The Matrix: ไซเบอร์พังค์ มหาบุรุษ ถ้ำของเพลโต้ และการกลับมา
“รอมาหลายปี เพื่อกลับไปจุดที่ทุกอย่างเริ่มต้น กลับไปที่เมทริกซ์”
ย้อนไปเมื่อ ค.ศ. 1999 ในขณะที่โลกตกอยู่ในความหวาด Y2K หรือวิกฤตกับระบบคอมพิวเตอร์เนื่องมาจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ทำงานบนระบบปีคริสต์ศักราชเพียงสองหลัก และมีการคาดการณ์ว่าหากนาฬิกาดำเนินไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 และเข้าสู่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 อาจส่งผลให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจว่าเป็น ค.ศ. 1900 หรือ 2000 แม้ในเวลานั้นคอมพิวเตอร์ยังไม่ได้มีบทบาทกับชีวิตมนุษย์มากเท่ากับทุกวันนี้ ทว่าระบบคอมพิวเตอร์ก็มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการขององค์กรระดับชาติ และระดับนานาชาติ ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ทางอ้อมอยู่ดี โดยเฉพาะในวงการแพทย์ที่เกี่ยวพันกับฐานข้อมูลสุขภาพของผู้คน และการทหารที่อาจส่งผลต่อวิกฤตการณ์นิวเคลียร์โดยไม่ตั้งใจ
ย้อนไปก่อนหน้านั้นราว 3 ปี ลอว์เรนซ์ วาชอว์สกี และ แอนดรูว์ พอล วาชอว์สกี (ปัจจุบันทั้งคู่เป็นที่รู้จักในชื่อ พี่น้องวาชอว์สกี และ ลอว์เรนซ์ เปลี่ยนชื่อเป็น ลานา ส่วน แอนดรูว์ พอล เปลี่ยนชื่อเป็น ลิลลี่ หลังจาก ทั้งคู่ประกาศตัวว่าเป็นหญิงข้ามเพศ) เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ไซเบอร์พังค์ซึ่งผสมผสานเนื้อเรื่องที่ได้รับอิทธิพลจากอะนิเมะของญี่ปุ่น อภิปรัชญา และแนวคิดทางศาสนา เข้ากับฉากแอ็คชันแบบภาพยนตร์ฮ่องกง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในช่วงต้นปี 1999 และสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาลทั้งต่อสังคม และในวงวิชาการทั้งปรัชญาวิทยาศาสตร์ ปรัชญาสังคมศาสตร์ และอภิปรัชญาอยู่หลายปี
แม้ผ่านมาถึงทศวรรษนี้จะไม่ได้มีการพูดคุยถึงภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังเหมือนในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์ยังเป็นกระแส แต่เราก็ยังสามารถพบเห็น ‘มีม’ จากภาพยนตร์เรื่องนี้จำนวนไม่น้อย อาทิ ท่าบาทาเหินหาวของตัวละครทรินิตี้ ท่าเอียงตัวหลบกระสุนของตัวละครนีโอ และภาพของมือของตัวละครมอร์เฟียสกับเม็ดยาสีน้ำเงินที่เป็นภาพตัวแทนของ “การยอมรับที่จะมืดบอดต่อไป” และเม็ดยาสีแดงที่เป็นตัวแทนของการ “เลือกที่จะตาสว่าง”
ใช่แล้ว, เรากำลังพูดถึงภาพยนตร์ The Matrix
เรเนอซองซ์ครั้งที่ 2 และสงครามเครื่องจักร
เรื่องราวใน The Matrix บอกเล่าเรื่องราวของโลกในช่วงปลายศตวรรษที่ 21 ที่ถูกเรียกขานว่าเรเนอซองซ์ครั้งที่ 2
