***เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์
1.
2046 เป็นหนังฮ่องกงของผู้กำกับชื่อดังอย่างหว่องการ์ไวซึ่งเข้าฉายในปี 2004 (ปัจจุบันสามารถรับชมได้ทาง Netflix) มันเป็นหนังที่ถือได้ว่า “ทะเยอทะยาน” มากที่สุดเรื่องหนึ่งของเขา ทั้งทางด้านทุนสูง สเกลงานสร้าง เนื้อหาที่ซับซ้อน จำนวนตัวละคร ฯลฯ
มันยังเป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงลายเซ็นในหนังของเขาอย่างชัดเจนจนเรียกได้ว่าครบถ้วนตามนิยาม “กระทำความหว่อง” ไม่ว่าจะเป็นงานด้านภาพ - การใช้สี – การออกแบบฉาก - เครื่องแต่งกายที่สวยงามตื่นตาตื่นใจ, ดนตรีกับเพลงประกอบที่มีเอกลักษณ์, การเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง ไม่ต่อเนื่อง ไม่เรียงตามลำดับเวลา, การใช้เสียงวอยส์โอเวอร์รำพึงรำพัน, เนื้อหาที่พูดถึงความรักที่ไม่สมหวัง ความเปลี่ยวเหงา การจากลา การรอคอย และความเศร้าสุดร้าวราน
แต่ 2046 กลับได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ดีนักโดยเฉพาะในแง่ที่หนังยืดยาว ไม่ลงตัว และเข้าใจยากเกินเหตุ ทำให้มันเป็นหนังที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงเมื่อเทียบกับหนังของหว่องการ์ไวเรื่องอื่น ๆ ในขณะที่ตัวผู้เขียนเองนั้นเมื่อตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ใหม่ๆ ก็เคยจัดให้มันเป็นหนังหว่องการ์ไวที่ชอบเป็นอันดับท้าย ๆ
แต่พอผู้เขียนได้ดูหนังเรื่องนี้ซ้ำหลายรอบในโอกาสต่าง ๆ ก็ยิ่งเห็นถึงความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่ปรากฏในหนังอย่าง “เวลา” และ “ความทรงจำ” ซึ่งหนังแสดงให้เห็นถึงความย้อนแย้ง เพราะในขณะที่ตัวเอกนั้นพยายามเขียนนิยายไซไฟที่พูดถึงโลกอนาคต แต่ตัวเขากลับติดอยู่กับความทรงจำในอดีต เช่นเดียวกับตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องซึ่งถูกความทรงจำฉุดรั้งไม่ให้มูฟออนไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่
2.
เรื่องราวของหนังเกิดขึ้นในฮ่องกงยุค 60 โจวมู่หวัน (รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย) เป็นนักหนังสือพิมพ์ซึ่งพยายามหนีความทรงจำแสนเศร้าจากอดีตคนรักเก่าอย่างโซวไหล่เจิน (จางม่านอวี้) ด้วยการย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์หลายปี ที่นั่นเขาได้ตกหลุมรักโซวไหล่เจิน (กงลี่) นักพนันฉายา “แมงมุมดำ” ซึ่งมีชื่อเดียวกับอดีตคนรักของเขา เขาอกหักจากเธอจนตัดสินใจกลับมาที่ฮ่องกงอีกครั้ง
เขาเช่าห้องในโรงแรมเล็ก ๆ เพื่อเขียนนิยายไซไฟ ซึ่งตอนแรกเขาหมายตาห้องหมายเลข 2046 ซึ่งเป็นหมายเลขห้องที่เขามีความหลังกับโซวไหล่เจิน แต่ห้องไม่ว่าง เขาจึงอยู่ที่ห้อง 2047 แทน
ระหว่างนั้นเขาได้สร้างสัมพันธ์กับหญิงสาวหลายคน ได้แก่ ไป๋หลิง (จางจืออี้) สาวเอสคอร์ตที่มีสัมพันธ์ทางกายกับโจวมู่หวันหลายครั้งแต่เขากลับไม่ได้มอบหัวใจให้เธอ, ลู่ลู่ (หลิวเจียหลิง) นักร้องสาวในบาร์ที่เขาเคยพบเจอในอดีต, หวังจิ้งเหวิน (เฟย์ หว่อง) ลูกเจ้าของโรงแรมซึ่งตกหลุมรักหนุ่มญี่ปุ่น (ทาคุยะ คิมูระ) แต่กลับโดนพ่อของเธอกีดกันความรัก
หนังยังแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวในนิยายไซไฟที่โจวมู่หวันเขียน (ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากผู้คนรอบตัว) เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกอนาคตซึ่งทั่วทั้งโลกเชื่อมต่อกันด้วยทางรถไฟ เหล่าผู้คนที่เศร้าสร้อยต่างพยายามออกไปตามหาความทรงจำที่สาบสูญที่ 2046 ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ไม่มีความสูญเสียหรือการจากลา ไม่เคยมีใครกลับมาจากดินแดนดังกล่าวยกเว้นทัก (ทาคุยะ คิมูระ) ซึ่งบนรถไฟเที่ยวขากลับ เขาได้ตกหลุมรักพนักงานต้อนรับที่เป็นแอนดรอยด์ (เฟย์ หว่อง) ซึ่งไม่ตอบรับรักเขาเนื่องจากเธอรักคนอื่นไปแล้ว
3.
