House of Gucci: ฉากหลังปมคดีสีเลือดแห่งตระกูลแฟชั่น ‘กุชชี’
***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์ House of Gucci (2021)
27 มีนาคม 1995, Via Palestro 20
ลมเย็น ๆ พัดโชยอ่อนพร้อมกลิ่นใบไม้แรกเริ่มผลิใบพัดผ่านกระทบหน้าชายรูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่สูทสีน้ำตาล คาดเข็มขัดหนัง Gucci สีดำ มันดูเป็นวันที่อากาศดีปกติธรรมดา ๆ ในวันหนึ่ง
หลังจากจ่ายค่าเอสเปรสโซแล้ว เขาขึ้นคร่อมขี่จักรยานจากร้านกาแฟในเมืองมิลานเพื่อมายังออฟฟิศ อากาศเย็นกำลังสบายของแรกเริ่มฤดูใบไม้ผลิของอิตาลีกับการปั่นจักรยานในเมืองช่างชวนเพลิดเพลิน จากชีวิตที่เคร่งเครียดทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องครอบครัว เขาคงรำพันพึงคิด นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสนุกแบบนี้
ทันทีที่มาถึงหน้าออฟฟิศ ที่ตั้งอยู่ที่ Via Palestro 20 ในเมืองมิลาน อิตาลี เขาจอดพักจักรยานไว้หน้าออฟฟิศ ก่อนก้าวเดินขึ้นไปบนบันไดเพื่อเดินเข้าตึก
ปัง ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังขึ้น 4 นัด ยิงพุ่งตรงมายังตัวเขา 3 นัดแรกยิงเข้าตรงกลางหลัง นัดสุดท้ายยิงเข้าที่ศีรษะ
สิ้นเสียงปืนดัง Giuseppe Onorato คุณพ่อบ้านที่คอยเปิดประตูให้แขกเหรื่อผู้มาเยี่ยมสำนักงานใหญ่ของ Gucci แห่งนี้รีบรุดออกมาที่หน้าประตูพลัน ด้วยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นมือปืนเล็งปืนไปที่คุณพ่อบ้านโดยทันใด กระสุนตรงเข้าที่แขนคุณพ่อบ้านทั้ง 2 นัด
ปัง ปัง
มือปืนรีบเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแต่คราบเลือดและรอยน้ำตาของชายผู้กำลังหายใจรวยริน คุณพ่อบ้านพุ่งตัวไปโอบรับร่างของนายที่โดนกระสุนยิงเข้าอย่างจังถึง 4 นัด จนในที่สุด นายของเขาก็สิ้นลมในอ้อมแขนของคุณพ่อบ้าน
นี่คือจุดจบของ เมาริซิโอ กุชชี (Maurizio Gucci) ชายผู้เคยกุมบังเหียนนำพาอาณาจักรหนึ่งในแฟชั่นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี - Gucci ให้กลับมารุ่งเรืองเฉิดฉายอีกครั้ง
จุดจบชีวิตของเมาริซิโอกลับเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบคดีสีเลือดของตระกูลกุชชีที่ห้ำหั่นเชือดเฉือนกันบนพื้นฐานของเงินตรา ความทะเยอทะยาน การทรยศหักหลัง และความรัก (?) ของคนในตระกูลกุชชี
9 พฤศจิกายน 2021, ลอนดอน
เลดี้ กาก้า, อดัม ไดรเวอร์ (Adam Driver) และเหล่านักแสดงนำจากภาพยนตร์ House of Gucci ตบเท้าเดินบนพรมแดงของ ODEON Luxe Leicester Square ในกรุงลอนดอน เพื่อเปิดตัวภาพยนตร์ เลดี้ กาก้า สวมใส่เดรสสีม่วงจาก Gucci ผ้าสีม่วงตุ่นทิ้งตัวพลิ้วตามแรงสะบัดที่เธอโบกไปมาเพื่อให้บรรดาแฟนคลับและสื่อมวลชนถ่ายรูป
