01 มี.ค. 2562 | 12:56 น.
The People : Zeal ตอนนี้กี่ปีแล้ว เป๊ก : 17 ป๊อก : โดยประมาณ ชุ : แต่ว่าก่อนจะปี 2545 ก็รวมตัวกันมา 5 ปี ก่อนหน้านี้ รวม ๆ ก็น่าจะ 20 กว่าปี เคน : แต่ที่ผู้คนรู้จักก็น่าจะ 17 ปี
The People : ตอนนั้นไม่มีโซเชียล ไม่มีอะไรเลย นัดซ้อมกันยังไง เคน : เพจเจอร์ครับ ป๊อก : มันก็ไม่ได้ยากมากเราเรียนที่เดียวกันด้วยเพราะฉะนั้นยังไงคุณก็ต้องเจอที่มหาวิทยาลัยกันอยู่แล้ว แล้วส่วนใหญ่ก็มีแต่พี่ชุที่จะโดดเรียนบ่อย ๆ เล่นเอาเกือบไม่จบก็เลยอาจจะต้องมีการเพจเจอร์กันไปสักนิด ป๊อก : ส่วนใหญ่ซ้อมมหาลัยเนอะ ยุคนั้นน่าจะยากในการเสียตังค์ซ้อม เคน : เพราะเรายังเรียนอยู่ เรายังมีโควต้าในการใช้ห้องซ้อมอยู่แล้วอะไรอย่างนี้ ก็เลยชวนแค่พี่ชุกลับมาซึ่งพี่ชุก็ชอบกลับมาดูเด็ก ๆ อยู่แล้วดูน้อง ๆ พัฒนาการต่าง ๆ (หัวเราะ) ป๊อก : ตอนนั้นพี่ชุปี 4 นิ เคน, ชุ : ไม่ใช่จบแล้ว จบไปนานแล้วThe People : ที่มาของชื่อวงมาจากเรื่องการมาสาย ชุ : sorry I'm late ครับ ก็คือแบบเวลามาซ้อมช้า นิดนึง ก็เฮ้ย โทษที sorry I'm late วะเพื่อน ป๊อก : ขอโทษทีวะ แต่ขอโทษทุกวันเลยอะ ชุ : ก็เลยตั้งชื่อแก้เคล็ดว่า SIL sorry I'm late ป๊อก : เพราะว่าเวลามาสายก็จะได้ไม่ต้องพูดและเพราะว่ามันเป็นชื่อวงไปเลย
(ใคร late สุดตอนนั้น) ชุ : ก็น่าจะเป็นผม ผมว่าแรงบันดาลใจก็น่าจะเป็นผมนี่แหละครับ เคน : กะว่าตั้งแล้วจะแก้เคล็ด ทำให้แบบโอเคจะได้ไม่เป็นอย่างงั้นอีก ป๊อก : ทีนี้ก็นัด 3 โมงมา 6 เลย ชุ : พอเป็นอันนี้ก็คือทุกคนในมหาลัยหรือว่าน้อง ๆ ใครที่รู้จักก็ติดชื่อวงนี้ไปแล้ว ป๊อก : เพราะเขาจำได้เลยว่าทำงานพังทุกงานเลย ชุ : ก็คือ SIL นี่แหละ แล้วคือพอถึงวันที่เราต้องใช้ชื่อนี้จริง ๆ ให้หาชื่อวงเป๊กเขาก็ไปค้นคว้ามาจากไหนไม่รู้ วันรุ่งขึ้นมาให้ดูว่าเป็น Zeal เหมือนกันแต่ความหมายดีกว่า แต่ว่าพ้องเสียง เป๊ก : หาได้ซะงั้น เพราะไม่งั้นพี่ป้อม อัสนี ไม่ยอมนะครับ เคน : ฉันว่ามันไม่ค่อยมงคลนะ ชุ : จะขอโทษที่มาช้าตั้งแต่อัลบั้มแรกกันเลยหรอ (ปัจจุบันยังช้าอยู่ไหม)ชุ : ดีขึ้นครับ ดีขึ้น เสียงผมดังสุดเลยหวะ ดีขึ้น ๆ
