“เรื่องนี้เกี่ยวกับอำนาจและการควบคุม เต็มไปด้วยแผนสมรู้ร่วมคิดและข่าวลือ และไม่เคยมีใครยอมพูด จนกระทั่งตอนนี้” - อีริน ลี คาร์, ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี ‘Britney Vs. Spears’
ผ่านการสัมภาษณ์บุคคลแวดล้อมในเรื่องเศร้าของเด็กสาวฉายา ‘Lucky’ ที่มีเพลงฮิตนับไม่ถ้วน ‘Britney Vs. Spears’ คือสารคดีความยาวชั่วโมงครึ่งที่ประกอบไปด้วยถ้อยคำสัมภาษณ์จากบุคคลแวดล้อมหลายราย โดยมีไฮไลต์เป็นเอกสารที่ถูกเคลมว่าลับจากแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม เอกสารนั้นไม่เคยเปิดเผย และมีแค่ไม่กี่คนที่เคยได้อ่าน
**บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์สารคดี ‘Britney Vs. Spears’
อเมริกันสวีตฮาร์ต
‘Britney Vs. Spears’ เริ่มต้นด้วยความสำเร็จของเด็กสาววัยสิบหกปี เธอร้องเพลงเพราะ เต้นเก่งสดใส มั่นใจ มีเสน่ห์เมื่อยืนบนเวที เธอกลายเป็น ‘อเมริกันสวีตฮาร์ต’ ที่พุ่งขึ้นงดงามเหมือนดอกไม้ไฟ เธอกลายเป็นดาวเด่น โด่งดังไปทั่วโลก จนกระทั่งเรื่องราวแสนสุขในหนังกลับตาลปัตรหลังจากคำว่า ‘และทันใดนั้น’
สารคดีเล่ารวบรัดถึงความรักระหว่างบริทนีย์และนักเต้นแบ็กอัพ ‘เควิน เฟเดอร์ไลน์’ ที่ลงท้ายด้วยการฟ้องหย่าและต่อสู้เพื่อชิงสิทธิ์เลี้ยงดูลูก ข่าวคึกโครมของการหย่าร้างทำให้ชีวิตคนดังของบริทนีย์ถูกปั่นป่วนโดยปาปารัสซี ฝูงคนถือกล้องมากมายตามเธอไปทุกที่ หลายคนสร้างความเครียดและรำคาญใจให้เธอ แต่ก็มีบางคนที่เป็นเพื่อน - ‘อัดนัน กาลิบ’ เป็นหนึ่งในปาปารัสซีที่บริทนีย์ผูกมิตรเพราะเขาช่วยเธอเติมน้ำมันรถ ทั้งคู่เริ่มความสัมพันธ์กันอย่างเรียบง่าย แต่ผู้คนลงความเห็นว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม เพราะบริทนีย์คือดาราที่เพียบพร้อม ส่วนเขาคือคนธรรมดา
“ที่ผมเห็นชัด ๆ ระหว่างคดีหย่ากับเควิน คือเธอไม่มีคนที่ไว้ใจได้เลย แม่ก็ไม่ได้ พ่อก็ไม่ เพื่อนก็ไม่ น้องสาวก็ไม่ เธอไม่มีใครสักคน” อัดนันเล่า
คำบอกเล่าดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงปัญหาภายในบ้านสเปียร์สที่คงจะกินเวลาเนิ่นนานมากกว่าการรับรู้ของผู้คน ปัญหาเหล่านั้นส่งผลกระทบกับบริทนีย์ เช่นเดียวกับปัญหาหย่าร้างที่แทบทำให้เธอเสียสูญ ห้วงขณะแห่งอาการ ‘mental breakdown’ เหล่านั้นทำให้สื่อหัวกอสซิปตาวาว ความกระหายข่าวของฝูงคนที่ลงทุนกระทั่งขับรถตามบริทนีย์ไปทุกที่เพื่อเก็บภาพของเธอเป็นแรงกดดันครั้งใหญ่ที่ทำให้สภาพจิตใจของเธอแย่ลง
พ่อผู้(ไม่เคย)พิทักษ์
สื่อหลายต่อหลายเจ้าเริ่มลงข่าวว่าเธอ ‘บ้า’ เธอกลายเป็นข่าวหราในฐานะนักร้องสาว ‘สติหลุด’ และ ‘ตกต่ำสุดขีด’ อยู่ร่วมปีและคำกล่าวนั้นก็ดูจะถูกโหมกระพือให้จริงในการรับรู้ของสาธารณชนมากขึ้นเมื่อบริทนีย์ต้องเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาล
สุดท้ายแล้ว ปี 2008 ศาลตัดสินให้เฟเดอร์ไลน์เป็นผู้ปกครองบุตรชายทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว ครอบครัวสเปียร์สส่งบริทนีย์เข้ารับการบำบัดอีกครั้ง ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน ‘เจมี สเปียร์ส’ พ่อของบริทนีย์ก็ได้กลับเข้ามามีบทบาทในชีวิตลูกสาวอีกครั้ง หลังจากการหย่าร้างกับลินน์เมื่อปี 2002 และไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวกับภรรยาและบริทนีย์นักในช่วงเวลาที่ผ่าน