ภาพยนตร์เรื่อง House of Gucci ได้แรงบันดาลใจในการสร้างจากโศกนาฏกรรมการเสียชีวิตของเมาริซิโอ กุชชี ทั้งชีวิตรักวัยรุ่นที่หวานซึ้ง ชีวิตแต่งงานที่หวานขม ชีวิตธุรกิจหวานซ่อนเปรี้ยวของเมาริซิโอและสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลกุชชีถูกถ่ายทอดออกมาผ่านแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องหนังของกุชชีในยุค 90’s อย่างสวยงามด้วยการกำกับของ ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott)
ปมคดีเลือดอันเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไรนั้น ควรเริ่มกันที่เรื่องราวของ…เมาริซิโอ กุชชี
เรื่องราวทั้งทุกข์ สุข เศร้า และเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาแห่งรักและความชิงดีทั้งหมดของเมาริซิโอ กุชชี คงเริ่มต้นจากการที่เขาเกิดเป็น ‘กุชชี’ โดยสายเลือด
เมาริซิโอเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลกุชชี เดิมทีพ่อของเขา - Rodolfo Gucci และลุงของเขา - Aldo Gucci เป็นทั้งหุ้นส่วนและผู้ดูแลกิจการ Gucci ของครอบครัว ตั้งแต่ยุค 1950s อาณาจักรแฟชั่นของ Gucci ดูเหมือนจะไปได้ดี Gucci มีสินค้ามากมายให้เลือกถึง 4,200 แบบให้ลูกค้าได้จับจ่ายใช้สอยทั่วโลก
ด้วยความที่เมาริซิโอเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของพ่อเพียงคนเดียว เพราะแม่เสียชีวิตลงตั้งแต่ตอนที่เมาริซิโอมีอายุเพียง 5 ขวบ อีกทั้งเขายังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของ Rodolfo พ่อของเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่านี่คือทายาทคนต่อไปที่จะขึ้นมากุมบังเหียนของ Gucci เมื่อเขาสิ้นลมลง
อาจจะด้วยเหตุนี้ Rodolfo จึงค่อนข้างเข้มงวดกับเมาริซิโอเป็นพิเศษ เขามีความหวังอยู่เพียงแค่หนึ่งเดียว และความหวังนี้เขาอยากจะหล่อเลี้ยงมันขึ้นมาให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ตัดภาพมาที่เมืองเล็ก ๆ นอกมิลาน สาวสวยตาคมผมสีเข้ม ลูกสาวพนักงานเสิร์ฟหญิงและเจ้าของกิจการรถบรรทุก แพทริเซีย เร็จจิอานี (Patrizia Reggiani)
ถึงแม้เธอจะเกิดและอาศัยอยู่ที่นอกเมืองมิลาน แต่รสนิยมและข้าวของที่เธอใช้ถือว่าหรูหราฟู่ฟ่าเทียบเคียงได้กับไฮโซในเมืองใหญ่อย่างไม่น้อยหน้า ทั้งโค้ทขนมิงค์และรถสปอร์ตราคาแพง หน้าตาที่สวยคมเข้มประหนึ่งดาราดาวค้างฟ้า เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ (Elizabeth Taylor) บวกกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ยิ่งผลักส่งให้เธอเฉิดฉาย เมื่อเธอได้พบกับเมาริซิโอ กุชชีที่งานปาร์ตี้ ทั้งสองคนจึงเกิดต้องตาต้องใจและสานสัมพันธ์กันต่อมา
“ฉันพบกับเมาริซิโอที่งานปาร์ตี้ แล้วเขาก็ตกหลุมรักฉันอย่างบ้าคลั่งในทันที ก็ฉันทั้งน่าตื่นเต้นและแตกต่าง”
