Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง

Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง
/ บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Dune (2021) / ดวงอาทิตย์ฉายแสงแผดเผาทุกสิ่งอย่างท่ามกลางผืนทรายสีทองกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา นั่นคือฉากหลังอันยิ่งใหญ่ที่จะได้เห็นกันในภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘Dune’ (2021) ที่ได้ผู้กำกับมือทองอย่าง ‘เดอนี วีลเนิฟว์’ (Denis Villeneuve) เจ้าของผลงาน ‘Arrival’ (2016) และ ‘Blade Runner 2049’ (2017) มาพาชาวโลกไปรู้จักกับการเมืองแห่งเนินทรายบนดาวที่มีชื่อว่า ‘อาร์ราคิส’ (Arrakis) หรือ ดูน (Dune) Dune เป็นหนังสือนวนิยายไซไฟเขียนโดย ‘แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต’ (Frank Herbert) นักเขียน นักข่าว ช่างภาพ และที่ปรึกษาด้านนิเวศวิทยาชาวอเมริกัน โดย Dune ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1965 หลังถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์กว่า 20 แห่ง จนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้มียอดขายกว่า 20 ล้านเล่มทั่วโลกแล้ว Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า เฮอร์เบิร์ตเป็นชายผู้มากความสามารถ และมีความสนใจในศาสตร์หลายแขนงทั้งนิเวศวิทยา สังคมวิทยา การเมือง ศาสนา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งสถานการณ์โลกในยุคนั้น ทำให้เขารวมเอาความสนใจทั้งหมดมาไว้ในนวนิยายขึ้นหิ้งอย่าง Dune ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับนวนิยายและภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘Star Wars’ (1977) ‘Star Trek’ (1966) หรือ ‘The Chronicles of Riddick’ (2004) จน Dune เองได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมแนววิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลกเช่นเดียวกับ ‘The Lord of the Rings’ ของ ‘เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน’ (J. R. R. Tolkien) [caption id="attachment_38011" align="aligncenter" width="1157"] Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต[/caption] เนื้อหาของ Dune (ฉบับย่อ) ว่าด้วยเรื่องของมนุษยชาติที่ถูกเหล่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์ปกครอง ก่อนมนุษย์จะประกาศสงครามที่เรียกว่า ‘บัตเลเรียน จิฮาด’ (Butlerian Jihad) จนสามารถเอาชนะปัญญาประดิษฐ์ได้ และตกลงกันว่าจะทำลายเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ทัดเทียมสติปัญญาของมนุษย์ให้หมดสิ้น นั่นจึงเป็นสาเหตุให้อนาคตของมวลมนุษยชาติหวนกลับคืนสู่ระบอบการปกครองแบบจักรวรรดิที่มีจักรพรรดิเป็นประมุขสูงสุด และมีตระกูลขุนนาง องค์กรศาสนา รวมถึงพ่อค้า-นายทุน เป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชนเสาหลักของการปกครองจักรวาล และเมื่อคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมามีอำนาจเหนือกลุ่มคนอื่น ๆ พวกเขาย่อมมองหาเครื่องมือในการสร้างเสริมและคงไว้ซึ่งอำนาจของตนเอง ซึ่งในเรื่องนี้ สสารที่ชื่อว่า ‘สไปซ์’ (Spice) ถือเป็นสารเสพติดและสสารที่มูลค่าสูงที่สุดในจักรวาล เนื่องด้วยคุณประโยชน์ที่ใช้เพื่อสุขภาพ และเพื่อค้นหาเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทางระหว่างดวงดาว เมื่อสสารที่มีค่าไม่ต่างจาก ‘น้ำมัน’ หรือ ‘ทองคำ’ ในยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติมีแหล่งกำเนิดเพียงแห่งเดียวในจักรวาล ผู้มีอำนาจจึงพากันแย่งขุมทรัพย์นี้บนดาวที่มีชื่อว่าอาร์ราคิส