หลังจากที่มนุษย์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักร (The Machines) ซึ่งก็คือหุ่นยนต์ทั้งในรูปแบบเสมือนมนุษย์และเสมือนสัตว์ที่มีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความก้าวหน้าและฉลาดมากเสียจนจนเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในช่วง ค.ศ. 2060 ในขณะที่มนุษย์มองหุ่นยนต์ว่าเป็นทรัพย์สินและสิ่งของที่เมื่อหมดประโยชน์ก็สามารถทำลายทิ้งได้ เครื่องจักรกลับค่อย ๆ เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ เพียง 30 ปีคล้อยหลังปัญญาประดิษฐ์ทำให้เครื่องจักรค่อย ๆ มีความรู้สึกนึกคิด และมีสติปัญญามากพอที่จะ “กลัวตาย” คดีเครื่องจักรรับใช้ตัวหนึ่งกระทำการฆาตกรรมมนุษย์ผู้เป็นเจ้านายเพราะหวาดกลัวที่จะถูกทำลายก่อให้เกิดการลุกฮือเพื่อสิทธิของเหล่าเครื่องจักร แม้ในตอนแรกมีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่เข้าร่วมเรียกร้องสิทธิให้กับเครื่องจักร แต่เมื่อความรุนแรงขยายตัวจนเป็นอนาธิปไตย เกิดการล้มตายของทั้งมนุษย์และเครื่องจักรมากมาย บรรดาเครื่องจักรถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่เหลือถูกเนรเทศออกจากสังคมมนุษย์ เครื่องจักรที่เหลือรอดได้หนีไปสร้างเมืองของตนขึ้นมาในพื้นที่ห่างไกลจากมนุษย์ที่ดินแดนเมโสโปเตเมียและตั้งชื่อเมืองของตนว่า “ซีโร่วัน (01)”
ไม่นานนักเมื่อซีโร่วันเริ่มที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของเครื่องจักรโดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์ กลับกลายเป็นว่าปัญญาประดิษฐ์ของเหล่าเครื่องจักรสามารถพัฒนาซีโร่วันอย่างก้าวกระโดด เหล่าเครื่องจักรเลือกที่จะทำสงครามกับมนุษย์ทั้งในทางกายภาพ ยิ่งกว่านั้นซีโร่วันสามารถเข้าแทรกแซงและครอบงำระบบเศรษฐกิจของโลก จนระบบเศรษฐกิจของโลกผันผวนอย่างรุนแรง เมื่อเป็นเช่นนั้นซีโร่วันได้ส่งทูตเพื่อขอเจรจาสันติภาพกับมวลมนุษยชาติ ณ สหประชาชาติ ทว่าไม่เป็นผลมนุษย์เลือกที่จะหาทางทำลายเหล่าเครื่องจักรและซีโร่วันให้สิ้นซาก เรเนอซองซ์ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการกำเนิดใหม่ของเครื่องจักรในฐานะสิ่งมีชีวิตสายพันธ์ใหม่ของโลก จบลงในปี ค.ศ. 2139 เมื่อสหประชาชาติประกาศสงครามต่อซีโร่วันในชื่อ “สงครามเครื่องจักร”
นับตั้งแต่สงครามระหว่างมนุษยชาติกับเครื่องจักรนั้น ฝ่ายมนุษย์เสียเปรียบอยู่ตลอด นั่นก็เพราะความเร็วของการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์นั้นไม่สามารถเทียบเท่าความเร็วของปัญญาประดิษฐ์ และด้วยสติปัญญาที่ด้อยกว่านั้นเอง เมื่อสหประชาติประกาศสงครามต่อซีโร่วัน มนุษย์มองว่าเมื่อแหล่งพลังงานของเครื่องจักรมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ สมการวิธีการที่จะเอาชนะเครื่องจักรนั้นจึงคือการตัดแสงอาทิตย์ออกไป ด้วยการสร้างพายุประดิษฐ์ที่ครบคลุมท้องฟ้าไปทั่วโลก แต่ผลของการตัดแสงอาทิตย์ออกจากพื้นโลกนั้นกลับสร้างพายุนิวเคลียร์ที่ส่งผลให้พืชและสัตว์ที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารล้มตายลงอย่างรวดเร็ว มนุษยชาติอยู่ในสภาวะอดอยากในขณะที่เครื่องจักรไม่มีทีท่าจะหมดพลังงานลงเลย
ในระหว่างสงคราม เครื่องจักรได้ค้นพบแหล่งหลังงานใหม่ที่สามารถให้พลังงานมากกว่าแสงอาทิตย์หลายสิบเท่า นั่นก็คือปฏิกิริยาฟิวชั่นจากร่างกายมนุษย์ นับตั้งแต่ ค.ศ. 2199 มนุษย์จึงได้ถูกเครื่องจักรจับมาทดลองให้กลายเป็นเซลล์พลังงานหล่อเลี้ยงซีโร่วันและเหล่าเครื่องจักร จนอาจเรียกได้ว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกือบที่จะต้องสูญสิ้นลง....