คำสัมภาษณ์ของแพทริเซียเมื่อครั้งเล่าถึงคราวที่เธอและเมาริซิโอแรกพบกัน ไม่มีใครทราบได้ว่าความจริงเป็นดั่งที่แพทริเซียเล่าไว้ หรือความจริงจะเป็นตามที่หนังฉายให้เราได้ดูว่า แท้จริงแล้วแพทริเซียต่างหากที่เป็นฝ่ายพยายามเข้าหาเมาริซิโอ ทั้งไปสะกดรอยตาม รวมถึงตามไปดักเจอ หลังจากที่เธอทราบว่าเขาผู้นี้คือหนึ่งในคนตระกูล ‘กุชชี’
แต่ไม่ว่าเรื่องราวของเมาริซิโอและแพทริเซียจะเริ่มต้นอย่างไร เขาทั้งสองก็ลงเอยกันด้วยความรัก และตกลงจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตราบเท่าที่ความตายจะพราก แพทริเซียและเมาริซิโอแต่งงานกันในปี 1972 ในขณะที่ทั้งคู่อายุเพียง 24 แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่สร้างความไม่พอใจและกังวลใจอย่างมากแก่ Rodolfo Gucci เขาคาดหวังกับลูกชายคนนี้ไว้มาก แต่เขาไม่อาจจะบังคับจิตใจของลูกชายได้
แต่จิตใจที่ว่าแข็งดั่งหินผายังหลอมละลายได้ด้วยวาจาคน ถึงแม้ว่า Rodolfo จะไม่ค่อยชอบใจในตัวลูกสะใภ้แพทริเซียคนนี้สักเท่าไร แต่เมื่อเธอคลอดลูกสาว - Alessandra ท่าทีของ Rodolfo ก็อ่อนลงกับลูกสะใภ้ จะด้วยเพราะสถานะคุณปู่ที่ลูกสะใภ้ได้หยิบยื่นให้เขาได้มีโอกาสเรียกใครสักคนว่า ‘หลานปู่’ หรือเพราะเขารู้ตัวว่าเวลาของเขาบนโลกใบนี้กำลังนับถอยหลังก็ตาม Rodolfo เริ่มมีท่าทีที่เป็นมิตรและต้อนรับแพทริเซียมากขึ้น และนั่นเป็นจุดที่ทำให้แพทริเซียกับเมาริซิโอเป็นคู่รักที่ทรงอิทธิพลทางด้านแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ในสมัยนั้น พวกเขามีเงินตรามากมายไม่จำกัดในการใช้สอยเพื่อซื้อความหรูหราต่าง ๆ
ทั้งเพนต์เฮาส์ในนิวยอร์ก รถที่มีแผ่นป้ายทะเบียนเขียนว่า Mauizia (มาจากการรวมชื่อของทั้งสองคน Maurizio+Patrizia), เรือยอชต์ยาว 64 เมตร ที่เมาริซิโอซื้อเพื่อเป็นของขวัญที่ระลึกในวันเกิดของลูกสาวคนที่สองของพวกเขา - Allegra, ฟาร์มในคอนเนทิคัต, บ้านพักตากอากาศที่ Saint Moritz, แถมเวลาว่าง ๆ แพทริเซียและเมาริซิโอก็ไปแฮงเอาท์กับไฮโซคนชั้นสูง เช่น แจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส (Jacqueline Kennedy Onassis - อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ภรรยาของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ John F. Kennedy) ไลฟ์สไตล์ของพวกเขาเป็นที่น่าอิจฉาและช่างดูเพอร์เฟกต์
แต่เมื่อพ่อของเมาริซิโอเสียชีวิตลงในปี 1983 เมาริซิโอต้องขึ้นมาดูแลกุชชีแทนในส่วนของพ่อ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งฟาดฟันกันเองภายในครอบครัวกุชชี เมื่อเมาริซิโอได้ขึ้นมาคุมกุชชีแทนที่พ่อ ลุง Aldo Gucci เริ่มเปิดฉากการฟาดฟันเพื่อแย่งชิงกิจการกุชชีด้วยการฟ้องเมาริซิโอ หลานแท้ ๆ ของตัวเองว่าลายเซ็นบนเอกสารการโอนถ่ายหุ้นจาก Rodolfo สู่เมาริซิโอเป็นลายเซ็นปลอม