และนั่นนำไปสู่การทำร้ายชนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อนอย่าง ‘เฟรเมน’ (Fremen) จนพวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน และต้องต่อสู้เพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากผู้มีอำนาจที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง วังวนแห่งการแก่งแย่งอำนาจในฐานะผู้ครอบครองทรัพยากร แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต ได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนมาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวการแย่งขุมทรัพย์สีดำอย่าง ‘น้ำมัน’ ในโลกตะวันออกกลาง การแย่งชิงน้ำมันเริ่มต้นขึ้นราวปี 1908 อังกฤษค้นพบน้ำมันในเปอร์เซีย หรือก็คือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน หลังจากนั้นมหาอำนาจของโลกก็เริ่มยุทธวิธีช่วงชิงน้ำมันจากประเทศในตะวันออกกลาง นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงและการแทรกแซงมากมายที่ยังส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่รับชมภาพยนตร์เรื่อง Dune ไม่ใช่เพียงน้ำมันเท่านั้นที่เป็นทรัพยากรอันล้ำค่าที่ใคร ๆ ต่างก็นึกถึง เพราะแท้จริงแล้ว โลกของเราเต็มไปด้วยการแก่งแย่งทรัพยากรกันมาอย่างเนิ่นนาน เช่นเดียวกับยุคตื่นทอง (Gold Rush) ที่เริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาปี 1848 การค้นพบเพชร (Diamond Rush) ราวปี 1869 และการตัดไม้เพื่อประโยชน์ทางการค้า ซึ่งมีการพูดถึงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกช่วงปี 1950s หรือแม้กระทั่งน้ำ เครื่องเทศ หรือปลาในทะเล ก็ล้วนเป็นทรัพยากรที่มนุษย์แย่งชิงกันทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการทำเพื่อเงินและผลประโยชน์ของพ่อค้า-นายทุน รวมถึงผู้มีอำนาจ Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง ในภาพยนตร์เรื่อง Dune ฉากหลังทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับอวกาศ การเดินทางข้ามดวงดาวไม่อาจทำได้ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยเหมือนใน Star Wars เพราะมนุษย์เกรงกลัวปัญญาประดิษฐ์จนทำลายหมดสิ้นไปแล้ว ดังนั้นสไปซ์จึงกลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ผู้ที่มีสไปซ์ในครอบครองจะได้ทั้งความมั่งคั่งและอำนาจในการควบคุมผู้คน ซึ่งตระกูลฮาร์คอนเนน (Harkonnen) คือผู้ที่เข้ายึดครองอาร์ราคิส และปกครองเฟรเมนด้วยความโหดร้าย เพื่อส่งออกสไปซ์มากว่า 80 ปี 80 ปีคือระยะเวลาที่ยาวนาน และยาวนานเกินกว่าผู้มีอำนาจจะยอมปล่อยอำนาจของตนเองทิ้งไปโดยง่าย นั่นจึงนำมาซึ่งสงครามความแค้นที่ปะปนกับสงครามการเมือง เมื่อจักรพรรดิผู้ไร้ทายาทไม่ต้องการให้สองตระกูลใหญ่อย่างฮาร์คอนเนน (Harkonnen) และอะเทรดีส (Atreides) เข้ามาทำให้บัลลังก์สั่นคลอน จักรพรรดิจึงใช้ความแค้นของสองตระกูลที่มีอยู่เดิม ส่งอะเทรดีสเข้าไปครองดาวอาร์ราคิสแทน ก่อนจะส่งกองกำลังส่วนพระองค์ไปช่วยฮาร์คอนเนนล้างบางอะเทรดีสอีกที แต่ความลุ่มหลงในอำนาจและความมั่งคั่งไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น  “ขูดรีดมัน เอามาให้หมด ฆ่าเฟรเมนให้หมด” ราวกับถึงเวลาของกลียุคที่ดาษดื่นไปด้วยความรุนแรง จนดวงดาวต้องอาบไปด้วยเลือด ผู้ปกครองที่ไร้ความปรานีแห่งฮาร์คอนเนนสั่งทหารให้จัดการแม้กระทั่งชนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อน และถึงแม้พวกเขาจะอยู่โดยพยายามพินอบพิเทา ไม่เข้าไปยุ่งกับจักรวรรดิ แต่ด้วยชนชั้นและอำนาจอันน้อยนิด ทำให้พวกเขาไม่อาจเลี่ยงภัยการเมืองที่กระจายอยู่ทุกอณูของอากาศในอาร์ราคิสได้ Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง เนินทรายแห่งชนชั้นและการก้าวถอยหลังของมนุษยชาติ เรื่องราวของ Dune ถูกเซตขึ้นในช่วง 10191 AG (การนับเวลาใน Dune) หรือราว 23352 A.D. (คริสต์ศักราช) แต่การก้าวไปข้างหน้าของมวลมนุษยชาติไม่ได้หมายถึงการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นเสียทีเดียว เพราะสุดท้ายมนุษย์ได้เลือกที่จะเชื่อในสติปัญญาของตนเองมากที่สุด จนนำยุคสมัยเคลื่อนกลับเข้าสู่การปกครองแบบรวมศูนย์ และการส่งเสริมระบบชนชั้นอีกครั้ง นวนิยายของแฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต ราวกับการทำนายชะตากรรมของโลกมนุษย์ว่า สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในตัวมนุษย์เสมอแม้เวลาจะก้าวไปข้างหน้ากว่า 2 หมื่นปี คือความกระหายในอำนาจ และความไม่รู้จักพอ แม้ว่ายุคศตวรรษที่ 21 ประชาชนทั่วโลกต่างเดินขบวนเรียกร้องความเท่าเทียม แต่ในจักรวาลของ Dune ผู้มีอำนาจได้ทำให้การปกครองระบบชนชั้นกลับมาเป็นที่ชอบธรรมอีกครั้ง ทั้งพ่อค้า-นายทุนยังมีสิทธิ์ผูกขาดในการเดินทางข้ามอวกาศแต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ ศาสนาเองก็กลับมามีบทบาทในการชักนำมนุษย์เช่นเดิม ศาสนากับเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สามารถก้าวไปควบคู่กัน แต่ในภาพยนตร์เรื่อง Dune เราเห็นถึงความย้อนแย้งอันยิ่งใหญ่ เมื่อกองทัพของฮาร์คอนเนนกำลังจะเดินทางไปบุกตระกูลอะเทรดีสบนดาวอาร์ราคิส พวกเขาจัดพิธีกรรมบางอย่างขึ้นราวกับการเรียกขวัญทหารก่อนการออกศึก โดยนี่ไม่ใช่การทุบหม้อข้าวที่ทำลายเพียงวัตถุ แต่มีการบูชายัญมนุษย์ และนำเลือดคนไปทาบนใบหน้าของเหล่านักรบด้วย นอกจากศาสนาที่จักรวรรดินับถือ ฝั่งเฟรเมน ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ไกลโพ้นของอาร์ราคิส ยังมีความเชื่อและความศรัทธาเป็นของตนเอง พวกเขาอาศัยอยู่ในทะเลทรายร่วมกับหนอนทะเลทรายยักษ์ที่ถูกเรียกว่า ‘ชาไอฮูลูด’ ซึ่งชาวทะเลทรายนับถือราวกับเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ชาวเฟรเมนอาศัยปะปนอยู่กับชาวดาวอาร์ราคิสเป็นปกติ แต่ความจริงคือ พวกเขาเป็นเพียงชนชั้นล่างในพีระมิดแห่งการปกครอง พวกเขาถูกฆ่า ถูกทำร้าย แม้จะอาศัยอยู่มาก่อนอย่างเนิ่นนาน ซึ่งเรื่องราวของชาวเฟรเมนฟังดูแล้วก็คุ้นเคย เพราะไม่ต่างจากชะตากรรมของกลุ่มชาติพันธุ์-ชนพื้นเมืองทั่วโลกที่ต้องถูกเหล่าผู้คลั่งอำนาจบีบบังคับให้อยู่ใต้การปกครอง Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง เฟรเมน ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ถูกกดขี่ ฮาร์คอนเนนบุกมายังดาวของเฟรเมน พวกเขาร่ำรวยจากการค้าขายสไปซ์ สินค้าล้ำค่าที่พบบนดาวอาร์ราคิส แต่วันหนึ่งฮาร์คอนเนนก็จากไปด้วยคำสั่งสูงสุดของจักรพรรดิ “เหตุใดพระจักรพรรดิจึงเลือกเส้นทางนี้? แล้วใครจะถูกส่งมากดขี่พวกเราอีก?” ชานี่ หนึ่งในเฟรเมนตั้งคำถามเมื่อเธอเห็นเพื่อนพ้องถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาบนดาวที่เป็นทั้งบ้านและชีวิตของเธอ ชะตากรรมของชนเผ่าพื้นเมืองเฟรเมนยังคงอยู่ในเงื้อมมือของใครสักคนที่เบื้องบนส่งลงมา พวกเขาไม่มีชีวิตที่เป็นอิสระดั่งใจ ไม่มีเลือดของราชนิกุลที่ใครต่างก็ให้ความเคารพ และไม่มีอำนาจในการต่อรองทั้งที่มีทรัพยากรสไปซ์ และเทคโนโลยีในการป้องกันตัวจากภัยทะเลทรายอยู่ในมือ “พวกท่านมาเพื่อสไปซ์ จะเอาก็เอาไป แต่อย่ามายุ่งกับพวกเราก็พอ” ตัวแทนเฟรเมนที่เข้าพบตระกูลอะเทรดิสเอ่ย เฟรเมนต้องทนอยู่ใต้เงาและการถูกกดขี่ข่มเหง จะดิ้นรนต่อสู้ก็รู้ว่ามีสิ่งที่ต้องสูญเสีย พวกเขาไม่อยากเสียครอบครัวไปอีกแล้ว แต่หากไม่สู้ก็ต้องหลบหนีกบดานใต้แผ่นดินที่ตนเองมาถึงก่อน