นีโอ อลิซผู้กระโดดออกจากถ้ำแห่งนครวันเดอร์แลนด์
ค.ศ. 1999 โลกยังใช้ไมโครซอฟท์ วินโดว์98 และต้องรอถึงกลางปีอุปกรณ์สำรองข้อมูลรูปแบบแฟลชไดร์ฟจึงจะวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก (ซึ่งในโลกภาพยนตร์ยังไม่มีทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมาเพราะถ่ายทำมาก่อนหน้านั้นราว 3 ปี และภาพยนตร์ก็ฉายก่อนการวางจำหน่ายแฟลชไดร์ฟ 1 เดือน) ส่วนโทรศัพท์มือถือก็ยังเป็นเซลลูลาร์ “นีโอ” แฮคเกอร์ฝีมือเยี่ยมซึ่งในเวลากลางวันเขาคือ โธมัส เอ. แอนเดอร์สัน ผู้มีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทซอฟท์แวร์แห่งหนึ่ง ในคืนหนึ่งนีโอได้รับการติดต่อจากบุคคลลึกลับโดยบอกให้เขา “ตามกระต่ายสีขาว” เพื่อตามหาผู้ก่อการร้ายชื่อดังที่ชื่อว่ามอร์เฟียส ด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย นีโอตามกระตายสีขาวที่มาในรูปรอยสักของลูกค้าของเขาคนหนึ่งจนพบเข้ากับทรินิตี้แฮคเกอร์ผู้โด่งดังจากการแฮ็คเข้าฐานข้อมูลของกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา ทรินิตี้บอกว่าเธอเป็นคนสนิทของมอร์เฟียสและเป็นคนแฮคเข้าคอมพิวเตอร์ของนีโอเพราะเธออยากมาเตือนว่าเขากำลังถูกติดตามจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลเนื่องจากนีโอนั้นกำลังพยายามแฮคข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “เมทริกซ์” ซึ่งนีโอเองก็ยังไม่รู้ข้อมูลมากพอว่ามันคืออะไร นีโอรู้เพียงว่าหากเขาจะรู้เรื่องเมทริกซ์ เขาต้องพบกับมอร์เฟียส ผู้ที่ในที่สุดอธิบายแก่นีโอว่าเมทริกซ์คือ “โลกที่ถูกสร้างมาลวง และจองจำขังจิตใจ” และเพื่อให้นีโอเข้าใจความลวงดังกล่าวอย่างถ่องแท้ มอร์เฟียสยื่นเม็ดยาสองเม็ดแก่นีโอ
“เลือกเม็ดสีฟ้า แล้วทุกอย่างก็จบลง นายจะตื่นขึ้นบนเตียงของนายและเชื่อในสิ่งใดก็ตามที่นายต้องการ แต่เม็ดสีแดงนายจะตื่นขึ้นในวันเดอร์แลนด์ แล้วฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าโพรงกระต่ายนี้มันลึกเพียงใด”
แน่นอนว่านีโอเลือกเม็ดสีแดง ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกตัว “ตื่นขึ้น” เพียงแต่สถานที่ที่เขาตื่นไม่ใช่วันเดอร์แลนด์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่นีโอตื่นในแคบซูลสีแดงที่บรรจุน้ำเมือกใส ๆ ส่วนตัวเขาก็ถูกเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลระโยงระยางทั่วร่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายที่ใหญ่ที่สุดที่ติดอยู่บริเวณท้ายทอย รอบข้างของเขาคือแคบซูลสีแดงบรรจุมนุษย์อยู่ภายในเรียงต่อกันนับไม่ถ้วนสุดลูกหูลูกตา ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีผืนดิน ไม่มีอะไรเลยที่สมควรจะถูกเรียกว่า “ความจริง” แต่มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของนีโอ เพราะ “ความจริงที่เขาเคยรับรู้” มาทั้งหมด รวมถึงตัวตนของโธมัส เอ. แอนเดอร์สัน