03 มี.ค. 2565 | 20:00 น.
Allbirds ถูกเรียกว่าเป็น “The Wolrd’s Most Comfortable Shoes” รองเท้าที่ใส่สบายที่สุดในโลกโดยนิตยสาร Time นิตยสาร Forbes บอกว่าใส่สบายกว่ารองเท้าไฮเอนด์อย่าง Yeezy’s ด้วยซ้ำ ตอนนี้บริษัทรองเท้าขนแกะเมอริโนมีมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญฯ (ประมาณ 13,000 ล้านบาท) ในปี 2021 ซึ่งสำหรับบริษัทผลิตรองเท้าแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก รองเท้าของ Allbirds ได้รับความนิยมอย่างมากจนเราเห็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Larry Page (ผู้ร่วมก่อตั้ง Google), Dick Cost (อดีต CEO ของ Twitter), Oprah Winfrey รวมถึงอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ Barack Obama ก็ใส่อยู่เป็นประจำ ทุกอย่างเริ่มต้นจากนักฟุตบอลทีมชาติคนหนึ่งที่ความฝันในการแข่งขันฟุตบอลโลกล่มสลายจนกลายเป็นไอเดียที่กลายมาเป็นรองเท้า Allbirds ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความรู้เรื่องรองเท้าเลย และกว่าจะได้รองเท้าคู่แรกก็ต้องทำตัวอย่างขึ้นมากว่า 200 แบบ ต้องปฏิเสธเงินลงทุนจำนวนมากแม้ไอเดียกำลังร่อแร่เพราะถูกเอาเปรียบ แต่มันก็กลายเป็นจุดพลิกผันจนทำให้ Allbirds กลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา จุดเริ่มต้นที่ไม่คาดฝัน ทิม บราวน์ (Tim Brown) เกิดในเมือง Congleton ประเทศอังกฤษในปี 1981 แต่ต่อมาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมือง Wellington ประเทศนิวซีแลนด์ คุณพ่อทำงานในองค์กรไม่แสวงผลกำไร ส่วนคุณแม่ทำอาชีพพยาบาล ทิมเป็นเด็กผู้ชายที่เต็มไปด้วยพลังงาน และชื่นชอบการเล่นกีฬาอย่างมากโดยเฉพาะฟุตบอล (แม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไร เพราะอยากให้ทิมเล่นกีฬาประจำชาตินิวซีแลนด์ อย่างรักบี้มากกว่า) เขาใช้ความรักในกีฬาชนิดนี้เป็นตัวขับเคลื่อนความฝันที่อยากจะติดทีมชาติอายุไม่เกิน 20 ปี จนได้รับทุนไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยซินซินแนติ ( University of Cincinnati) ประเทศสหรัฐอเมริกา ในโควตานักกีฬาฟุตบอล แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกเรียนที่นี่เพราะมีหลักสูตรการเรียนเรื่องการออกแบบที่มีชื่อเสียงที่เขาสนใจด้วย หลังจากเรียนจบปริญญาตรีทางด้านการออกแบบ เขาก็ถูกดึงตัวไปเล่นให้กับทีมฟุตบอล Newcastle Jets ที่เมืองนิวคาสเซิล ประเทศออสเตรเลีย ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับทีม Welligton Pheonix ที่เมืองเวลลิงตัน ประเทศออสเตรเลีย ภายในเวลาไม่ถึงปีต่อมา เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกม ไม่ใช่คนที่วิ่งเร็วที่สุด หรือมีเทคนิคดีที่สุด ได้รับใบเหลืองหรือใบแดงอยู่บ่อยครั้ง แต่ความสามารถพิเศษของทิมคือการทำลายจังหวะคู่แข่ง แย่งบอลคืนแล้วส่งต่อให้กับผู้เล่นในทีมที่สามารถเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ดีกว่า เขาซ้อมอย่างหนักทุกวัน เพราะหวังว่าวันหนึ่งจะติดทีมชาติแล้วได้ไปเล่นในการแข่งขันฟุตบอลโลกสักครั้งหนึ่ง ช่วงจังหวะนี้เองที่ทิมได้รับข้อเสนอจากแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาหลายแห่ง (แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นแบรนด์ไหนบ้าง) ให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ แต่เขาปฏิเสธกลับไปทุกแบรนด์ เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดบริโภคนิยมซึ่งซึมซับมาจากพ่อที่จะแกะโลโก้ของแบรนด์เสื้อผ้าทุกตัวออกหมดตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเด็ก นอกจากนั้นเขายังชื่นชอบการออกแบบแนว Minimalist ที่เรียนมาจากหลักสูตรการออกแบบด้วย เพราะฉะนั้นเลยไม่อยากรับงานพรีเซนเตอร์ที่ต้องใส่เสื้อผ้าที่มีโลโก้ใหญ่ ๆ เต็มไปหมด ตอนนี้เองที่ทิมเริ่มมีความคิดว่า “ทำไมมันถึงไม่มีรองเท้ากีฬาที่สวมใส่สบายและไม่มีโลโก้กันนะ?” มันกวนใจเขาถึงขั้นทำให้เขาใช้เวลาว่างที่มีอยู่นั่งออกแบบรองเท้าของตัวเอง หาข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและวัสดุที่จะมาทำรองเท้าที่อยากได้ จนเจอโรงงานที่ประเทศอินโดนีเซีย เขาตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินไปที่นั่นระหว่างพักการแข่งขันฟุตบอลเพื่อติดต่อกับโรงงาน (ตอนนั้นทีมชาตินิวซีแลนด์กำลังแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อเข้าไปแข่งในฟุตบอลโลก) หลังจากคุยรายละเอียดเรียบร้อย ทิมตัดสินใจสั่งทำรองเท้าในฝันของเขาไป 1,000 คู่ แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ต้องเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ รองเท้าของเขาทำขึ้นมาจากผ้าแคนวาสและหนังวัว จึงทำให้(เมื่อ)ทิมได้มีโอกาสไปดูโรงงานที่ผลิตวัสดุเหล่านี้เป็นครั้งแรก เขาค้นพบว่าการทำวัสดุเหล่านี้ต้องใช้สารเคมีจำนวนมหาศาล ซึ่งมันขัดกับความเชื่อของเขาในการทำธุรกิจทุกอย่าง แต่ถึงตอนนี้มันไม่สามารถที่จะแคนเซิลรองเท้าที่สั่งไปได้แล้ว โชคยังดีที่พี่ชายและเพื่อนของเขาอาสารับไปขายต่อให้ จึงได้เงินทุนคืนกลับมาเล็กน้อย แต่ไอเดียของรองเท้าที่ใส่สบาย ไร้แบรนด์ เรียบง่าย และเป็นมิตรต่อโลกนั้นก็ติดอยู่ในหัวของทิมมาโดยตลอดตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่เขาไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะกลายมาเป็นแบรนด์รองเท้าที่มีมูลค่าถึง 4 พันล้านเหรียญฯ ในภายหลัง