27 ล้านวิวใน 1 วัน ในยูทูบเป็นสถิติไม่ธรรมดา และไม่ใช่ตัวเลขที่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เพราะความน่าดูที่คุกรุ่นมาได้พักใหญ่ ๆ หลังตัวอย่างแรกที่ปล่อยมาขณะ Spider-Man: No Way Home เข้าโรง และมีข่าวลือไม่เว้นแต่ละวันว่า คนนั้นคนนี้จะมาปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ความสนใจของผู้คนปะทุขึ้นมาพวยพุ่งคือตัวอย่างเต็มที่ทางมาร์เวลปล่อยมาเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2022
เพราะตัวอย่างนี้บ่งบอกว่าไม่ใช่แค่ในข่าวลือ แต่ ‘ใครก็โผล่มาในหนังเรื่องนี้ได้’
Dr. Strange In the Multiverse of Madness เป็นหนังที่ชื่อบอกใบ้ความบ้าคลั่งในการมาชนปะทะกันของมัลติเวิร์สหรือจักรวาลคู่ขนานที่เชื้อเชิญคนดูเข้าสู่โลกหลายมิติอย่างเป็นทางการ และเน้น ๆ เต็มคำครั้งแรกในซีรีส์ LOKI (2021) ตามด้วยแอนิเมชัน What If…? (2021) ที่เล่าเรื่องราวความเป็นไปได้อันหลากหลายภายใต้พหุจักรวาลของ MCU (Marvel Cinematic Universe) นี้ และ Spider-Man: No Way Home ที่บอกถึงการมีตัวตนอยู่ของจักรวาลโซนีและจักรวาลอื่น จนมาถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะส่งไปยังเรื่องต่อไปอย่าง Ant-Man and the Wasp: Quantumania
เรียกได้ว่าขณะนี้จักรวาลมาร์เวลได้ขยับขยายเต็มที่เหมือนจักรวาลของเราที่ขยายตัวตลอดเวลา
และแม้ว่าที่ผ่านมาหนัง Marvel จะใช้สไตล์การเล่าเรื่องแบบแยกเรื่อง และแต่ละคนมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองก่อนจะมารวมกัน แต่ตัวละครทั้งหมดจะมีบทบาทสำคัญต่อหัวเรื่องหลักหรืออีเวนต์ใหญ่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกนำมารวมอยู่ด้วยกันก็ตาม ซึ่งหลังจาก 2 เรื่องที่ผ่านมา Dr. Strange ไม่เพียงแต่จะเป็นหนังที่รับไม้ต่อเกี่ยวกับพหุจักรวาล แต่ยังเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด และเป็นเรื่องที่สามารถเล่นอะไรกับตัวละครจากโลกคู่ขนานได้มากที่สุดเช่นกัน ในฐานะเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับตัวละครผู้ดูแลและสามารถท่องไปได้เหนือกาลเวลา มิติ และอวกาศ
ภาพยนตร์ Dr. Strange In the Multiverse of Madness เป็นผลงานกำกับของ Sam Raimi ผู้กำกับ Spider-Man ฉบับ Tobey Maguire (โทบีย์ แม็คไกวร์) ทั้ง 3 ภาค รวมถึงหนังสยองขวัญสุดหลอนแต่สนุกใช่ย่อยอย่าง Drag Me to Hell (2009) กับหนังสยองขวัญเลือดสาดสุดบ้าบิ่นอย่าง The Evil Dead (1981) ฉะนั้นจึงสามารถหายห่วงไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่า เรื่องความบ้าและน่ากลัวของมัลติเวิร์สที่ถูกถ่ายทอดผ่านหนังเรื่องนี้อยู่ในมือคนที่ใช่
ทีนี้ลองมาดูทิศทางของหนังภาคต่อ Dr. Strange เรื่องนี้กับบทบาทสำคัญของหมอแปลกในจักราล MCU หลังจากนี้กันบ้าง
ใน What If…? เอพิโสดที่ 4 ‘What If... Doctor Strange Lost His Heart Instead of His Hands?’ ที่บอกเล่าเรื่องราวของหมอแปลกที่สูญเสียภรรยาที่รักอย่าง Christine Palmer (คริสติน พาล์มเมอร์) ไป แค่เขาคนเดียวสามารถทำอะไรต่อจักรวาลได้บ้าง Dr. Strange ในเอพิโสดนี้ได้กลายมาเป็น Strange Supreme จากการดูดกลืนสิ่งมีชีวิตและรับพลังจาก Strange ในพหุจักรวาลอื่นราวกับตัวละครของ Jet Lee (เจ็ท ลี) ในหนัง The One (2001) จนเรียกได้ว่าเป็นขีดจำกัดของตัวตนที่ Strange สามารถเป็นได้แล้วหากเขาใช้พลังโดยปราศจากความยั้งคิดและใช้มันเพื่อเรื่องส่วนตัว
และในตัวอย่าง Dr. Strange In the Multiverse of Madness ก็เผยให้เห็นว่ามี Strange ถึง 4 คนด้วยกัน ได้แก่ Strange แห่ง MCU, Zombie Strange, Defender Strange และ Sinister Strange หรือ Strange ผู้ชั่วร้ายที่เป็นคนละคนกับใน What If…? ด้วย
Strange เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดและสำคัญมาตลอดเมื่อมาถึงเรื่องของมัลติเวิร์ส เพราะมันเป็นจ๊อบของเขา และคราวนี้เขาสำคัญมากกว่าที่เคย ซึ่งน่าคิดว่าผลพวงของการที่ตัวละคร Sylvie ในซีรีส์ LOKI ได้สร้างไว้จากการสังหาร He Who Remains หรือตัวตนหนึ่งของ Kang the Conqueror ไปจนถึงการร่ายเวทย์ใน Spider-Man ภาคล่าสุด เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พหุจักรวาลปั่นป่วนหรือไม่ หรือเป็นเพราะทั้งหมดมาจากการกระทำของตัวตนอื่นของ Strange เอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็มีแต่เขาเท่านั้นที่ต้องแก้ไขมัน