นั้น “ไม่เคยมีอยู่” เขาเป็นเพียงมนุษย์ไร้ชื่อในแคปซูลที่ไม่เคยรู้ว่าตนเองนั้นมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อการเป็นเซลล์พลังงานหนึ่งจากหลายพันหลายหมื่นล้านเซลล์ โลกของนีโอในปี 1999 หายวับไปกับตากลายเป็นโลกที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าคือเมื่อใด (ในภาพยนตร์ มอร์เฟียสบอกนีโอคือราวปี 2199 แต่ในบางฐานข้อมูลกล่าวว่าเหตุการณ์เกิดราวปี 2700) และความจริงที่นีโอรับรู้ต่อจากนี้มันช่างโหดร้าย
...นับตั้งแต่ ค.ศ. 2199 มนุษย์จึงได้ถูกเครื่องจักรจับมาทดลองให้กลายเป็นเซลล์พลังงานหล่อเลี้ยงซีโร่วันและเหล่าเครื่องจักร ด้วยการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้ร่างกายสร้างความร้อนจนเกิดปฏิกิริยาฟิวชั่นและเปลี่ยนให้กลายเป็นแหล่งพลังงานของเหล่าเครื่องจักร กระบวนการดังกล่าวนี้ทำร้ายร่างกายและจิตใจของมนุษย์อย่างมาก ทำให้ช่วงต้นของการทดลองแทบไม่มีมนุษย์เหลือรอด เครื่องจักรจึงคิดหาวิธีลดความเจ็บปวดด้วยการทำให้มนุษย์หลับไหล และเพื่อทำให้การหลับใหลดำเนินไปอย่างยาวนานจนมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการกลายเป็นเซลล์พลังงาน เครื่องจักรจึงได้มอบหน้าที่นี้ให้แก่ปัญญาประดิษฐ์นามว่า “สถาปนิก” ผู้ซึ่งออกแบบโลกเสมือนขึ้นเพื่อทำให้มนุษย์ที่หลับใหลอยู่นั้นติดอยู่กับความจริงเสมือนที่ทำให้เขาราวกับมีชีวิตอยู่จริง ๆ ทั้งที่ร่ายกายของเขาหลับไหลอยู่ในซอกมุมหนึ่งของซีโร่วัน
การตื่นของนีโอจึงไม่ใช่การตกลงไปในโพรงกระต่ายของอลิซเพื่อเจอเข้ากับวันเดอร์แลนด์ดินแดนมหัศจรรย์ แต่กลับกันนีโอตื่นจากการเป็นโธมัส เอ. แอนเดอร์สันที่มีชีวิตอยู่ในวันเดอร์แลนด์ที่ชื่อว่าเมทริกซ์ด้วยการฉุดกระชากลากถูจากกลุ่มคนที่ตื่นขึ้นมาก่อนหน้าเขาจำนวนหนึ่งให้มาพบกับความจริงที่โหดร้ายที่ประสาทสัมผัสใด ๆ ของเขาไม่เคยรับรู้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นการตื่นของนีโอยังถูกคาดหวังว่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปลดปล่อยมวลมนุษยชาติออกจากเครื่องจักรเลยทีเดียว เรื่องราวของนีโอจึงไม่ใช่แค่อลิซในแดนมหัศจรรย์ลูอิส แคร์รอล แต่เรื่องราวของนีโอคือนิทานเปรียบเปรยเรื่องถ้ำของเพลโต้อย่างไรอย่างนั้น
ถ้ำ นักปรัชญา และมหาบุรุษ
ราว ๆ 2,500 ปีที่แล้ว เพลโต้นักปรัชญาชาวเอเธนส์ได้เปรียบเปรยสังคมมนุษย์ว่าเหมือนกับถ้ำที่เป็นเรือนจำที่กักขังมนุษย์เอาไว้ตั้งแต่วัยเยาว์ มนุษย์เป็นนักโทษที่ถูกพันธนาการข้อมือ ข้อเท้า พวกเขาจึงไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนคอของเขาก็ถูกพันธนาการเช่นกัน มนุษย์จึงทำได้เพียงมองตรง ซึ่งสายตาของพวกเขาก็จะเจอเข้ากับผนังถ้ำขนาดใหญ่ และรับรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวก็เพียงเพราะจากเสียงเท่านั้น