1 กุมภาพันธ์ 2008 ศาลสั่งให้บริทนีย์อยู่ภายใต้การพิทักษ์ผลประโยชน์ชั่วคราว โดยมีเจมี สเปียร์ส พ่อของเธอเองเป็นผู้พิทักษ์ ที่ต้องพิทักษ์ผลประโยชน์ของบริทนีย์ร่วมกับทนายที่ศาลแต่งตั้งอย่าง ‘แอนดรูว์ วอลเล็ต’
‘การพิทักษ์ผลประโยชน์คือขั้นตอนทางกฎหมายที่จะยึดศักยภาพของใครสักคน ไม่ให้ตัดสินใจด้วยตนเอง และมอบการตัดสินใจให้บุคคลที่สามหรือก็คือผู้พิทักษ์ บางคนบอกว่าการพิทักษ์ผลประโยชน์มีผลเทียบเท่าการตายโดยนิตินัย’ คือคำกล่าวของ ‘โทนี ซิโคเทล’ ทนายความพิทักษ์สิทธิ์
โทนียังกล่าวอีกว่าโดยมากตำแหน่งผู้พิทักษ์จะถูกตัดสินให้มีก็ต่อเมื่อบุคคลดังกล่าวไม่สามารถทำงานได้ ตรงกันข้ามกับไทม์ไลน์ชีวิตของบริทนีย์ในช่วงนั้นที่เธอยังทำงานตามปกติ อัลบั้ม ‘Blackout’ ของเธอขายดีเป็นเทน้ำเทท่า อีกทั้งเธอยังกำลังถ่ายทำหนังเรื่อง ‘How I Met Your Mother’ อยู่ แต่เอกสารเกี่ยวกับอาการป่วยของบริทนีย์ที่นำไปสู่การแต่งตั้งครั้งสำคัญนั้นกลับระบุว่าเธอ ‘ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม’
ความไม่ชอบมาพากลอีกประการก็คือบริทนีย์ไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้าว่าเธอกำลังจะไร้สิทธิ์ในชีวิตตนเอง ทั้งที่ตามกฎหมายระบุว่าเมื่อมีการบังคับพิทักษ์ผลประโยชน์ในบุคคล บุคคลดังกล่าวจะมีสิทธิ์รู้ล่วงหน้า 5 วัน เพื่อจัดหาทนายถ้าหากว่าต้องการคัดค้าน
บริทนีย์ไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
ที่เป็นดังนั้นก็เพราะ ‘แซม ลัตฟี’ ผู้จัดการคนสุดท้ายก่อนที่บริทนีย์จะถูกพรากอิสรภาพไปถูกครอบครัวสเปียร์สมองว่าเป็นตัวอันตราย ฟุตเทจในภาพยนตร์ฉายภาพบริทนีย์ที่ระเบิดอารมณ์ ไล่แซมลงจากรถแล้วบอกว่าเธอจะขับเองเพราะกลัวเขาทิ้งเธอไว้กลางทาง ขณะที่ผู้ร่วมเขียนชีวประวัติของลินน์เล่าว่าครอบครัวสเปียร์สทำแบบนั้นเพื่อปกป้องบริทนีย์จากแซม และยังเล่าว่า “เขาบดยาใส่อาหารให้เธอกิน”
แซม ลัตฟีปฏิเสธเรื่องนี้ และบอกว่า “ถ้ามีคนโดนข้อหาที่แรงขนาดนี้ ถ้ามีคนวางยาคนที่ดังที่สุดในโลก เราต้องแจ้งตำรวจ ไม่ใช่ไปแจ้งนิตยสาร”
ชีวิตที่ไร้ชีวิต
หลังจากเธอถูกพรากสิทธิ์ไปโดยสมบูรณ์ บริทนีย์พยายามต่อสู้โดยมีอัดนันคอยช่วยเหลือ พวกเขาทั้งคู่ขับรถฝ่าดงนักข่าวไปพบทนาย แต่เมื่อ ‘อดัม สไตรแซนด์’ รับบริทนีย์เป็นลูกความและถึงวันขึ้นศาล กลับได้รับคำแจ้งว่าบริทนีย์ต้องใช้ทนายความอาสาที่ศาลจัดหาให้เท่านั้น - ศาลแต่งตั้ง ‘แซม อิงแฮม’ ขึ้นเป็นทนายความของบริทนีย์แทน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ย่ำแย่ไปกว่าเดิม
ชีวิตของบริทนีย์หลังจากนั้นแทบจะไร้อิสระอย่างสิ้นเชิง เธอทำงาน ทำสารคดี ออกอัลบั้ม และทัวร์คอนเสิร์ตสร้างรายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี โดยได้รับเงินเดือนจากพ่อแค่เดือนละแปดพันดอลลาร์
