read
thought
24 ต.ค. 2564 | 23:23 น.
Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings: จากเด็กชายที่ครอบครัวพัง สู่ฮีโร่กำลังภายในผู้เรียกสติวายร้ายคลั่งรัก
Play
Loading...
/ บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของเรื่อง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings (2021) /
‘Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings’ (2021) ถือเป็นภาพยนตร์ที่ใครต่างก็รอคอย เพราะเราจะได้เห็นฮีโร่เอเชียคนแรกปรากฏตัวในจักรวาล ‘มาร์เวล’ แถม ‘ซีมู หลิว’ (Simu Liu) ชายผู้รับบท ‘ชางชี’ ยังเป็นคนที่ใครต่างก็ยอมรับว่า ‘เหมาะสม’ กับบทนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการบู๊ และการเป็นตัวแทนหยุดความเกลียดชังต่อคนเอเชีย ซึ่งบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้มีส่วนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเขาเป็นอย่างดี
ด้านความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ ทั้งฉาก แสง สี เสียง CG และนักแสดง ยังคงจัดเต็มและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพตามแบบฉบับภาพยนตร์มาร์เวลภายใต้การกำกับของ ‘เดสติน แดเนียล เคร็ตตัน’ (Destin Daniel Cretton) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องชางชีจะถูกเชื่อมเข้ากับจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องก่อน ๆ ผ่านตัวร้ายคือ ‘เดอะ แมนดาริน’ ตัวจริง
สาเหตุที่บอกว่าเป็นตัวจริงก็เพราะในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man (2008) และ Iron Man 2 (2010) รวมไปถึง Ant-Man (2015) มีการพูดถึงเดอะ แมนดาริน และองค์กรเท็นริงส์ของเขา ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 3 (2013) จะเฉลยว่าเดอะ แมนดาริน ที่รับบทโดย ‘เบน คิงสลีย์’ (Ben Kingsley) เป็นเพียงนักแสดงที่มีความสามารถในการตบตาคนทั้งโลกก็เท่านั้น ส่วนในเนื้อเรื่องของชางชี เราจะได้พบกับเดอะ แมนดาริน (รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย) ผู้ครอบครองเท็นริงส์ ‘ตัวจริง’ ในฐานะ ‘พ่อ’ บังเกิดเกล้าของชางชี
พ่อผู้สวมบทวายร้ายคลั่งรัก
เป็นครั้งแรกที่นักแสดงเจ้าบทบาทชาวฮ่องกงอย่าง ‘เหลียงเฉาเหว่ย’ (Tony Chiu-Wai Leung) ในวัย 59 ปีได้ก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูด ซึ่งบอกเลยว่าการปรากฏตัวครั้งนี้ ‘คุ้มค่าแก่การรอคอย’ เพราะทั้งตัวบทและความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ของเหลียงเฉาเหว่ยถือว่าสมบูรณ์แบบสมกับประสบการณ์ทั้งชีวิตที่เขาสั่งสมมา
เหลียงเฉาเหว่ยได้รับบทเป็นวายร้ายของเรื่องอย่างเดอะ แมนดาริน ที่มีชื่อจริงว่า ‘เหวินหวู่’ เขาคือจอมทัพไร้พ่ายผู้ครอบครองอาวุธทรงอานุภาพที่เรียกว่า ‘เท็นริงส์’ โดยผู้ที่ครอบครองเท็นริงส์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันแก่ นั่นทำให้เหวินหวู่มีอายุยืนยาวกว่าพันปี เขาผ่านร้อนผ่านหนาวโดยใช้พลังของตนเองในการแบ่งแยก และแก่งแย่งดินแดน ทั้งยังรวมอำนาจมาสร้างอาณาจักรเท็นริงส์จนยิ่งใหญ่ถึงยุคปัจจุบัน เรียกว่าเหวินหวู่คือเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลและอยู่เหนือกาลเวลาเสมอมา
เมื่อเหวินหวู่แข็งแกร่งจนทั้งโลกไม่มีอะไรให้พิชิต เขาจึงเริ่มขยายอำนาจของตนเองไปยังดินแดนในตำนานอย่าง ‘หมู่บ้านถาโหล’ สถานที่สถิตของเหล่าสัตว์วิเศษและเวทมนตร์ จนได้พบกับแม่ของลูกอย่าง ‘หลี่’ (รับบทโดย ฟาลา เฉิน - Fala Chen) หญิงสาวจากถาโหลผู้ชำนาญเพลงมวยจนเอาชนะจอมทัพแห่งโลกมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