ทั้งหมดคือภาพสะท้อนประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา หรือที่ถูกเรียกว่าชาวอินเดียนแดง รวมไปถึงชนเผ่าพื้นเมืองแอมะซอน ชนเผ่าในแอฟริกา ชนเผ่าพื้นเมืองเมารีในนิวซีแลนด์ หรือแม้กระทั่งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ชาวกะเหรี่ยงและชาวเล Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง นอกจักรวาลของ Dune กลุ่มชาติพันธุ์มีพื้นที่เพียงน้อยนิดในการป่าวประกาศความทุกข์ทรมานและความอยุติธรรมที่พวกเขาต้องพบเจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านเกิดของตนเองได้ ยกตัวอย่าง ชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอที่ได้พิสูจน์มาหลายร้อยปีว่า การมีอยู่ของพวกเขาไม่ได้ทำให้ทรัพยากรป่าไม้ลดลง ทั้งภูมิปัญหาของพวกเขายังสามารถสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมได้จนถึงปัจจุบัน กระทั่งผู้มีอำนาจเข้าแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ จนทำลายวิถีชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล เฮอร์เบิร์ตได้สะท้อนให้โลกเห็นว่า ชนพื้นเมืองใน Dune ได้รับแรงผลักดันมาจากเรื่องจริง โดยเฉพาะในยุคล่าอาณานิคม และยุคที่ตะวันตกต้องการยึดครองน้ำมันของโลกตะวันออกกลาง ในปัจจุบัน ขณะที่เรานั่งชมภาพยนตร์เรื่อง Dune สังคมก็ยังเปิดพื้นที่ให้เหล่าเฟรเมน (ในชีวิตจริง) ไม่มากพอ และรัฐยังจัดการปัญหาของพวกเขาได้ไม่ดีอย่างที่ควร แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์ยุค 2000s ก็สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้โดยไม่ต้องรอให้ ‘พอล อะเทรดีส’ (รับบทโดยทิโมธี ชาลาเมต์ - Timothée Chalamet) ถือกำเนิดขึ้นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้า Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง [caption id="attachment_38021" align="aligncenter" width="983"] Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง พอล อะเทรดีส[/caption] ความหวังของชนชั้นล่าง ในภาพยนตร์ ศาสนาได้กลับมามีบทบาทอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง ผ่านองค์กรศาสนาที่ชื่อว่า ‘เบนี เจสเซอริต’ (Bene Gesserit) กลุ่มมนุษย์ผู้หญิง หรือแม่มด ที่พัฒนาตนเองจนมีความสามารถในการใช้ร่างกายเป็นเลิศ ยกตัวอย่างการใช้เสียงควบคุมจิตใจ เมื่อศาสนาเข้ามามีบทบาทในชีวิต ถึงขั้นเกิดพิธีกรรมที่ขัดกับความเจริญของยุคสมัย จึงเกิดคำถามขึ้นว่า เหตุใดศาสนาจึงกลับมามีบทบาทได้มากถึงเพียงนี้? หากไม่นับเรื่องการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อ และนำความเชื่อเข้าควบคุมทัศนคติ ความคิด และจิตใจของมนุษย์ เพื่อให้ง่ายต่อการชักนำและปกครอง คำตอบก็คือการย้อนถามว่า เราใช้ศาสนาเพื่ออะไร? บางคนอาจใช้ศาสนาเพื่อหาความสงบ หรือเพื่อให้จิตใจมีที่พึ่งพิง? เช่นเดียวกับเหล่าเฟรเมนและผู้ตกเป็นเบี้ยล่างของอำนาจ แม้เฟรเมนหลายคนจะไม่เชื่อในคำทำนายที่กล่าวถึง ‘พระเมสสิยาห์’ ผู้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลก (ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์และอิสลาม) แต่ในใจพวกเขาก็ยังเรียกร้องหาใครสักคนที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาออกจากความทุกข์ทรมานนี้ ‘เพราะไม่มีอิสระในตัวเองจึงจำต้องเฝ้ารอคอยใครสักคนมาเปลี่ยนแปลง’ [caption id="attachment_38019" align="aligncenter" width="988"] Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง หนึ่งในเบนี เจสเซอริต แม่ของพอล อะเทรดิส[/caption] พอล อะเทรดีส ผู้มีนิมิตเห็นหลายสิ่งและกลายเป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ จึงค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่บทบาทที่ใครหลายคนในจักรวาลคาดหวัง เขากำลังจะต้องกลายเป็นผู้นำทั้งที่ความตั้งใจเดิมไม่ใช่เช่นนั้น นี่คือการแบกความหวังด้วยตัวคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ส่วนหนึ่งของพอลก็บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำที่ดี ไม่ต่างจากบิดาอย่าง ‘เลโท อะเทรดีส’ (รับบทโดย ออสการ์ ไอแซก - Oscar Isaac) ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรม [caption id="attachment_38020" align="aligncenter" width="993"] Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง เลโท อะเทรดีส[/caption] “เราถอนต้นปาล์มดีไหม จะได้ประหยัดน้ำ” พอลเดินชมสวนปาล์มที่มีต้นปาล์มทั้งหมด 20 ต้น คนสวนบอกกับเขาว่า ต้นปาล์ม 1 ต้นใช้น้ำสำหรับคน 5 คน เท่ากับปาล์มทั้งหมดนั้นใช้น้ำสำหรับจำนวน 100 ชีวิต เมื่อพอลได้ยินดังนั้น เขาจึงถามคนสวนว่าควรจะตัดต้นปาล์มทิ้งดีหรือไม่ แต่คนสวนได้บอกกับเขาว่า ต้นปาล์มเหล่านี้คือ ‘ความฝันเก่า’ ซึ่งตีความได้หลากหลาย ทั้งสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หรือชีวิตดี ๆ ที่ผู้คนเรียกหา แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงความฝันเก่า เป็น ‘ของดูต่างหน้า’ หาใช่อนาคต ซึ่งหนทางที่จะมีความฝันได้ คือการที่มนุษย์กลับมามีความหวัง และโลกใบนี้ต้องถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หลังจากที่ต้นปาล์มถูกเผาเมื่อเหล่าฮาร์คอนเนนมาเยือน ราวกับเป็นสัญลักษณ์ที่ต้องการบอกว่า กลุ่มผู้มีอำนาจไม่ได้สนใจความฝัน หรือความอยู่รอดของชนชั้นล่าง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของวิถีทะเลทรายของพอล อะเทรดีส หวังว่าการเดินทางของเขาจะนำพาความเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้กับจักรวาล Dune ได้ ส่วนในชีวิตจริงของเราก็ต้องดิ้นรนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นเช่นกัน มิเช่นนั้นอนาคตของ Dune ในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้าคงจะปรากฏเร็วขึ้นกว่าที่คิด (หรือแท้จริงแล้วกำลังปรากฏอยู่กันแน่?) Dune: เมื่อโลกก้าวถอยหลัง การเมืองบนเนินทรายส่งเสริมระบบชนชั้น และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกข่มเหง เรื่อง: วโรดม เตชศรีสุธี ภาพ:  https://www.imdb.com/title/tt1160419/ https://www.youtube.com/watch?v=8g18jFHCLXk  https://www.historylink.org/File/21248 อ้างอิง: ภาพยนตร์เรื่อง Dune (2021) https://www.newyorker.com/books/page-turner/dune-endures https://www.wired.com/story/dune-geopolitics-cybersecurity/ https://dune.fandom.com/wiki/Universal_Standard_Calendar https://dune.fandom.com/wiki/10191_AG https://dune.fandom.com/wiki/Universal_Standard_Calendar#:~:text=Thus%2C%20the%20year%2010%2C191%20AG,chronology%20actually%20uses%20Earth%20years. https://www.imdb.com/title/tt1160419/ https://www.slashfilm.com/638538/the-oil-must-flow-how-does-denis-villeneuves-dune-deal-with-the-books-middle-east-inspirations/ https://inkstickmedia.com/what-dune-and-us-foreign-policy-have-in-common/ https://lareviewofbooks.org/article/the-secret-history-of-dune/ https://www.britannica.com/topic/Dune-by-Herbert https://www.wired.com/2008/05/dayintech-0526/ https://www.theclassroom.com/the-history-of-deforestation-13636286.html https://www.eh-resources.org/the-role-of-wood-in-world-history/ https://www.thesolomon.co.za/heyday-of-diamond-mining.html