2046 มีเนื้อหาต่อเนื่องจาก In the Mood for Love (2000) รวมถึงมีการนำตัวละครและองค์ประกอบในหนังเรื่องอื่น ๆ ของเขามาใส่ในหนังเรื่องนี้ด้วย ที่เห็นได้ชัดคือ Days of Being Wild (1990) ทำให้มีหลายคนนิยามหนังกลุ่มนี้ว่าเป็น “ไตรภาคฮ่องกงยุค 60 ของหว่องการ์ไว”
เราสามารถอธิบายหนังของเขาได้ด้วยคำฮิตในช่วงนี้อย่าง “จักรวาลภาพยนตร์” ซึ่งเนื้อหา ตัวละคร และองค์ประกอบในหนังแต่ละเรื่องมีความเชื่อมโยงกัน เพียงแต่จักรวาลภาพยนตร์หว่องการ์ไวนั้นมีลักษณะคลุมเครือ โดยเราสามารถมองตัวละครซึ่งใช้ชื่อเดิมและนักแสดงคนเดิมในแต่ละเรื่องว่า “เป็นคนเดียวกัน” หรือ “เป็นคนละคน” ก็ได้ (เช่นเดียวกับที่เราสามารถพิจารณาเนื้อหาของ 2046 ว่าเป็นภาคต่อของ In the Mood for Love หรือเป็นหนังภาคเดี่ยวสองเรื่องที่มีองค์ประกอบบางอย่างเชื่อมโยงกันก็ได้)
เราสามารถมองโจวมู่หวันใน 2046 ว่าเป็นคนเดียวกับตัวเอกใน In the Mood for Love รวมถึงตัวละครใน Days of Being Wild ที่เหลียงเฉาเหว่ยแสดงซึ่งปรากฏมาแค่ช่วงท้ายเรื่อง โดยโจวมู่หวันใน In the Mood for Love นั้นเป็นชายหนุ่มที่ย้ายจากเซี่ยงไฮ้มาอยู่ห้องพักเล็ก ๆ ในฮ่องกงช่วงยุค 60 ต่อมาเมื่อภรรยาของเขาไปมีชู้กับคนข้างห้อง เขาได้ทำความรู้จักกับภรรยาของคนข้างห้องซึ่งประสบชะตากรรมเดียวกับเขาจนพัฒนาเป็นความรักต้องห้ามซึ่งไม่อาจเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ได้ ซึ่งสุดท้ายเรื่องราวก็จบลงด้วยการจากลา
บทบาทดังกล่าวมีความสอดคล้องกับบทอื่น ๆ ที่เหลียงเฉาเหว่ยแสดงในหนังหว่องการ์ไวเรื่องอื่น ๆ อย่างใน Ashes of Time, Chungking Express, Happy Together นั่นคือชายหนุ่มที่ยึดติดกับความทรงจำเก่า ๆ และความรักอันงดงามที่ผ่านพ้นไปแล้ว
แต่โจวมู่หวันใน 2046 กลับแปรเปลี่ยนเป็นเพลย์บอยนักปาร์ตี้และนักพนัน เขาหว่านเสน่ห์ให้กับผู้หญิงหลายคนแต่ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์จริงจังกับใคร พฤติกรรมดังกล่าวมีความใกล้เคียงกับ ยกไจ๋ ตัวเอกในหนัง Days of Being Wild (รับบทโดยเลสลี่ จาง) ซึ่งเป็นเพลย์บอยหนุ่มที่มีพฤติกรรมทำลายคนอื่นและตัวเอง เขาหว่านเสน่ห์หญิงสาวหลายคนให้หลงรักแล้วตัดสัมพันธ์ในเวลาต่อมาซึ่งเป็นผลมาจากปมในอดีตอันเจ็บปวด เขานิยามตัวเองว่า “เป็นนกไร้ขา” ที่ได้แต่บินไปเรื่อย ๆ จะหยุดลงดินได้ก็ต่อเมื่อวันตาย