นั่นคือครั้งแรกที่เหวินหวู่ได้พบกับ ‘เหตุผล’ ของการยอมแก่เฒ่า เขามีความสุขกับครอบครัวของตนเป็นอย่างมาก และมากถึงขั้นยอมวางมือจาก ‘เท็นริงส์’ และเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคุณพ่อแสนดีของลูกน้อยอย่าง ชางชี และ ‘เซี่ยหลิง’ (รับบทโดย จางเหมิงเอ๋อ - Meng’er Zhang) แต่ความสุขของเขากลับอยู่ไม่นานนัก ภรรยาผู้นำโลกทั้งใบของเหวินหวู่กลับเข้าที่เข้าทางได้เสียชีวิตลง
จากชายผู้ตั้งใจเปลี่ยนแปลงตนเองและหันหลังให้กับความชั่วร้าย เหวินหวู่ต้องเผชิญกับความสูญเสียที่มากเกินกว่าจะรับไหว เขาเปลี่ยนลูกของตัวเองเป็นนักฆ่า และหยิบเท็นริงส์กลับมาขยายอำนาจอีกครั้ง แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับชมเรื่องราวของเหวินหวู่ พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า ชายคนนี้ไม่ได้จมลงสู่ความชั่วร้ายโดยสมบูรณ์ เขาไม่ได้เป็นตัวละครที่แบนราบไร้มิติ หากแต่มีความรู้สึกอ่อนไหวและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
เหวินหวู่คือชายผู้น่าสงสารที่มีเพียงอำนาจเป็นของคู่กาย แต่ไร้คนคู่ใจ กระทั่งได้พบคู่ชีวิตก็ต้องมาเสียเธอไปจากผลของการกระทำในอดีต ใครหลายคนคงจะเคยได้ยินประโยคทำนองว่า ‘รักมากก็เจ็บมาก’ สำหรับเหวินหวู่คงเป็นเรื่องจริง เขาเจ็บปวดและทรมานจากความรักอันบริสุทธิ์และความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่ไม่ได้ผลตามต้องการ
แต่อาจเพราะชายคนนี้ไม่เคยต้องนึกถึงการมอบความรักให้ใครมาตั้งแต่ต้น เขาจึงไม่รู้วิธีมอบความรักที่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าเขาจะเป็นที่พึ่งให้กับลูกได้อย่างไร เขาไม่รู้แม้กระทั่งวิธีรักตนเองด้วยซ้ำ เพราะเหตุนี้ เขาจึงยังโทษว่าเป็นความผิดของเขาอยู่เสมอ เมื่อไม่อาจปล่อยวางอดีต เขาจึงไม่เดินหน้าไปไหน ทุกขณะจิตของเหวินหวู่ยังว้าวุ่นและยึดติดกับภรรยาจนเขากลายเป็น ‘เครื่องมือของปีศาจ’ ที่เข้าครอบงำจิตใจอันอ่อนแอ
เรื่องราวของชางชีทั้งหมดเริ่มต้นจากความรักอันล้นหลามของเหวินหวู่ที่มีให้กับหลี่ ชายคนนี้ทำลายโลกทั้งใบได้เพื่อเธอ และเขาเกือบจะทำสำเร็จแล้ว กระทั่งลูกชายอย่างชางชีเข้ามาทำให้เขาตาสว่างอีกครั้ง
“ตอนแม่จากไป เราต้องการพ่อ”
ชางชีผู้เป็นลูกชายหนีออกจากบ้านไปนานนับสิบปี นั่นก็เพราะผู้เป็นพ่อเปลี่ยนไป และบ้านก็ไม่ใช่บ้านอันอบอุ่นอีก
เหวินหวู่คือตัวร้ายที่มีความทรงจำและความเจ็บปวดอัดแน่นอยู่ในจิตใจ แต่ความคิดของเขาไม่ได้ซับซ้อนเกินกว่าคนดูจะเข้าใจ ยิ่งประกอบกับการแสดงอันละเอียด เก็บทุกสีหน้า แววตา และอารมณ์ของเหลียงเฉาเหว่ย ยิ่งทำให้ตัวละครนี้มีมิติ และสะกดคนดูได้อยู่ทุกวินาที ทั้งยังแอบเด่นกว่าซีมู หลิวในหลายฉาก
หากตัดความอลังการของงานอิทธิฤทธิ์และความแฟนตาซีไป แท้จริงแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเพียงการต่อสู้กับ ‘ตนเอง’ เท่านั้น ในท้ายที่สุดพ่อผู้คลั่งรักก็สำนึกบาป และลูกชายก็เอาชนะปมในใจของตัวเองได้ นอกจากนี้ อาจเป็นเพราะเรื่องราวของชางชีตั้งอยู่บนวัฒนธรรมเอเชีย (จีน) เป็นหลัก ทำให้ประเด็น ‘ครอบครัว’ ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องอันดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าสถาบันหลักสถาบันแรกอย่างครอบครัวคือรากฐานสำคัญ ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหา ใครต่อใครก็มักวิ่งหาครอบครัวอยู่เสมอ แต่สำหรับชางชีและเซี่ยหลิง พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้ในช่วงชีวิตหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำให้ใครหลายคนได้ย้อนมองครอบครัวของตนเอง และตั้งคำถามว่า ‘ถ้าหากวันหนึ่งครอบครัวไม่ใช่ที่ที่สามารถพึ่งพาได้อีก พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป?’