ด้านหลังของเหล่านักโทษมีกำแพงเตี้ย ๆ ด้านหลังกำแพงมีทางเดินเล็ก ๆ และถัดไปก็คือกองไฟกองใหญ่ ในทุก ๆ วันจะมีคนกลุ่มหนึ่งเชิดรูปปั้นที่จำลองสรรพสิ่งต่าง ๆ และตะโกนชื่อเรียกของสิ่งที่เขาถืออยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเงาของรูปปั้นที่ปรากฏขึ้นบนกำแพงหน้าเหล่านักโทษ ส่วนเหล่านักโทษนั้นนอกจากจะเห็นเงาที่ทอดบนกำแพงแล้ว พวกเขารู้จักชื่อของเงานั้น ๆ ผ่านเสียงที่สะท้อนจากผนังถ้ำด้วยในเวลาเดียวกัน เพลโต้เปรียบเปรยแสงไฟว่าคือ “อำนาจในการนิยามความจริงภายในสังคม” และเรียกคนกลุ่มที่สร้างเงาและเสียงให้เหล่านักโทษนั้นว่าศิลปินผู้ซึ่งมีหน้าที่ “ตอกย้ำให้เงากลายเป็นความจริง” ของเหล่ามนุษย์ผู้ถูกพันธนาการ “ตามที่อำนาจต้องการ”
เมื่อนักโทษเห็นเงาของรูปปั้นต้นไม้ พวกเขารู้ว่าเงานั้นเรียกว่าต้นไม้จากเสียงของเงาของรูปปั้นต้นไม้ และ เมื่อเห็นเงาของเทพเจ้าพวกเขารู้ว่าเงานั้นเรียกว่าเทพเจ้าก็จากเสียงของเงารูปปั้นเทพเจ้านั้น พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกของเขาเป็นเพียงถ้ำ และแน่นอนว่าเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าตนอยู่ในถ้ำ พวกเขาจึงไม่เคยจินตนาการถึงโลกข้างนอกถ้ำ เพลโต้เปรียบเปรยว่า “ความจริง” ที่เหล่านักโทษรับรู้จากประสาทสัมผัสนั้นเป็นเพียง “แค่เงา” และความเชื่อมั่นที่ความจริงของเงานั้นมีค่าเท่ากับความจริงแท้ เอาเข้าจริงก็เป็นเพราะเหล่านักโทษไม่เคยรู้จัก “ความจริงอื่นใด” นอกเสียจาก “ความจริงของเงา” ซึ่งในแง่นี้ในความคิดเพลโต้มันไม่ใช่ความจริงที่แท้
ความจริงที่ชวนสับสนและแสนซับซ้อนนี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับบทสนทนาในฉากบนโต๊ะอาหารที่ตัวละครหนึ่งที่ตื่นจากเมทริกซ์ตั้งคำถามต่อ “ไก่” และ “รสชาติของเนื้อไก่” ที่มนุษย์เคยรับรู้สมัยยังอยู่ในเมทริกซ์ว่ามันคือ “ไก่” และ “รสชาติของเนื้อไก่” จริง ๆ หรือเป็น “ไก่” และ “รสชาติของเนื้อไก่” ที่เครื่องจักรและปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “ไก่” ว่าควรจะมี “รสชาติของเนื้อไก่” เป็นอย่างไรกันแน่ มันมี “ความจริง” อีกมากเท่าใดที่มนุษย์ไม่เคยรับรู้ เพราะแม้แต่ตัวตนของมนุษย์ก็อาจไม่ใช่ความจริง อาทิ หากการที่แอนเดอร์สันคิดเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแอนเดอร์สันมีตัวตน แต่หากการมีอยู่ของตัวตนและความจริงรอบตัวตนของแอนเดอร์สันในเมทริกซ์นั้นคือความลวง ในขณะที่ร่างกายที่ไร้ตัวตนของแอนเดอร์สันยังหลับไหลอยู่ในฐานะแบตเตอร์รี่อยู่ในซีโร่วันซึ่งเป็นโลกที่เป็นจริง การตายของแอนเดอร์สันในเมทริกซ์จะส่งผลให้ร่างกายที่ซีโร่วันต้องตายลง แต่เราจะยังคงเรียกชีวิตและตัวตนของแอนเดอร์สันที่ร่างกายของเขาที่ซีโร่วันรับรู้ผ่านความฝันและเชื่อไปว่าความฝันนั้นคือความจริงนั้นเป็นความจริงแท้ไปได้จริง ๆ หรือ
เหล่านี้คือคำถามที่มีต่อ ‘ความจริง’ ที่ The Matrix และนิทานเรื่องถ้ำของเพลโต้ต่างเห็นไปในทางเดียวกัน...
คำถามต่อมาก็คือ มนุษย์ต้องหลุดพ้นจากความรู้อันได้มาจากประสาทสัมผัส รวมถึงหาคำตอบให้ความสัมพันธ์ระหว่างจิตและกายมากเพียงใดจึงจะสามารถตอบคำถามเหล่านี้
หรือจะมีเพียงมหาบุรุษเท่านั้นที่สามารถตอบคำถามนี้ได้
มหาบุรุษผู้ปลดปล่อยมนุษย์จากความจริงที่โหดร้ายด้วยความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่า
เพลโต้บรรยายนิทานเปรียบเปรยของเขาต่อว่า นักโทษบางส่วนสามารถหลุดจากพันธนาการ ส่วนหนึ่งก็เข้าร่วมกับเหล่าศิลปิน และอีกส่วนหนึ่งก็หลบหนีไปเสียจากถ้ำ และที่น้อยที่สุดก็คือนักโทษผู้นั้นกลับลงมาสู่ถ้ำเพื่อปลดปล่อยนักโทษคนอื่นออกจากถ้ำตามเขาไป ถ้าโชคดีที่วันหนึ่งนักโทษสักคนได้ถูกปลดจากพันธนาการ เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานจากสายตาที่ไม่เคยเจอแสงทั้งแสงจากกองไฟและแสงอาทิตย์ กล้ามเนื้อที่ไม่เคยถูกใช้งานทำให้เดินสะเปะสะปะจนผิวหนังถูกหินจากกำแพงถ้ำบาด แต่นั่นก็แลกมากับการที่เขาจะได้รู้ว่าความจริงที่เขารับรู้มาตลอดชีวิตมานั้นเป็นเพียงแค่เงาอันเกิดจากรูปปั้นและกองไฟ ส่วนที่นอกถ้ำนั้นมีความจริงแท้ที่จริงยิ่งกว่า และความจริงนั้นมันช่างสวยงาม และน่าค้นหาเสียจนแทบไม่มีนักโทษคนใดที่หลุดออกจากถ้ำจะกลับลงมาในถ้ำอีกครั้ง นักโทษที่หลุดออกจากความจริงในถ้ำกลายเป็นนักปรัชญาผู้ไฝ่แสวงหาความจริงแท้นอกถ้ำไปเสียแล้ว ส่วนนักปรัชญาคนใดที่เลือกจะกลับลงมาปลดปล่อยนักโทษที่เหลือนั้น เพลโต้เรียกว่ามหาบุรุษ
ดังนั้นการที่นีโอถูกปลุกจึงเป็นผลจากมหาบุรุษมอร์เฟียส ทรินิตี้ และสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีม เพียงแต่ว่าความเชื่อของเหล่ามหาบุรุษโดยเฉพาะมอร์เฟียสนั้นมองนีโอสูงส่งยิ่งกว่ามหาบุรุษคนใด เพราะนีโอคือ “หนึ่งเดียว (The One)” ผู้ที่ตื่นเพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติออกจากพันธนาการของเหล่าเครื่องจักรตามคำทำนายของเทพพยากรณ์
มอร์เฟียสทำให้เราคิดได้ว่าในสถานการณ์ของการต่อสู้ในโลกที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ทะยานถึงขีดสุด มนุษย์ก็ยังคงต้องการไสยศาสตร์...สำหรับพวกเราที่เกิดในยุคที่ผู้คนเริ่มหันหลังให้กับไสยศาสตร์ มอร์เฟียสคงเป็นตัวละครที่น่าขัน และมันคงเป็นเช่นนั้นหากไสยศาสตร์ที่ว่าเป็นไสยศาสตร์จริง ๆ
เรื่องราวของ The Matrix ต่อจากจุดนี้ จนถึง The Matrix Reloaded และ The Matrix Revolutions อันเป็นภาคต่อ ๆ มา จะเป็นเรื่องของการที่นีโอต้องเรียนรู้ถึงความจริงต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ ความจริงที่น่าตื่นเต้นจนทำให้นีโอแทบจะกลายเป็นเทพเจ้า อาทิ การต่อต้านกฎฟิสิกส์ของเมทริกซ์ จนถึงการปฏิเสธความตายในเมทริกซ์ แต่ความจริงที่เลวร้ายที่ว่าร่างกายที่แท้จริงของนีโอและมนุษย์คนอื่นนั้นก็ยังต้องมีชีวิตอยู่กับโลกที่ทุกสิ่งนั้นล่มสลายไปเป็นพันปีซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว
การปลดปล่อยมนุษยชาติออกจากเมทริกซ์เพื่อตื่นขึ้นมาเจอความจริงที่เลวร้าย มันยังไม่เลวร้ายไปกว่าที่ว่าการที่ตัวตนจำนวนหนึ่งในเมทริกซ์นั้นถูกโปรแกรมไว้ล่วงหน้าโดย “สถาปนิก” แล้วว่ามีจะมีชะตาชีวิตอย่างไร และตัวตนเหล่านั้นมีหน้าที่เพียงเป็นการควานหา “หนึ่งเดียว (The One)”
