง เราอยากฟังสิ่งที่เธอจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
แต่อย่างไรก็ตามชาเวสบอกว่า เขาเหมือนได้เห็นลอร์เรนผ่านตัวเวรา จากการสนทนาระหว่างผู้กำกับและนักแสดง จึงนำมาซึ่งซีนสุดท้ายของเรื่องที่เอ็ดพาลอร์เรนเข้าไปในสวนของพวกเขา เพื่อโชว์ ‘ศาลา’ ให้เธอดู โดยศาลาแห่งนี้ถือเป็นอนุสรณ์ความรักของทั้งคู่ และเป็นการแสดงความเคารพที่ทีมงานมอบให้แก่ลอร์เรนที่เพิ่งจากไป
[caption id="attachment_37617" align="aligncenter" width="979"]
ลอร์เรน วอร์เรน และเวรา ฟาร์มิกาในศาลาของครอบครัววอร์เรน[/caption]
“ระหว่างการถ่ายทำ เวราใช้เวลามากมายไปกับลอร์เรน แล้วเธอก็มาเล่าให้ผมฟัง ซึ่งศาลามีส่วนในภาพยนตร์เรื่องนี้ มันอาจจะเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ก็จริง แต่มันมีความหมายสำหรับครอบครัววอร์เรน
“มันมาจากศาลาที่พวกเขาสร้างที่สวนหลังบ้าน มีภาพที่เวรานั่งอยู่กับลอร์เรนที่นั่น ซึ่งมันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อพวกคุณได้รับชมภาพยนตร์ ด้านข้างยังมีหินที่เอ็ดสลักข้อความถึงลอร์เรนด้วย มันงดงามมาก”
แม้วันนี้ตำนานนักปราบผีชื่อดังอย่างเอ็ด และลอร์เรน วอร์เรน จะหมดลมหายใจไปแล้ว แต่ความสุขและความสงบของผู้คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขาจะยังคงอยู่ รวมถึงเรื่องราวของพวกเขาจะยังคงถูกพูดถึงไปตราบนานเท่านาน
ติดตาม Instagram ของ The People ได้ที่ https://www.instagram.com/thepeoplecoofficial/
เรื่อง: วโรดม เตชศรีสุธี
ภาพ:
Photo by Bettmann Archive/Getty Images
Photo by Todd Williamson/Getty Images
https://www.imdb.com/title/tt7069210/
Twitter @VeraFarmiga
อ้างอิง:
https://www.ctpost.com/projects/2021/visuals/ed-lorraine-warren/
https://www.esquire.com/entertainment/movies/a36634853/true-story-the-conjuring-the-devil-made-me-do-it/
https://www.digitalspy.com/movies/a36529802/conjuring-3-true-story-arne-johnson-now/
https://archives.law.virginia.edu/dengrove/trials/demon-murder
https://www.nytimes.com/1981/03/23/nyregion/defendant-in-a-murder-puts-the-devil-on-trial.html
https://www.courant.com/news/connecticut/hc-news-connecticut-conjuring-ed-lorraine-warren-20210602-lfbiyfpsavfudp7yzid4x6tiua-story.html
https://www.digitalspy.com/movies/a36555422/the-conjuring-3-ending-explained-the-occultist-arne-johnson/
https://www.digitalspy.com/movies/a36430717/conjuring-3-lorraine-warren-tribute/
https://www.digitalspy.com/movies/a36379142/the-conjuring-3-no-character-returns/
https://www.historyvshollywood.com/reelfaces/conjuring.php
https://www.connecticutmag.com/from_the_archives/from-the-archives-ed-and-lorraine-warren-of-the-conjuring-have-a-long-history-of/article_138e51f4-4e1d-5d65-9803-6bcd28c721dd.html