ครอบครัวที่พึ่งที่ไม่ควรหักพัง
สิ่งที่เชื่อมโยงให้ผู้คนกลายเป็นครอบครัวอาจมีได้หลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือ ‘ความสัมพันธ์’ อันแน่นแฟ้นและน่าฉงน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ทางสายเลือด
ครอบครัวของชางชีพังทลายนับตั้งแต่แม่ของพวกเขาเสียชีวิต ชางชีหนีออกจากบ้านและทิ้งน้องสาวเอาไว้กับพ่อผู้ไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้ลูกสาวของตนเองเกี่ยวข้องกับอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของเขา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทำให้ครอบครัวไม่อบอุ่นอีกต่อไป
“ตอนแม่ตาย แกยืนอยู่หลบอยู่ที่หน้าต่าง ไม่ยอมเข้าไปช่วย”
เหวินหวู่โทษลูกชาย และโทษตนเองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ในยามที่ลูกทั้งสองต้องการที่พึ่งมากที่สุด เขากลับถอยห่างออกไปมากที่สุดเช่นกัน เมื่อเด็กทั้งสองไร้รังให้บินกลับ และไร้พ่อที่คอยให้ความอบอุ่น ชางชีและเซี่ยหลิงจึงเลือกหันหน้าเข้าสู่ทางเดินอันอ้างว้างของตนเอง
“ป้ายินดีต้อนรับหลานกลับบ้าน”
ได้ยินแบบนี้เป็นใครก็อุ่นใจ เพราะสำหรับใครหลายคน ‘ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าที่บ้าน’
ความหมายของประโยคนี้แตกต่างจากประโยคที่เหวินหวู่พูดอย่างชัดเจน ขณะที่พ่อบังเกิดเกล้าเลือกจะปล่อยลูกออกจากบ้าน และฉุดรั้งให้กลับมาโดยไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกต้องการอย่างแท้จริง พี่สาวของหลี่ หรือป้าของชางชี (รับบทโดย มิเชล โหย่ว - Michelle Yeoh) ผู้ไม่เคยเห็นหน้าหลานมาตลอดหลายสิบปีกลับต้อนรับคนแปลกหน้าที่มีความผูกพันทางสายเลือดกลับบ้านอย่างอบอุ่น ซึ่งนั่นคือความอบอุ่นในแบบที่ครอบครัวฝั่งเอเชียให้ความสำคัญ
เหตุการณ์นี้นับเป็นครั้งแรกที่ชางชีและเซี่ยหลิงได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของ ‘บ้าน’ และที่พึ่งพาทางจิตใจอย่าง ‘ครอบครัว’ นับตั้งแต่วันที่แม่เสียชีวิต พวกเขาไม่ได้ต้องการการปกป้องในวันที่ปีกกล้าขาแข็ง แต่อย่างน้อยก็ยังต้องการใครสักคนที่สามารถหันหน้าเข้าไปหา วิ่งเข้าไปกอด หรือเอนหลังพิงกายในวันที่เหนื่อยล้าได้ก็เท่านั้น
ภาพยนตร์เรื่องชางชีทำให้เราเห็นความหมายของครอบครัวที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าที่ใครหลายคนคิด แต่ขณะเดียวกันมันกลับง่ายที่จะทำความเข้าใจและเข้าถึงเช่นกัน ครอบครัวในฝันของคนทั่วโลกอาจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนคาดหวังคือ สถานที่ที่สามารถกลับไปพักกายพักใจได้เสมอ
แม้ในวันที่สมาชิกครอบครัวต่างแยกทาง เหวินหวู่หลงไปกับเสียงเพรียกหาของปีศาจจนเกือบทำลายโลกจนหมดสิ้น แต่ลูกชายอย่างชางชีกลับไม่เคยหมดหวังในตัวเขา กระทั่งวินาทีสุดท้ายมาถึง ผู้เป็นพ่อจึงเริ่มสำนึกบาป
ที่ผ่านมาด้วยความเป็นปัจเจกที่ซับซ้อน และเหตุผลส่วนบุคคลร้อยแปดพันอย่างทำให้ ‘ความรัก’ ของเหวินหวู่ไม่ได้รับการแสดงออกอย่างถูกต้อง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขา ‘ไม่รัก’ เช่นเดียวกับครอบครัวของเคทีที่ถึงแม้จะทะเลาะกันบนโต๊ะอาหารทุกเช้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวทิ้งได้ ‘ความสัมพันธ์’ ยังคงเป็นเรื่องที่น่าฉงน เพราะมันทำให้คนเชื่อมใจถึงกันได้อย่างน่าประหลาด และตัดไม่ขาดเสียที
นอกจากเรื่องของครอบครัวและความสัมพันธ์ที่ภาพยนตร์ให้น้ำหนักมากที่สุดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏเด่นชัดทั้งในแง่การเผยแพร่และเสียดสีก็คือวัฒนธรรมจีน
วัฒนธรรมจีนในหนังฮีโร่อเมริกัน
ชางชีคือฮีโร่กำลังภายในคนแรกของจักรวาลมาร์เวล เขาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ถูกเทรนโดยพ่อของตัวเองให้มีสกิลการต่อสู้ที่เป็นเลิศไม่ต่างจากนักฆ่า ในชีวิตจริงของซีมู หลิว เขามีความสามารถทั้งด้านยิมนาสติก เทควันโด และมวยหย่งชุน ซึ่ง ‘มวยจีน’ นี่แหละคือความงดงามของศิลปะการต่อสู้ที่สะกดสายตาคนดูได้ตั้งแต่เริ่มเรื่อง
เราจะได้เห็นท่าทางการรำมวยอันอ่อนช้อยแต่แข็งแกร่งของฟาลา เฉิน รวมไปถึงท่วงท่าอันสง่างามและทรงพลังของเหลียงเฉาเหว่ยและซีมู หลิวระหว่างการต่อสู้ ส่วนฉากและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมจีนก็อัดแน่นจนคิดว่ากำลังดู ‘มู่หลาน’ อยู่ในตอนต้น ก่อนจะจบด้วยหนังกำลังภายในในตอนท้าย แต่โดยรวมแล้วถือเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมจีนที่น่าสนใจท่ามกลางฉากใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา
สถานที่ที่ทำให้เราเห็นวัฒนธรรมจีนได้อย่างเด่นชัดคือบนโต๊ะอาหารของบ้านเคที ซึ่งเป็นครอบครัวชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมายังอเมริกา อาม่าของเคทีเป็นชาวจีนที่ยังคงพูดแต่ภาษาจีน และสานต่อทุกประเพณีอย่างเคร่งครัด เช่น ประเพณีเช็งเม้ง (พิธีไหว้บรรพบุรุษ) นอกจากนี้เธอยังถามชอน (ชื่ออเมริกันของชางชี) ว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานกับเคที ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นสิ่งที่คนดูชาวไทยคุ้นเคย เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งมักเป็นห่วงชีวิตแต่งงานของลูกหลาน เพราะมันหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในนิยามของพวกเขา
ท่ามกลางกระแสเสรีนิยมของอเมริกา ชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาใหม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ แต่ถึงอย่างนั้นแนวคิดเก่าหลายอย่างก็ยังถูกผูกติดมาด้วย ยกตัวอย่าง การให้ค่าคนจากอาชีพ แม่ของเคทีมีความคิดว่า อาชีพคนรับจ้างจอดรถนั้นเป็นอาชีพที่ง่ายและไม่มีเกียรติ เธอจึงไม่สนับสนุนให้เคทีทำงานแบบนี้นัก แต่ในทางกลับกัน นั่นคือความชอบและความถนัดของเธอ “ผมภูมิใจในตัวพี่ การถอยรถจอดมันยากมาก” น้องชายของเคทีเอ่ย แต่ไม่ว่าเขาจะประชดหรือพยายามให้กำลังใจ คำพูดของเขาก็เป็นการให้เกียรติความชอบของพี่สาว และทำให้เคทีมีกำลังใจมากขึ้น