และก็น่าคิดอีกเช่นกันว่าการไปเชื้อเชิญ Wanda Maximoff (วันด้า แม็กซิมอฟฟ์) ให้มามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยนั้นเป็นเรื่องดี หรือเป็นการทำให้เรื่องไปในทิศทางที่แย่กว่าเดิมกันแน่
ซึ่งถ้าหากทั้งหมดเป็นเรื่องของ Strange เท่ากับว่าอีโก้ของตัวละครนี้มีผลสั่นสะเทือนไปทั้งพหุจักรวาลมาร์เวลเลยทีเดียว และเขาเป็นตัวละครที่จะแบกรับความสำคัญพอ ๆ กับ Tony Stark ที่เป็นสมาชิกก่อตั้งทีม Avengers และมีบทบาทเด่นที่สุดในการปิดฉากสงครามกับ Thanos แต่กรณี Strange จะเป็นตัวแปรแห่งความวายป่วงที่กุมพลังแห่งการทำตามใจชอบไว้ในครอบครอง
ตัวละคร Stephen Strange ถูกสร้างโดย Stan Lee (สแตน ลี) กับ Steve Ditko (สตีฟ ดิตโก) และถูกออกแบบมาให้เป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์คือทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยความมั่นใจ อีโก้ ดื้อ หัวรั้น ฉะนั้นเมื่อตัวละครที่เต็มไปด้วยความอยากสมบูรณ์แบบแต่ไม่สมบูรณ์นี้ได้พลังไปครอง บวกกับเคราที่เขามีเหมือน ๆ กับ Tony
จึงอาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้ที่มัลติเวิร์สถูกใช้เป็นแบ็คกราวนด์หลักของหนังและซีรีส์มาร์เวล Dr. Strange คือ ‘New Tony Stark’ แต่เปลี่ยนจากวิทยาศาสตร์มาเป็นสายเวทย์ที่ตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว โดยที่ไม่ทิ้งลายความมีอีโก้และความสามารถการสร้างหรือกระทำอะไรบางอย่างที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิต สร้างวายร้าย และสั่นสะเทือนจนก่อให้เกิดหลายเหตุการณ์วิกฤตตามมา แต่เป็น Tony ในเวอร์ชันที่ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบในระดับโลก หรือจักรวาลนี้ แต่เป็นอีกหลายจักรวาลเลยทีเดียว
ทำให้จากที่ใครมีอะไรก็มาหา Tony และ Tony เกี่ยวข้องไปหมดแทบซะทุกอย่างราวกับเขาเป็นศูนย์กลาง จากนี้ไปจะเป็น Dr. Strange ที่ยืนอยู่ตรงนั้นแทน
ความน่าสนใจที่สุดคือ Dr. Strange In the Multiverse of Madness จะเป็น entrance หรือเป็นใจกลางของประตูบานใดที่จะเปิดเข้ามาได้บ้าง จากใบปิดและตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ามีทั้ง Strange หลายคน, Wanda 2 คน
นอกจากนี้ยังมี เสียง Professor X หรือ Charles Xavier เวอร์ชัน Patrick Stewart ซึ่งมาจากหนัง X-Men ของ FOX, เก้าอี้ 6 ตัวซึ่งอาจเป็นสมาชิกทีม Illuminati ที่ประกอบไปด้วย Charles Xavier, Doctor Strange , Black Bolt, Mr. Fantastic หรือ Reed Richards จาก Fantastic Four, Namor และ Iron Man กับการยืนยันว่าตัวละครใน What If…? ไม่ใช่แค่แอนิเมชันคั่นเวลา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของพหุจักรวาล MCU ที่มีโอกาสโผล่มาแจมได้ทุกเมื่อ
เราอาจได้เห็น X-Men ฉบับที่รักและผูกพัน, Wolverine ของ Hugh Jackman, Quicksilver ของ Evan Peters, Fantastic Four รวมไปถึง Iron Man ฉบับ Tom Cruise ที่มีข่าวลือว่าจะโผล่มามีบทบาทหลังจากที่เขาเกือบได้แสดงเป็น Tony Stark แต่บทตกไปเป็นของ Robert Downey Jr. แทนก็เป็นได้
แต่อย่างที่ได้กล่าวไปว่าความน่าดูขั้นสุดของ Dr. Strange ภาคนี้ไม่ใช่แค่ตัวละครอันหลากหลาย และตัวตนที่สามารถเป็นไปได้ แต่จะเป็นประตูเปิดออกไปหาใครและเป็นเหมือน hub ที่จะเปิดให้ใครเข้ามาได้บ้าง โดยที่ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวละครที่เคยรู้จักเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นตัวละครในอนาคตที่อาจโผล่เข้ามาเป็นตัวละครสำคัญในภายหลัง และแง้ม ๆ ถึงอีกตัวตนของตัวละครค่ายอื่นที่ต้องการรีบูตเป็นหนังของตัวเอง หรือนำมาเป็นส่วนหนึ่งของ MCU ได้ ควบคู่ไปกับความน่าสนุกและน่าตื่นตาตื่นใจของหนังเรื่องนี้
เรื่อง: Watchman