The People : วงร็อกที่มีกลิ่นอายของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ตอนนั้นหาลายเซ็นของตัวเองได้อย่างไร ป๊อก : เราเริ่มจากการที่ชอบกันคนละแบบก่อนเลย เพราะว่ามาจากคนละพ่อคนละแม่ มาจากคนละทิศคนละทาง คราวนี้แต่ละคนเริ่มเอาความเป็นของตัวเองเข้าไปผสมผสานในดนตรีที่เราพยายามจะทำขึ้นมา ในยุคนั้นมันดันมีพวกดนตรีอิเล็กทรอนิกส์พวกแบบดนตรีเต้นรำหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันมี sound design เคน : แล้วก็เริ่มมีการใช้ คอมพิวเตอร์มิวสิคเข้ามาเยอะขึ้น ป๊อก : แล้วซึ่งดนตรีพวกนี้ มันดันกลายไปอยู่ในความชอบของพวกเราอยู่แล้วมันก็เลยเป็นความรู้สึกเวลาที่เราจะสร้างเพลงขึ้นมามันก็เลยน่าจะมีสีสันเข้ามากันบ้างเพื่อความปี๊ดป๊าด เคน : ก็คือการรักทุกคนชอบร็อกเหมือนกันแล้วก็ step ต่อมาทุกคนก็อาจจะชอบอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจจะชอบแตกต่างกัน ผมชอบพวกทรานซ์สายเต้นรำ เป๊กมีความเป็นฮิบฮอปเข้ามายุคนั้น มีอิเล็กทรอนิกส์อะไรเต็มไปหมด เป๊ก : ก็เลยเกิดการผสมผสานกลายเป็น Zeal ตอนนั้นในอัลบั้มแรก ที่มีเรื่องของ sound design เข้ามา The People : จากอัลบั้มแรก เคยคิดไหมว่าจะมาถึงทุกวันนี้ เป๊ก : เราคิดแค่อยากเล่นดนตรีไปเรื่อย ๆ นะ มันก็มีคนฟังครับ เราก็เลยคิดว่าเราจะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางดนตรีให้ได้นานที่สุด พยายามทำทุกอย่างให้ตั้งใจที่สุด ทำเพื่อแฟนเพลงด้วย The People : ถ้าพูดถึงแฟนเพลงเหนียวแน่นแล้ว ในวงเหนียวแน่นกว่า มีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้ Zeal แข็งแรงเสมอ ป๊อก : คือวง Zeal ทุกคนจบออกมาทางสายดนตรีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอาชีพของวง Zeal จริงๆก็คือเดินสายทางด้านดนตรีเพื่อนๆที่เคยเรียนมาด้วยกันไม่ว่าจะไปเป็นครูหรือเป็นอะไรก็ยังเดินทางสายดนตรีแต่บังเอิญว่าเรามาจับพลัดจับผลูมาเป็นนักสร้างผลงานเป็นศิลปินเพราะฉะนั้นการที่มาอยู่ยืนยาวยืนอยู่ในจุดของเขาเรียกว่าการทำงานอย่างแท้จริงข้อที่สองพวกเรากลายเป็นพี่เป็นน้องกันด้วย มันถูกเริ่มมาจากตรงนั้นเพราะฉะนั้นเวลาที่มันอยู่กันยาว ๆ แน่นอนมันต้องมีทะเลาะเบาะแว้งกันแน่นอน แต่สุดท้ายมันต้องหาทางลงให้ได้หาทางจบให้ได้ มันมีคำว่าพี่น้องมันมีคำว่างานที่จะต้องให้มันมีจุดจบของมัน เพราะฉะนั้นเวลามันก็เดินมาเป็นระยะเวลายาวนานซึ่งมันก็แก้ปัญหาของมันไปในแต่ละขั้นตอนของมันได้ เคล็ดลับไม่ได้มีอะไรครับอยู่กับงานที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันเพราะว่าถ้าเกิดมันแตกไปตายเลยนะเพราะเราอยู่บนพื้นฐานของการทำงานของบริษัทกลุ่มนี้เขาเรียกว่ากลุ่มนี้เราต้องอยู่ด้วยกันเพื่องานของเราแล้วก็คือชีวิตง่าย ๆ เลย เป๊ก : อยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวเพราะว่าเจอกันมากกว่าบางทีที่เราเจอครอบครัวอีก เจอกันทุกวันออกทัวร์คอนเสิร์ตอะไรอย่างนี้ก็เกิดความผูกพันก็มีอะไรก็ต้องคุยกันนะครับ
The People : เวลาทะเลาะกัน จุดตรงกลางของ Zeal คือตรงไหน เป๊ก : มันก็จบพร้อม ๆ กัน ศิลา : ตอนทะเลาะกันคือทะเลาะกันอยู่แล้วตอนทำเพลง ส่วนมากก็ตอนทำเพลง เป๊ก : ทะเลาะกันทุกขั้นตอนครับจนไปถึงขึ้นตอนกำลังมิกซ์ก็ยังเถียงกันอยู่ ก็ลองดูว่าอะไรมันเหมาะกับเพลงเราที่สุดอะไรที่มันใช่ที่สุดก็จะคุยกันตรงนั้น เคน : พยายามจะลองฟังก่อน ฟังในสิ่งที่ทุกคนเสนอมา เราลองทำให้มันเห็นภาพก่อนว่าไอ้ภาพที่เขาเสนอกับภาพที่เราคิดมันได้หรือไม่ได้ แค่ลองเปิดใจว่าลองฟังก่อนลองทำดูก่อน ไม่เอาเดี๋ยวว่ากัน คนหนึ่งก็จะได้ระบายออกได้พูดได้เสนอ อีกคนหนึ่งก็ได้รับฟังอย่างนี้ครับ มันก็จะไม่อึดอัด ไม่ใช่ยังไม่ทันไรเลยปัดตกก็จะมีความอึดอัดสะสมไปเรื่อย ๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทุกคนได้แสดงออกให้ได้มากที่สุดThe People : อยู่ในวงการมานาน เคยมีหมด passion ในการเล่นดนตรีบ้างไหม เป๊ก : ดนตรีมันก็คือรายได้หลักของพวกเราทุกครั้งที่แบบออกไปเจอแฟนเพลงมันก็มีกำลังใจที่กลับมาทำงานต่อโอเคบางทีมันอาจจะแบบออกไปเจออะไรไม่ดีบ้างสุดท้ายเราก็มีดนตรีนี่แหละที่แบบเยียวยาแล้วก็ได้เล่นดนตรีกับทุกๆคนแล้วก็แฟนเพลงทำให้เรายังอยู่ได้เคยหมดไหมก็... เคน : ก็มีบ้าง เป๊ก : ก็มีบ้าง แต่ว่ามันก็คงต้องไปหาแรงบันดาลใจ ออกไปดูคอนเสิร์ตไปดูมิวสิคเฟสไปดูคนอื่นเล่นคอนเสิร์ตบ้าง
เคน : บางทีมันเกิดจากที่เราทำซ้ำ ๆ มันจำเจ มันไม่ใช่ว่าหมด passion หรอกแต่โดยปกติของมนุษย์เวลาทำอะไรเดิม ๆ ไปนา ๆก็จะถามตัวเอง เฮ้ยทำอะไรอยู่ แต่แค่เราเบรคพักอย่างที่เป๊กบอกลองไปดูคนอื่นเขา ลองไปดูงานลองไปเปิดโลกไปพักผ่อนจากสิ่งที่ทำซ้ำ ๆ เดิม ๆ เราจะเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย อยากกลับมาเล่นแล้ว ถ้าอย่างนี้แสดงว่าเรายังอยากเล่นอยู่ในเรื่อย ๆ แต่เมื่อไหร่ที่พักก็แล้วอะไรก็แล้วไม่อยากเล่นแล้ว แสดงว่าคุณอาจจะต้องไปขายข้าวไปทำอะไรซักอย่างที่มันไม่ใช่ แต่พอเราแก้ปัญหาอย่างที่เป๊กบอก มันก็ยังอยากกลับมาเล่นอยู่ยังอยากกลับมาขึ้นเวทีอย่างที่เราไปดู แล้วเรายังอยากจะทำให้มันดีกว่าเดิม