ไม่แน่ใจว่าเราจะเรียกว่ากรรมตามทันได้หรือไม่ แต่เอาเป็นว่านอกจากเมาริซิโอจะไม่โดนข้อหาคดีปลอมลายเซ็นในเอกสารการโอนหุ้นจากพ่อของเขามาสู่ตัวเขาเองแล้ว เดือนกันยายน ปี 1986 ที่มหานครนิวยอร์ก ลุง Aldo ถูกจับกุมและตัดสินให้จำคุก 1 ปีกับอีก 1 วัน ด้วยข้อหาหลบเลี่ยงภาษีเป็นจำนวนเงิน 7.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (แถมยังถูกสั่งปรับไปอีก 30,000 เหรียญสหรัฐอีกด้วย) เมื่อออกจากคุกมา ลุง Aldo ตัดสินใจขายหุ้นให้กับบริษัท Investcorp ในปี 1989 (เมาริซิโออยู่เบื้องหลังการชักชวนให้ Investcorp มาซื้อหุ้นส่วน 50% ที่เหลือจากลุง Aldo) และเขาก็เสียชีวิตลงในปีต่อมาที่โรม ด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ถึงตรงนี้การฟาดฟันระหว่างคนในตระกูลกันเองได้ปิดฉากจบสิ้นลง เมาริซิโอไม่จำเป็นต้องชิงเหลี่ยมชิงคูกับลุงของเขาอีกต่อไปในการบริหารกุชชี แต่ทว่าเมื่อชีวิตการงานของเขาเริ่มดูทีว่าจะราบรื่น ชีวิตสมรสของเขากลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
ปี 1984 เมาริซิโอเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทาง เขาบอกกับแพทริเซียว่า “ผมจะไปทำธุระ” แต่ทว่า ‘ธุระ’ ที่เมาริซิโอว่าไม่ใช่เพียงการเดินทางไกลเพื่อไปประชุมเรื่องธุรกิจ แต่เป็นการจากไปอย่างไม่มีวันเดินย้อนกลับมายังชายคาบ้านหลังเดียวกับแพทริเซียอีกต่อไป เพราะวันรุ่งขึ้นเขาส่งเพื่อนของเขามาบอกแพทริเซียว่า เขาจะไม่กลับมาหาเธออีก และขอแยกทางกับเธอ
กระบวนการแยกทางของทั้งสองยืดเยื้อยาวนาน แต่ก็สิ้นสุดลงในปี 1994 ถ้าคุณถามถึงสาเหตุของการหย่าร้าง มันคงจะเป็นคำถามเดียวกับเวลาคุณถามถึงสาเหตุของคนกำลังหมดใจ คำตอบร้อยแปดพันเก้าที่สามารถพรรณนาขึ้นมาได้ไม่รู้จักจบสิ้นว่าทำไมคนสองคนที่ร่วมชีวิตกันมากว่า 20 ปีต้องมาหั่นสะบั้นความสัมพันธ์กัน บ้างบอกว่าเพราะเมาริซิโอมีรักครั้งใหม่ บ้างบอกว่าเพราะบุคลิกของแพทริเซีย ทั้งหมดนั้นคงเป็นส่วนประกอบอย่างละเล็กอย่างละน้อยที่หลอมรวมกันแล้วทำให้เกิดจุดแตกหักของครอบครัว
ว่ากันว่าเมาริซิโอเริ่มใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย (มากขึ้นไปกว่าเดิมอีก) จนกระทั่งกุชชีเริ่มมีหนี้สินรุงรัง จนเขาถูกบีบให้ขายหุ้นกุชชีที่เขามีอยู่ให้กับ Investcorp ในปี 1993 เป็นมูลค่า 135 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทว่าการขายหุ้นเพื่อไปใช้ชีวิตอันสุขสบายของเมาริซิโอไม่ได้เป็นไปดังคาด เพราะเมื่อเขาหมดรักและหมดใจที่จะไปต่อจนตัดสินใจหย่ากับแพทริเซีย ดูเหมือนกับว่าแพทริเซียจะเปลี่ยนท่าทีจากคนเคยรักเป็นคนที่อยากจะแก้แค้นแทน