ในประเด็นสุดท้าย ระหว่างที่โลกกำลังหมุนไปข้างหน้า เหวินหวู่ที่มีอายุมากว่าพันปีได้ถามลูกชายในวัยเด็กว่า “ลูกได้ฝึกภาษาอังกฤษบ้างหรือเปล่า?” ซึ่งชางชีก็ตอบว่าเขาฝึกอยู่เสมอ จากบทสนทนานี้ทำให้เราเห็นว่า แม้ร่างกายและอายุของเหวินหวู่จะหยุดอยู่กับที่ แต่สมองและความสามารถของเขากลับไม่เคยหยุดพัฒนา หรือมีศักยภาพที่ลดน้อยลงเลย
เหวินหวู่คือตัวแทนของคนที่ก้าวทันโลก แต่ในทางกลับกันก็ติดกับดักของโลกเช่นเดียวกัน หากต้องการก้าวต่อไปข้างหน้า สิ่งหนึ่งที่ควรทำคือการสลัดพันธนาการจากอดีตทิ้งไป แต่เหวินหวู่ทำไม่ได้ เขาหยุดอยู่กับที่และจมดิ่งไปกับความทรมาน เช่นเดียวกับครอบครัวของเคทีไม่อาจปล่อยวางความคิดที่ถูกสืบทอดมาจากแผ่นดินเอเชีย นี่คือสิ่งที่หยั่งรากลึกและยากที่จะต่อต้านก็จริง แต่สุดท้ายหากเราพร้อมจะยอมรับความเปลี่ยนแปลง และอยากที่จะรับความเปลี่ยนแปลง มนุษย์ก็ทำได้เช่นเดียวกัน และจะทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีใครสักคนอยู่เคียงข้างคอยสนับสนุน
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings นับเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ที่ครบรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอบอุ่นของครอบครัวที่ทำให้ใครหลายคนนึกถึงครอบครัวของตนเอง แต่ไม่ว่าความจริงนอกจอจะเป็นอย่างไร เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การมีครอบครัวอยู่เคียงข้าง คือสิ่งที่ทำให้หัวใจอบอุ่นและมีกำลังใจอยู่เสมอ
จงรักและอยู่เคียงข้างพวกเขาเหล่านั้นในวันที่มีโอกาส และจงอย่าหมดหวังที่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ใครสักคน เช่นเดียวกับที่ชางชีและหลี่ไม่เคยหมดหวังในตัวผู้เป็นพ่อและสามี แม้ผลลัพธ์จะบังเกิดช้าไปหลายสิบปีก็ตาม
เรื่อง: วโรดม เตชศรีสุธี
ภาพ:
https://www.imdb.com/title/tt9376612/
อ้างอิง:
ภาพยนตร์เรื่อง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings (2021)
https://www.gq.com/story/tony-leung-tries-his-hand-at-hollywood
https://www.imdb.com/title/tt9376612/fullcredits?ref_=tt_cl_sm
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
XG ประเดิมงาน Coachella 2025 พร้อมสร้างประวัติศาสตร์กับการเป็นศิลปินญี่ปุ่นเบอร์เดียวที่ได้ขึ้นโชว์
22 พ.ย. 2567
แฟนคลับกรี๊ด! “M2M” มาไทยแน่ปีหน้า ดีเดย์เปิดจองบัตรวันแรก 1 ธ.ค. 2567 นี้!!!
22 พ.ย. 2567
มอลลี่ แฟ็กทอรี่ สตูดิโอ ผนึกกำลัง สยามพารากอน และสยามเซ็นเตอร์ เปิดตัวคาแรคเตอร์ CryBunny และ CryTeddy
22 พ.ย. 2567
แท็กที่เกี่ยวข้อง
The People
Thought
เหลียงเฉาเหว่ย
Shang Chi
ชางชี
ซีมูหลิว
The Legend Of The Ten Rings