The People : แต่ละคนเรียนดนตรีมา หลายปีที่แล้วการศึกษาดนตรีในไทยก็ยังไม่แข็งแรง แต่ละคน deal กับพ่อแม่ตัวเองอย่างไร เพราะว่ายุคนั้นต้องยอมรับว่าเป็นยุคที่ว่าคนจะมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง ศิลา : ของผมง่ายสุดเกิดในครอบครัวนักดนตรีอยู่แล้วแม่ก็เป็นอาจารย์สอนดนตรีก็เรียนจบถ้าเราอยากเล่นแม่ก็สนับสนุนเต็มที่ไม่เป็นปัญหาครับผม เป๊ก : ผม ครอบครัวก็เป็นครูอาจารย์ก็จริง ๆ แล้วเขาก็สนับสนุนเรื่องดนตรีมาตั้งแต่เด็กได้เล่นดนตรีในหลาย ๆ รูปแบบ แล้วก็ใช้ดนตรีในการสอบเข้าต่าง ๆ จริง ๆ ตอนที่อยู่มัธยมก็ยังไม่มั่นใจว่าเราจะมาได้ทางสายนี้แบบเต็มตัวเพราะเราก็เลือกเรียนสายวิทย์เขาก็คงคิดว่าเราจะต้องไปเรียนสายที่มันต้องวิทย์คณิตไม่ว่าจะเป็นสถาปัตย์พวกอะไรที่แบบหวังไว้ แต่พอกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเรามาสำรวจตัวเองว่าแบบ เฮ้ย จริง ๆ แล้วเราชอบอะไร เราอยู่กับอะไร เรารักอะไร เราก็เลยเลือกที่จะเรียนดนตรีแล้วก็ไปบอกเขา เขาก็โอเคถ้าจะเลือกเรียนดนตรีแล้วงั้นก็ต้องตั้งใจ ถ้าเกิดจะเรียนอะไรก็ต้องไปให้สุด แล้วเขาก็ส่งเข้ามาเรียนดนตรีในกรุงเทพ ตอนนั้นผมอยู่นครสวรรค์ทุกอาทิตย์ ป๊อก : ของผมนี่ deal ยากหน่อย พ่อรับราชการเป็นทหารเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าไปเล่นดนตรีแล้วจะไปเอาจริงเอาจังเราจะใช้ชีวิตรอดเหรอวะสวัสดิการมันก็ไม่มีอนาคตอะไรยังไง สิ่งที่เราทำได้แล้วตอนนั้นตอนที่เราเป็นเด็กเราก็พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าจริง ๆ มันสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตหลาย ๆ อย่างได้นะ ผมเป็นคนเรียนไม่เก่ง ตอนเรียนผมอยู่วงโยธวาทิต แต่ผมก็สามารถเอาดนตรีต่อจาก ม.3 ขึ้น ม.4 ได้เลย โดยที่เกรดเฉลี่ยผมไม่ดีหรอก แต่ผมก็เป็นนักดนตรีของวงโยของโรงเรียนก็มีผลงานที่ดีจาก ม.6 จนเข้ามหาวิทยาลัยเราก็สำรวจตัวเองดูแล้วละว่าอย่างที่เป๊กว่าเราชอบจริงหรือเปล่า โอเคมันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ดีที่สุด แล้วเราก็พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราสามารถเอาดนตรีที่เราเถียงกันมาตลอดเนี่ยสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นะ คือเราคนเรียนไม่เก่งไงแต่เราสามารถเอาตัวรอดเอาชีวิตรอดของเราทำให้มันเกิดบางสิ่งบางอย่างได้พอเขาเห็นหลายครั้งเข้าจากการพิสูจน์เขาก็รู้สึกว่าเออ เฮ้ย มันเอาตัวรอดเอาชีวิตรอดจากสิ่งที่มันรักแล้วมันชอบได้นี่