หน้าที่ของเมทริกซ์คือการทำให้มนุษย์ไม่รู้ตัวว่าอยู่ในเมทริกซ์ แต่ไม่ว่าเมทริกซ์จะถูกสร้างมาอย่างรัดกุมเพียงใด มันก็ย่อมมีจุดบกพร่องผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ ความผิดพลาดก็คือการที่มนุษย์จำนวนหนึ่งรู้ตัวว่าตนอยู่ในเมทริกซ์ ในเมทริกซ์เวอร์ชั่น 1.0 นั้นสถาปนิกออกแบบให้เป็นโลกที่สมบูรณ์แบบและมีแต่ความสุข แต่การมีแต่ความสมบูรณ์แบบกลับกลายเป็นความผิดพลาดเพราะมนุษย์นั้นไม่เชื่อว่าชีวิตที่มีแต่เพียงความสุขนั้นเป็นเรื่องจริง เมทริกซ์เวอร์ชั่น 2.0 จึงนำเสนอโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบและเต็มไปด้วยหายนะ กระทั่งภูติผีปีศาจ และนั่นก็กลายเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายหนักเสียกว่าเดิม
ในเมทริกซ์เวอร์ชั่น 3.0 ในบรรดาความผิดพลาด จะมีความผิดพลาดหนึ่งที่เรียกว่า “หนึ่งเดียว” ผู้ซึ่งมี “เจตจำนงเสรี” รวมอยู่ด้วย สถาปนิกจึงออกแบบให้มี “ทางเลือก” และ “เทพพยากรณ์” ผู้ชักนำให้ทางเลือกที่สถาปนิกต้องการนั้นถูกเลือกโดยหนึ่งเดียว ดังนั้นการกลายเป็นหนึ่งเดียวของนีโอจึงไม่ใช่ความพิเศษแต่อย่างใด
เทพพยากรณ์ และความงมงายของมอร์เฟียสจึงไม่ใช่ไสยศาสตร์ และนีโอที่เราเห็นในภาพยนต์ก็เป็นเพียงหนึ่งเดียวคนที่ 6 ที่ถูกวางเส้นทางเดินอย่างเป็นระบบโดยถูกทำให้เชื่อว่ามีทางเลือก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วนีโอก็ไม่ต่างจากซุนหงอคงที่กระโดดไปมาอยู่บนฝ่ามือของพระยูไล นีโอถูกกำหนดให้เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากสถาปนิกว่าให้เป็นผู้หมุนวัฎจักรของเมทริกซ์ 3.0 ครั้งใหม่ด้วยการรีโหลดเมทริกซ์ 3.0 กลับไปสู่จุดเริ่มต้น โดยในโลกของความเป็นจริงหนึ่งเดียวจะเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติกลุ่มสุดท้ายที่หนึ่งเดียวคัดเลือกไว้โดยปล่อยให้มนุษยชาติอีกจำนวนมากต้องตายลง ดังที่หนึ่งเดียวทั้งห้าคนก่อนหน้านี้เลือกที่จะกระทำมาแล้ว
ความจริงที่ว่ามนุษยชาตินั้นไร้อนาคตว่าเลวร้ายแล้ว สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือพวกเขาถูกลวงให้เชื่อว่ายังมีอนาคต การเลือกกินยาสีน้ำเงินหรือสีแดงนั้นให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าคุณเลือกกินยาเม็ดสีแดง คุณก็จะถูกทำให้เชื่อว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น” สถาปนิกทำให้ทางเลือกนั้นมีอยู่เสมอแม้สุดท้ายแล้วผลของการเลือกจะไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทั้งหมดได้ถูกกำหนดมาแล้ว ด้วยสิ่งที่ไม่ได้เป็นแม้แต่พระเจ้าของเหล่าเครื่องจักร
เมทริกซ์ 3.0 รอบที่ 7 หรือเมทริกซ์ 4.0
สิ่งที่สถาปนิกวางแผนไว้คงดำเนินไปตามแผน ถ้าหากการรีโหลดรอบที่ 6 ของเมทริกซ์เวอร์ชั่น 3.0 นั้นไม่เกิดความผิดพลาดที่คาดเดาไม่ได้มากเกินไป ทั้งการที่ทางเลือกของนีโอนั้นไม่เป็นไปตามที่สถาปนิกต้องการ การที่นีโอมีพลังกล้าแข็งมากเสียจนคิดจะใช้พลังนั้นต่อกรโดยตรงกับเครื่องจักรในโลกของความเป็นจริง รวมไปถึงความผิดพลาดที่ไม่เคยเกิดมาก่อนนั่นคือการที่โปรแกรมสายลับที่ถูกสร้างมาปกป้องเมทริกซ์กลับมีความพยายามที่จะทำลายเมทริกซ์และซีโร่วันลงเสียเอง