2046 เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างโจวมู่หวันกับผู้หญิง 4 คน (และผู้หญิงที่ปรากฏตัวในวาบความคิดของเขาสั้นๆ อีก 1 คน) ในช่วงเวลาคริสต์มาสอีฟของแต่ละปีรวม 4 ปี ซึ่งบรรยากาศคริสต์มาสอีฟได้รับการเปรียบเปรยในนิยายของโจวมู่หวันด้วยการบอกว่ารถไฟที่เดินทางไป 2046 ต้องผ่านพื้นที่ 1224 – 1225 ซึ่งเป็นบริเวณที่หนาวกว่าปกติจนผู้โดยสารต้องหาอ้อมกอดเพื่อรับไออุ่น ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับวันคริสต์มาสอีฟและวันคริสต์มาส (12/24 กับ 12/25) ซึ่งด้วยอุณหภูมิและบรรยากาศโดยรวมในช่วงนั้นชวนให้รู้สึกเหน็บหนาวกายและใจมากกว่าปกติจนผู้คนอยากได้ความอบอุ่นจากอ้อมกอด
หญิงสาวที่โจวมู่หวันมีสัมพันธ์ด้วยนั้นมีทั้งที่เคยปรากฏในหนังเรื่องอื่น ๆ ของหว่องการ์ไวและคนที่เพิ่งปรากฏใน 2046 เป็นครั้งแรก โดยผู้หญิงในกลุ่มแรก ได้แก่ โซวไหล่เจิน จาก In the Mood for Love (ซึ่งปรากฏตัวใน 2046 แค่ไม่กี่วินาที) หญิงสาวซึ่งทิ้งบาดแผลในใจที่ไม่มีวันหายให้กับเขา อีกคนคือลูลู่ จาก Days of Being Wild หญิงสาวผู้เปิดเผยความรู้สึกและไม่ยอมจำนนต่อความรัก
ส่วนหญิงสาวในกลุ่มหลัง ได้แก่ หวังจิงเหวิน ลูกสาวเจ้าของโรงแรมซึ่งเขามีความรู้สึกดี ๆ ให้และช่วยเหลือเธอให้สมหวังกับชายที่เธอชอบ, ไป๋หลิง สาวเอสคอร์ตที่เขาหลงใหลในการมีเซ็กส์ด้วยแต่กลับไม่อาจมอบความรักแท้ให้, ซูไหล่เจินหรือ “แมงมุมดำ” ที่เป็นนักพนันซึ่งปิดบังอดีตอันลึกลับของเธอเอาไว้ เขาพยายามบอกเธอให้ตามหาเขาเมื่อเธอก้าวข้ามความหลังได้ แต่สุดท้ายเขาก็พบว่าคนที่ถูกความหลังครอบงำอย่างรุนแรงที่สุดก็คือตัวเขาเอง
ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างโจวมู่หวันกับพวกเธอจะถือเป็นช่วงเวลาที่ดีและมีโอกาสที่พัฒนาเป็นความรักที่มั่นคงถาวร แต่สุดท้ายมันกลับเป็นเป็นความรักที่ ‘ผิดที่ผิดเวลา’ ซึ่งส่งผลให้ความรักต้องจบลง ซึ่งเป็นไปดังที่โจวมู่หวันกล่าวไว้ในหนังว่า "ความรักเป็นเรื่องของจังหวะเวลา ไม่มีประโยชน์ที่จะเจอคนที่ใช่ ในเวลาที่ไม่ใช่"
หญิงสาวที่โจวมู่หวันพบเจอแต่ละคนนั้น เป็นเหมือนชิ้นส่วนของภาพสะท้อนที่ทำให้เขาหวนคิดถึงผู้หญิงในดวงใจของเขาอย่างโซวไหล่เจิน เช่นเดียวกับที่องค์ประกอบในหนัง 2046 เหมือนเป็นภาพสะท้อนให้ผู้ชมหวนรำลึกถึงความทรงจำที่ผู้ชมมีต่อหนังของหว่องการ์ไวในอดีต ซึ่งสไตล์หนังของหว่องการ์ไวเองนั้นก็มีลักษณะใกล้เคียงกับความทรงจำ นั่นคือเป็นชิ้นส่วนที่แหว่งวิ่นและพร่าเลือน ซึ่งนั่นทำให้ 2046 เป็นหนังที่มีสถานะเหมือนที่เก็บรวบรวมชิ้นส่วนความทรงจำเพื่อให้เกิดความรำลึกก่อนจากลา โดยเป็นบทเพลงอำลา (swan song) ก่อนที่หว่องการ์ไวจะก้าวไปทำหนังในรูปแบบใหม่ ๆ อย่าง My Blueberry Nights (2007) ซึ่งเป็นหนังอเมริกัน และ The Grandmaster (2013) ซึ่งเป็นหนังกำลังภายใน โดยถือเป็นหนังยาวเรื่องสุดท้ายของเขาจนถึงตอนนี้
4.