ชุ : ผมก็คล้าย ๆ ป๊อกครับ ครอบครัวเป็นข้าราชการเหมือนกันของป๊อกทหารของผมเป็นตำรวจคือ คุณพ่อก็อยากให้เป็นตำรวจตั้งแต่อยู่ ม.4-ม.6 อยากให้เรียนนายร้อยตำรวจผมก็ไม่ได้ไปสมัครตามที่พ่อเอาใบสมัครมาให้ ผมก็ดื้อเราก็ไม่สมัครคือเราก็รู้แหละว่าเขาเสียใจเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วพอใกล้จะ entrance ตอนยุคนั้นจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็คือต้องเข้ามหาวิทยาลัยได้ความคิดนะตอนนั้นของผมผมมีความรู้สึกว่าเราทำให้พ่อแม่เสียใจแล้วเราพยายามจะทำให้สอบติดโอเคเราชอบจริงก็เลยไปศึกษาว่ามีคณะกีตาร์ที่มันใช้กีตาร์คลาสสิคสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เราก็พยายามไปสอบปีแรกก็สอบไม่ติดเราก็กะจะเอาให้ได้เลยตัดสินใจซิ่วมาปีหนึ่งมาฝึกกีตาร์เพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้แล้วในที่สุดก็เข้ามหาลัยได้ตอนนั้นก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะเป็นอาชีพที่จะยืนยาวมาจนถึงวันนี้ ก็แค่คิดตอนนั้นทำไงให้สอบติดและไปกับดนตรีที่เราพยายามดื้อมาตลอด แต่ว่าสิ่งนี้มันก็ทำให้เราได้เจอคน แล้วก็เป็นสายพานที่ทำให้ผมมาเจอเคนเจอเป๊กเจอศิลาเจอป๊อก ผมว่ามันก็เป็นการเลือกที่แบบวันนั้นทำให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้น
เคน : ของผมก็กึ่งกลางครับคุณแม่ก็เป็นราชการแต่โชคดีที่เป็นข้าราชการในมหาวิทยาลัย คือตอนนั้นคนจะต้องคิดว่าคนจะอยู่บนโลกใบนี้ได้มีอยู่ประมาณข้าราชการกับขายของนี่แหละคืองานที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้ แต่โชคดีที่คุณแม่คือเห็น เขาอยู่กับเด็ก ๆ เยอะในหลาย ๆ สาขาวิชาในหลาย ๆ อาชีพ เขาก็เลยรู้สึกโอเค บวกกับที่เขาเคยอยากเล่นดนตรีแล้วก็โดนห้ามมาพอถึงยุคลูก เราบอกแค่นี้เขาก็เลยรู้สึกว่าดีเขาจะไปลงกับลูกให้หมด ถ้าเรารักจริงอยากได้กลองใช่ไหมเค้าไม่ค่อยมีเงินแต่ก็พยายามจะหามาให้ไม่มีห้องซ้อมก็เอากลองไปตั้งอยู่ในที่ทำงานตอนที่ทำงานมันปิดก็ให้ไปแอบซ้อมได้หรืออะไรอย่างนี้ ก็ถือว่าได้รับการสนับสนุนในระดับหนึ่งหลังจากที่เราหาข้อมูลให้เขาแล้วนะครับ The People : ฟองเบียร์ ถือเป็นนักแต่งเพลงคู่บุญอีกคนของวง ประทับใจเพลงไหนที่ชายคนนี้แต่งให้มากที่สุด ศิลา : ของผมชอบเพลง “zero” ครับ คือจริง ๆ ตอนนั้นเราทำเพลงเป็นดนตรีเบาเบาอยู่นานมากเลย พยายามจะเขียนเองพยายามให้คนนั้นคนนี้ทะเลาะกับเขาไปทั่วจนสุดท้ายพี่ฟองเบียร์ก็เข้ามาช่วย ครั้งแรกที่เขาร้องเนื้อเพลงให้ฟังมันเป็นเนื้อเพลงที่แบบเท่มากเป็นการที่ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเลยชุ : ถ้าส่วนผมชอบ เพลงนี้เลยครับ “อย่าอยู่คนเดียว” เพราะด้วยความที่เราชื่นชอบในผลงานของเขาอยู่แล้วแต่พอเขาบอกว่าจะเขียนเพลงให้วง Zeal ปุ๊บ ผมก็ตื่นเต้นรอลุ้นมาตลอด พอวันที่ได้ฟังครั้งแรกพอเป็นเสียงกีตาร์โป่งดีดมา ผมก็เออมันเก่งจริงว่ะมันคิดแทนเป๊กว่าเป๊กควรจะร้องคำแบบนี้ ๆ แล้วเพลงแม่งโคตรแมนเลยว่ะอะไรอย่างนี้ แล้วก็เลยรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้อบอุ่นมาก
ป๊อก : ผมชอบทุกเพลงที่ฟองเบียร์แต่ง ชอบในความมหัศจรรย์ของเพลงนี้ที่เขาแต่ง โดยเฉพาะเพลง “เสี้ยม” คืงเราเคยได้รับรู้เรื่องการเขียนเพลงที่ไวของเขา แต่ผมไม่เชื่อที่ว่ามันจะไวถึงขนาดสั่งก๋วยเตี๋ยวกลับมากินที่บ้านยังไม่ทันเลย ในวันที่เขาจะต้องมาเขียนเพลงนี้ที่ห้องอัด พอมาถึงเขาบอกเออยังไม่มีเลยว่ะ แต่หิวมากวานใครออกไปซื้อของให้กินหน่อย พี่ชุก็ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวผมก็อยู่กับเขาเนี่ยระหว่างที่ผมอยู่กับเขา เขาก็ค่อย ๆ เขียนไปเรื่อย ๆ จนเขาบอกเสร็จแล้ว พี่ก๋วยเตี๋ยวมาหรือยัง ก๋วยเตี๋ยวยังไม่มาเลยแต่เพลงนี้มันเสร็จไปแล้วผมก็แบบเฮ้ย อ๋อโอเค เรา คือเร็วมากเส้นยังลวกไม่สุกเลย ไอ้บ้าผมก็เลยรู้สึกว่าผมจำเรื่องราวอันนี้ได้ แต่ถ้าถามว่าเพลงของฟองเบียร์ผมชอบผมชอบหมด เคน : “บุคคลตัวอย่าง” ผมว่ามันเป็นเรื่องที่มันมีความซับซ้อนในการพูดในการอธิบายประเด็นมันเยอะอยู่ในนั้นแต่ว่ามันเขียนให้มันอยู่ในเพลง ๆ หนึ่งได้ เออ บุคคลตัวอย่างแล้วมันเป็นการประชดไปประชดมามันล้ำมากถ้ามานั่งฟังแบบละเอียด ๆ ทีละคำทีละคำ โอ้โหเวลาเรานั่งฟังเอาแค่ว่าเวลาพูดให้คนฟังอธิบายยังงงเลยแต่อันนี้มันร้อยอยู่ในเพลงแล้วฟังแล้วสวยมากมันแบบไม่เยิ่นเย้อไม่งงแล้วเข้าใจง่าย นี่คือศิลปะและความอัจฉริยะของฟองเบียร์ เป๊ก : ของผมก็น่าจะชอบหลายเพลงเหมือนที่ทุกคนบอกแต่ว่าเพลงที่ชอบอีกเพลงหนึ่งก็คือ “หมดชีวิตฉันให้เธอ” ครับ คือผมชอบดูเนื้อหาด้วยความมหัศจรรย์ของเพลงนี้ก็คือท่อน pre chorus ก่อนที่จะไปฮุกเนี่ย คือมันเป็นเมโลดี้ที่แบบคือถ้าฟังเปล่า ๆ จะร้องยากมากแต่ว่าเหมือนแบบเขาทำให้เมโลดี้นี้กับคอร์ด เราก็มาปรับตามเมโลดี้ว่าเขาคิดอะไรอยู่แล้วก็มันเป็นเมโลดี้ที่ค่อนข้างยากแต่พอสุดท้ายแล้วทำออกมาคนก็ร้องตามได้แล้วก็ร้องแล้วฟังง่าย เด็กก็ร้องได้ผู้ใหญ่ก็ร้องได้ มันเป็นความมหัศจรรย์ของเมโลดี้ของพี่ฟองเบียร์จริง ๆ ยากแต่ฟังเพราะ ป๊อก : มันเหมือนเป็นนักแต่งเพลงแบบฝรั่งเลย ที่แบบพอเราแกะเพลงปุ๊บแม่งซับซ้อนว่ะแต่ถ้าเกิดฟังอย่างเดียวมันฟังเพราะฟังง่ายร้องตามได้อะไรอย่างนี้มันทรงนี้เลย เคน : แล้วเพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่แต่งเร็วมากแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะไปขึ้นบินแล้วไม่ได้นอนมาด้วยไม่ได้พักผ่อนมาเสียงแหบมาเลยแต่ต้องไปต่างประเทศ ชุ : ผมวิ่งไปเอากีตาร์ที่ มอร์ มิวสิค มาให้เขาเล่น เคน : แล้วก็ไปสนามบินเลย The People : เพลงที่มีความหมายกับ Zeal มากที่สุด ป๊อก : มันมีเพลงจุดเริ่มต้นอย่าง จากตรงนี้ มันก็เป็นเพลงที่เป็นเขาเรียกว่ามันเป็นเพลงเปิดก๊อก เพลงแรกของวง Zeal ถ้าไม่มีเพลงนี้เพลงอื่นมันก็ไม่ไหลมา ถ้าไม่มีเพลงนี้ไปนำเสนอเขาก็ไม่เลือกเราหรืออะไรต่าง ๆ นา ๆ มันก็คงไม่มีวง Zeal จนถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเพลงนี้มันก็จะเป็นจุดที่จะอยู่ในความทรงจำแล้วก็เป็นเพลงถือว่าเป็นสุดยอด ถึงจะไม่ใช่เพลงโปรโมทหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เราก็จะจำ ความงดงามของเพลงนี้ได้ในตอนที่เราอยู่ในห้องเล็ก ๆ บรรยากาศการแต่งเพลงนี้โดยการแต่งคนละท่อนคือพวกเราเขียนเพลงกันไม่เป็นไงแต่ต้องมีเพลงเราก็เขียนกันคนละคำเขียนกันไปเขียนกันมาเป๊กหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาขอแก้นะพี่คือมันเป็นอารมณ์แบบอันนี้ไม่ได้เลยพี่ถ้าลองอันนี้ไปปุ๊ป ลูกทุ่งเลยนะ เอาคำนี้ออกมามีความหมายคือมันมีวิธีการเริ่มอะไรแบบนั้นเพราะฉะนั้นเพลงนี้มันน่าจะเป็นเพลงที่เป็นหัวใจหลักของวงเหมือนกันชุ : เห็นด้วยครับ เป็นเอกฉันท์