ในตอนจบของ The Matrix Revolutions เราไม่รู้ชะตากรรมของนีโอ รู้เพียงว่าเพื่อที่จะทำให้มนุษยชาติบางส่วนเหลือรอดในโลกของความเป็นจริง เกิดการสงบศึกชั่วคราวระหว่างซีโร่วันกับมนุษย์ที่ตื่นจากเมทริกซ์ และทำให้เมทริกซ์และตัวตนจำนวนมากกลับมาใช้ชีวิตที่มีความสุขอีกครั้งในเมทริกซ์นั้นแลกมากับความตายของตัวตนที่ชื่อว่านีโอโดยร่างกายของเขายังถูกเก็บรักษาไว้ที่ซีโร่วัน
และจากภาพยนตร์ตัวอย่าง The Matrix Resurrections เราได้เห็นตัวละครหลักอย่างนีโอ ทรินิตี้ มอร์เฟียส กลับมาอีกครั้งในเมทริกซ์ พร้อมกับภาพที่ชวนให้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์ไตรภาคนี้เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการที่ปัจจุบันเรื่องราวของ The Matrix ถูกพูดถึงไปแทบทุกมุมทั้งในทางปรัชญาวิทยาศาสตร์ ปรัชญาสังคมศาสตร์ และอภิปรัชญาแล้ว ยังจะเหลือมุมไหนที่ The Matrix จะกระชากสังคมอย่างรุนแรงเหมือนกับเม็ดยาแห่งความมืดบอดและเม็ดยาแห่งความตื่นรู้ได้อีกหรือไม่ เรากำลังจะเจอเมทริกซ์ 3.0 รอบที่ 7 หรือเมทริกซ์ 4.0 กันแน่...แต่ที่แน่ ๆ สำหรับแฟน ๆ ของ The Matrix แล้ว พวกเขา...
“รอมาหลายปี เพื่อกลับไปจุดที่ทุกอย่างเริ่มต้น กลับไปที่เมทริกซ์”
เรื่อง: พิสิษฐิกุล แก้วงาม
ติดตาม Instagram ของ The People ได้ที่ https://www.instagram.com/thepeoplecoofficial/
อ้างอิง
ComputerHope. (2021, 5 Feb.). Computer history – 1999. Retrieved. https://www.computerhope.com/history/1999.htm#major-events.
Hatfield, G. (2014). René Descartes. Stanford Encyclopedia of Philosophy. Retrieved. https://plato.stanford.edu/entries/descartes/
Irwin, W. (2002). The Matrix and Philosophy: Welcome to the Desert of the Real. Open Court Publishing.
Levi, B. (2021, 2 May.). 10 Important Anime Films That Had Worldwide Success. Retrieved. https://screenrant.com/anime-films-worldwide-success/
MATRIX 4 Teaser Trailer (2021). Retrieved. https://www.youtube.com/watch?v=VPhUUFXMILU
Plato. (1993). Republic. Waterfield, R. (trans.). Oxford University Press. Book VII; 514a – 520a.
Raphael, I. (2013, 16 Apr.). The Evolution of the Cell Phone. Retrieved. https://parade.com/5457/iraphael/the-evolution-of-the-cell-phone/
The Matrix Wiki. (n.d.). History. Retrieved. https://matrix.fandom.com/wiki/History.
The Wachowskis. (1999). The Matrix. Warner Bros. Entertainment.
The Wachowskis. (2003). The Animatrix. Warner Bros. Entertainment.
The Wachowskis. (2003). The Matrix Reloaded. Warner Bros. Entertainment.
The Wachowskis. (2003). The Matrix Revolutions. Warner Bros. Entertainment.
Uenuma, F. (20198, 30 Dec.). 20 Years Later, the Y2K Bug Seems Like a Joke—Because Those Behind the Scenes Took It Seriously. Retrieved. https://time.com/5752129/y2k-bug-history/