แพทริเซียจ้างวานนักฆ่า - Benedetto Ceraulo และผู้พานักฆ่าหลบหนี - Orazio Cicala ผ่านความช่วยเหลือของที่ปรึกษาทางด้านจิตวิญญาณของเธอ (ที่บ้านเราอาจจะเรียกอาชีพนี้ว่าหมอดู) - Giuseppina Auriemma ให้กระทำการสังหารเมาริซิโอ กุชชีให้สำเร็จ โดยระหว่างการติดต่อการจ้างฆ่า แพทริเซียใช้ชื่อเป็นภาษาอิตาลีว่า Vedova Nera (แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Black Widow)
นักฆ่าลงมือยิงสังหารเมาริซิโอได้สำเร็จ ในปี 1995 แต่เพียง 2 ปีหลังจากนั้น แพทริเซียพร้อมทั้งพรรคพวกทุกคนที่ร่วมมือในการวางแผนและสังหารครั้งนี้ถูกจับได้ และโดนจำคุกในระยะเวลาที่ต่างกันออกไป โดยแพทริเซียและผู้พานักฆ่าหลบหนีถูกศาลตัดสินให้จำคุก 29 ปี, หมอดูประจำตัวของแพทริเซียถูกตัดสินจำคุก 25 ปี และนักฆ่าถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
อันที่จริงในระหว่างการพิจารณคดีรวมไปถึงการไต่สวน แพทริเซียไม่เคยยอมรับเลยว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้วางแผนจ้างวานฆ่าเมาริซิโอ เธออ้างว่าทั้งหมดเป็นแผนการของหมอดูของเธอที่คิดเอาเอง ทำเอง แล้วจะมาแบล็กเมลเรียกเงินจากเธอ จนกระทั่งเมื่อปี 2016 หลังจากที่เธอถูกจำคุกเป็นเวลา 18 ปี ด้วยความประพฤติที่ดีในเรือนจำ แพทริเซียจึงได้รับการปล่อยตัวออกมา นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยปากยอมรับว่าเธอเองคือผู้อยู่เบื้องหลังคดีสีเลือดผู้จ้างวานฆ่าทายาทของกุชชี
เมื่อนักข่าวไปรุมรอรับเธอหน้าเรือนจำและถามเธอว่า “ทำไมคุณไม่ลงมือฆ่าเมาริซิโอด้วยตนเองล่ะ?”
“สายตาฉันไม่ค่อยดี ฉันกลัวว่าฉันจะยิงพลาดน่ะสิ”
ภาพ: Getty Images, ภาพยนตร์ House of Gucci
ที่มา:
https://www.insideedition.com/inside-the-house-of-gucci-murder-that-inspired-lady-gagas-new-film-68768
https://www.harpersbazaar.com/uk/culture/culture-news/a35817579/house-of-gucci-true-story-explained/
https://usmail24.com/former-girlfriend-of-maurizio-gucci-lifts-the-lid-on-his-bitter-relationship-with-patrizia-reggiani/
https://www.theguardian.com/fashion/2016/jul/24/the-gucci-wife-and-the-hitman-fashions-darkest-tale
https://www.biography.com/news/patrizia-reggiani-maurizio-gucci-ex-husband-murder
https://www.insider.com/lady-gaga-wore-sheer-purple-dress-with-daring-slit-cape-2021-11
https://www.vogue.com/article/everything-you-need-to-know-about-the-house-of-gucci-before-watching-house-of-gucci
https://www.nytimes.com/1983/05/16/obituaries/rodolfo-gucci-is-dead-at-71-brother-in-leather-goods-firm.html
https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1986-09-12-mn-11919-story.html
https://www.elle.com.au/fashion/aldo-gucci-25065
https://www.nytimes.com/1988/06/08/business/gucci-family-split-by-feud-sells-large-stake-in-retailer.html