The People : เมื่อก่อนจะมีพี่ศิรศักดิ์ที่เป็นเจ้าพ่อเพลงละคร อันนี้ Zeal ก็ถือว่าเป็นวงที่เจ้าพ่อเพลงละครอยู่เหมือนกัน ชุ : 10 กว่าเพลงอะ ป๊อก : คือมันเริ่มมานานมากเพลงแรกน่าจะเป็น “ไม่รู้ทำไม” ของค่ายเอ็กแซ็กท์ กับเรื่องพรุ่งนี้ไม่สาย อันนั้นคือเพลงแรกเลย หลังจากเปิดก๊อกมันก็มากันหลาย ๆ เพลง มันกลายเป็นว่าวงร็อกที่เวลาที่ใครอยากจะทำหนังแล้วอยากจะได้ดนตรีที่มันออกจากแบบร็อก ๆ หน่อยเขาก็จะเผอิญว่านึกถึงเราพอดี แล้วอาจจะเป็นเพราะเสียงของเป๊กในการร้องที่ทำให้ผู้จัดแต่ละคนอาจจะทำให้รู้สึกอยากให้มานำเสนอ มันก็เลยได้เป็นความโชคดี ศิลา : คืออย่างเมื่อก่อนผมก็เชื่อว่าวง Zeal เป็นวงร็อกที่แข็งแรงอยู่แล้ว แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งก็แบบไปประกอบละครนั่นนู่นนี่เยอะไปหมดเลยเพลงแรกที่ผมเข้ามาร่วมทำเพลงแรกชื่อว่า หยุดรักยังไง ซึ่งก็เป็นเพลงประกอบละครเราก็เอ้ยได้ทำเพลงที่เปิดตัวทั้งทีทำเพลงละครคือเรามีอีโก้อย่างนี้อยู่แต่พอเราได้สัมผัสมันเพราะอยู่จนละครมันจบแล้วก็เล่นมาจนถึงทุกวันนี้ในที่สุดละครมันจบแต่เพลงก็เป็นเพลงของเรา ดนตรียังไงก็เป็นดนตรีของเราThe People : พูดถึงผลงานพิเศษชุดล่าสุดหน่อย ? ป๊อก : อัลบั้มนี้มันคลอดขึ้นมาตอนที่เราเริ่มจะทำคอนเสิร์ตแล้วเรารู้สึกว่าอยากจะมีอะไรที่มันเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้แหละแล้วเราก็เออ เฮ้ย ก็อยู่ในยุคที่เราเคยทำซีดีกันมาอัลบั้มมาตั้ง 5 อัลบั้ม เราก็น่าสนใจว่าเราอยากทำอัลบั้มอีกสักอัลบั้มหนึ่ง ก็แล้วกันเพื่ออยากจะให้แฟนเพลงเนี่ยได้เก็บสะสมแล้วก็มันเป็นช่วงเวลาของคอนเสิร์ตใหญ่ของเราด้วย เคน : แล้วก็เพื่อให้สมาชิกใหม่เรามีอัลบั้ม ป๊อก : ใช่ ศิลาก็ยังไม่เคยมี คือตอนนี้มันมีขายที่ Muzikmovestore.com หลายคนอาจจะคิดว่าซื้อยาก แต่จริง ๆ มันก็ไม่ยากแต่มันอาจจะไม่ได้ทุกคน แต่เวลาใครที่ไปดูคอนเสิร์ตเราซึ่งการจะไปดูคอนเสิร์ตเราได้ต้องตามมาที่ IG Zeal หรือ facebook ของ Zeal ชื่อว่า Zealrockband ง่ายนิดเดียวเราขายท้ายรถตู้ The People : ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย เป๊ก : ก็ขอบคุณนะครับขอบคุณตลอดระยะเวลาการเดินทางของพวกเรา จริง ๆ แล้วพวกเราก็พยายามที่จะทำงานสร้างงานดี ๆ ออกมาสม่ำเสมอนะครับ ก็ขอบคุณที่ยังติดตามอยู่แล้วก็มันสำคัญกับเรามาก ๆ ถ้าทำเพลงมาเล่นดนตรีไปแล้วไม่มีคนฟังก็เราก็ไม่รู้ว่าเราจะเล่นไปทำไมนะครับ ก็มันความรู้สึกดีครับแล้วก็จะพยายามสร้างสิ่งดี ๆ ตอบแทนทุก ๆ คน