‘แอนดรูว์ แกลเลอรี’ เพื่อนเก่าของบริทนีย์ที่เป็นช่างภาพระหว่างถ่ายทำสารคดี ‘For The Road’ เล่าเรื่องราวระหว่างถ่ายทำว่าบริทนีย์ดูมีความสุขมากกับอิสระสั้น ๆ ที่เธอได้ขับรถเอง
“มันดีจริง ๆ ที่เธอได้ขับรถเอง เปิดประทุน และสัมผัสอิสระสักครู่หนึ่ง แต่อีกด้านผมก็คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ ที่เรา 30 คนต้องจัดเตรียมทั้งหมดนี้ เพื่อให้เธอได้รู้สึกเป็นอิสระสัก 30 นาที”
แอนดรูว์ แกลเลอรีเล่าว่าเขาคบหากับบริทนีย์อย่างเพื่อน พวกเขาทั้งคู่สนิทสนมกันจนกระทั่งเธอขอร้องให้เขาเผยแพร่จดหมายหนึ่งฉบับต่อสาธารณะ เป็นจดหมายโต้กลับบทความที่เฟเดอไลน์ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเธอ - แอนดรูว์ยังไม่ทันได้อ่านจดหมายนั้นออกทีวีอย่างที่ตั้งใจ สองวันถัดมา จดหมายฉบับดังกล่าวก็ถูกฝั่งผู้พิทักษ์ยึดไป
“ผมรู้สึกเสียใจกับเธอเสมอ เสียใจกับโลกที่เธออยู่และต้องเผชิญ โลกที่เมื่อเธอยื่นจดหมายให้ผม ก็มีสัญญาณเตือนไฟไหม้ครั้งใหญ่ดังขึ้น”
เหตุการณ์นั้นจบลงที่ชายหนุ่มโดนปลดจากกองถ่าย ความสัมพันธ์อย่างคนสนิทของพวกเขาทั้งคู่ก็ต้องยุติตามไปด้วย
สารคดีเรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าบริทนีย์พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะเป็นอิสระจากกรงที่พ่อของเธอสร้างขึ้นโดยอ้างความห่วงใย อ้างว่าเขากำลังปกป้องสิทธิของเธอ ปกป้องเงินของเธอ หลายครั้งคำกล่าวอ้างว่าจะปกป้องกลับกลายเป็นคำขู่ ด้วยคำพูดที่ว่าเขาจะไม่ให้เธอเจอหน้าลูกอีกเลย หากว่าเธอไม่เชื่อฟัง
บริทนีย์พยายามขอความช่วยเหลือ พยายามติดต่อทนาย พยายามขอความเห็นใจจากศาลนับตั้งแต่ปีแรก ๆ ระหว่างนั้นมีหลายคน (ที่โดยมากได้ให้คำสัมภาษณ์กับภาพยนตร์) พยายามช่วยเหลือเธอ แต่ไม่มีครั้งไหนที่พวกเขาทำได้สมความตั้งใจ เรื่องราวมากมายไหลผ่านช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงสามสิบสามนาที โดยมีตัวอักษรจาก ‘เอกสารลับ’ คอยบอกเล่าว่าทำไม ความพยายามของเธอแต่ละครั้งถึงไม่เคยสำเร็จได้เลย
จนกระทั่งปี 2021 เป็นเวลาสิบสามปี กว่าที่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีจะเริ่มงอกเงย
อิสรภาพในรอบสิบสามปี
หลังจากที่วันที่ 23 มิถุนายน 2021 ที่คำให้การในชั้นศาลของบริทนีย์ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกออนไลน์ แลร์รี รูดอลฟ์ ผู้จัดการที่บริทนีย์ให้การว่าบังคับให้เธอทัวร์คอนเสิร์ตปี 2018 และ แซม อิงแฮม ทนายความของเธอได้ชิงลาออกไป ก่อนที่ปลายเดือนกันยายน 2021 ศาลจึงพิพากษาถอดถอน ‘เจมี สเปียร์ส’ (Jamie Spears) จากตำแหน่ง ‘ผู้พิทักษ์’ ของบริทนีย์ในที่สุด คำตัดสินนั้นราวกับการคืนอิสรภาพสู่บริทนีย์ สเปียร์ส หลังจากที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมันมานานแสนนาน
แม้ผู้เขียนไม่อาจบอกได้ว่าการต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้ สมชื่อสารคดี ‘Britney Vs. Spears’ นั้นเดินทางมาถึงฉากสุดท้ายแล้วหรือยัง แต่ก็มีความหวังอย่างจริงใจ ที่อยากให้ชีวิตต่อจากนี้ บริทนีย์ได้เป็นบริทนีย์อย่างที่เธอต้องการจริง ๆ เสียที