นอกจากหนังจะสื่อถึงความรักความสัมพันธ์ในระดับปัจเจกแล้ว มันยังสะท้อนถึงสังคมการเมืองในภาพรวมด้วย ซึ่งฉากหลังในหนังอย่างฮ่องกงยุค 60 นั้น ถือเป็นยุคที่ผู้คนจากจีนแผ่นดินใหญ่หนีความวุ่นวายทางการเมืองจากพรรคคอมมิวนิสต์แล้วย้ายมาตั้งรกรากที่ฮ่องกง (ภูมิหลังของหว่องการ์ไวก็เป็นเช่นเดียวกับตัวเอกใน In the Mood for Love และ 2046 นั่นคือเป็นคนเซี่ยงไฮ้ที่อพยพมาอยู่ที่ฮ่องกงช่วงยุค 60) ซึ่งฮ่องกงในช่วงนั้นก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายทางสังคมการเมืองและเต็มไปด้วยการประท้วง – ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนและไม่แน่นอน ไม่ต่างจากฮ่องกงในตอนนี้
ชื่อหนังอย่าง 2046 นอกเหนือจากจะหมายถึงหมายเลขห้องในโรงแรมซึ่งเป็นฉากหลังของเรื่อง (ตั้งแต่หนัง In the Mood for Love จนถึงหนัง 2046) และดินแดนที่อยู่ในนิยายของโจวมู่หวันแล้ว มันยังมีความหมายทางการเมืองโดยสื่อถึงปีค.ศ.2046 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ทางการจีนสัญญาว่าจะคงรักษาความเป็น “1 ประเทศ 2 ระบบ” เอาไว้ โดยให้สิทธิ์ฮ่องกงในการปกครองตัวเองในเรื่องการเมือง กฎหมาย และนโยบายเศรษฐกิจ (สัญญาดังกล่าวมีเวลา 50 ปี นับตั้งแต่ปีที่อังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนสู่จีนในปีค.ศ. 1997 ถึงค.ศ. 2046)
แม้ในปัจจุบันสัญญาดังกล่าวจะผ่านไปแค่ 20 กว่าปี แต่สถานการณ์ในฮ่องกงกลับเลวร้าย จากการที่ทางการจีนพยายามแทรกแซงอธิปไตย ออกกฎหมายความมั่นคงที่จำกัดเสรีภาพชาวฮ่องกง รวมถึงใช้ความรุนแรงและบทลงโทษหนักหน่วงแก่ผู้ประท้วง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสัญญา 50 ปีนั้นไม่มีความหมาย และความเปลี่ยนแปลงในฮ่องกงนั้นมาเร็วกว่าที่หลายคนคิดไว้มาก
ซึ่งนั่นทำให้ประเด็นเรื่องของปัจเจกได้ซ้อนทับกับเรื่องของการเมืองโดยรวม นั่นคือเรื่องของความทรงจำกับความเปลี่ยนแปลง - โดยสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั้นมีแต่สิ่งที่ถูกเก็บไว้ในความทรงจำ ซึ่งถึงแม้ความทรงจำจะสวยงามเพียงใด แต่มันก็มิอาจคงอยู่นิรันดร์ เราไม่อาจเหนี่ยวรั้งสิ่งต่าง ๆ (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักความสัมพันธ์ หรือฮ่องกงในยุคกลับคืนสู่จีน) ไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เราทำได้คือการก้าวออกจากความทรงจำเดิม ๆ แล้วกล้าเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
เรื่อง: บดินทร์ เทพรัตน์