The Kinks - A Rock 'n' Roll Fantasy: บทเพลงแด่เอลวิส เพรสลีย์ ความฝันของนักดนตรี และจดหมายจากพี่ถึงน้องชาย

The Kinks - A Rock 'n' Roll Fantasy: บทเพลงแด่เอลวิส เพรสลีย์ ความฝันของนักดนตรี และจดหมายจากพี่ถึงน้องชาย
16 สิงหาคม 1977 ข่าวคราวการจากไปของนักร้องชาวอังกฤษอย่าง ‘เอลวิส เพรสลีย์’ (Elvis Presley) เจ้าของฉายา ‘ราชาเพลงร็อก’ ทำให้โลกดนตรีเงียบเหงาลงหนึ่งเท่า แม้กระทั่งในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตึกสูงระฟ้าในดินแดนแห่งความฝันก็พลันดูมืดหม่นไปชั่วขณะ ความตายของเอลวิสทำให้โลกของใครหลายคนฉาบทาด้วยสีแห่งความเศร้า ขณะเดียวกันความเศร้าเหล่านั้นก็อาจบันดาลใจใครอีกคน จนหยาดหยดแห่งความอาลัยกลั่นกรองออกมาเป็นเสียงดนตรี ผู้เขียนกำลังพูดถึง ‘เรย์ เดวีส์’ (Ray Davies) นักร้อง นักแต่งเพลงประจำวงดนตรีสายเลือดอังกฤษอย่าง ‘The Kinks’ และค่ำคืนที่เขาตวัดปลายปากกาเขียนเนื้อร้องท่อนสุดท้ายในเพลงจากอัลบั้ม ‘Misfits’ ที่มีชื่อว่า ‘A Rock 'n' Roll Fantasy’ ท่อนหนึ่งของเพลงนี้อุทิศแด่คิงออฟร็อกผู้จากไกล ขณะที่ท่อนอื่น ๆ นั้นบรรจุไว้ซึ่งเรื่องราวของตัวเขาเอง - ตัวเขาเอง เพลงของเขา วงของเขา รวมไปถึงน้องชายของเขา ‘เดฟ เดวีส์’ ที่เป็นนักดนตรีตำแหน่งกีตาร์ในวงเดียวกัน ท่ามกลางการงอกงามของซีนดนตรีในเกาะอังกฤษ ‘The Kinks’ ก่อตั้งวงเมื่อปี 1963 โดยมีสองพี่น้อง ‘เรย์ เดวีส์’ และ ‘เดฟ เดวีส์’ เป็นตัวตั้งตัวตี พวกเขามีเพลงฮิตในยุค 60s อย่าง ‘You Really Got Me’ และ ‘Waterloo Sunset’ ทั้งสานต่อความสำเร็จในยุค 70s ด้วย ‘Lola’  ในสายตาของ ‘แจ็ก วอตลีย์’ (Jack Whatley) คอลัมนิสต์ประจำนิตยสาร Far Out ลงความเห็นว่า เมื่อเทียบกับวงรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว The Kinks นั้น ‘แหลมคม’ กว่า The Beatles ขณะเดียวกันก็ ‘รอบรู้’ กว่า The Rolling Stones เสียอีก - ความเห็นของแจ็ก วอตลีย์ อาจจะผิดหรือถูกก็ได้ อย่างไรก็ตาม The Kinks ก็ถือเป็นวงร็อกอังกฤษแถวหน้าจากยุค 60s ที่วงดนตรียุคถัดมาจำนวนไม่น้อย ยกย่องให้เป็นต้นแบบในการทำเพลง The Kinks ประสบความสำเร็จ ก่อนจะซัดซวนรวนเรด้วยพิษของฝันร้ายในอุตสาหกรรมดนตรี เมื่อพวกเขารู้สึกว่าตน ‘ไม่เข้าพวก’ ในธุรกิจนี้ การเปลี่ยนแนวเพลงทำให้กระแสของพวกเขาซบเซาในช่วงหนึ่ง และการทะเลาะเบาะแว้งภายในวงก็เกือบจะทำให้ The Kinks ร่ำ ๆ จะแยกทางอยู่รอมร่อในวันที่เรย์ เดวีส์ เขียนเพลง ‘A Rock 'n' Roll Fantasy’ ขึ้นมา เป็นเรื่องคลาสสิกอีกเช่นกัน สำหรับความบาดหมางของวงดนตรีที่มีพี่น้องยืนข้างกันบนเวที เรย์และเดฟก็ไม่พ้นสูตรนี้ พวกเขาเป็นพี่น้องที่เข้าขากันดีแค่ตอนต้องร้องรับส่งโซโล่เท่านั้น นอกจากนั้นคงต้องบอกว่า พวกเขาทะเลาะกันมาตั้งแต่วันที่เรย์อายุ 3 ขวบแล้วเดฟลืมตาดูโลก เรย์ได้พบว่าตำแหน่งลูกคนที่ 7 ซึ่งเป็นคนเล็กสุด แถมยังเป็นลูกชายคนเดียวในบ้านที่มีพี่สาว 6 คนของเขากำลังถูกแย่งไป เพราะมีเดฟเข้ามาเป็นลูกชายอีกคนเสียแล้ว เมื่อพอรู้ประสา เรย์และเดฟก็ทั้งเล่นด้วยกัน ทะเลาะกัน และแก่งแย่งชิงดีเพื่ออยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายให้ได้มาแต่ไหนแต่ไร กลับมาที่กลางค่อนปลายยุค 70s ปี 1977 คือช่วงเวลาที่สถานการณ์ความเป็นวงของ The Kinks ระส่ำระสาย แม้ยอดขายและกระแสตอบรับจากแฟนคลับกลับมาดีขึ้นหลังอัลบั้ม ‘Sleepwalker’ (1977)  เริ่มต้นด้วยการลาออกของ ‘จอห์น ดาลตัน’ (John Dalton) มือเบสที่ร่วมงานกับ The Kinks ตั้งแต่ปี 1966 และกลายเป็นสมาชิกวงในปี 1969 เขาลาออกระหว่างโมงยามแห่งการอัดเสียงอัลบั้ม Sleepwalker และได้มือเบสคนใหม่อย่าง ‘แอนดี ไพล์’ (Andy Pyle) มาแทน ทว่าหลังจากนั้น ไพล์ก็ตัดสินใจเช่นเดียวกับ ‘จอห์น กอสลิง’ (John Gosling) มือคีย์บอร์ดว่า อัลบั้ม ‘Misfits’ จะเป็นการร่วมงานครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเขากับ The Kinks ขณะเดียวกัน เดฟ เดวีส์ น้องชายคนดีของเรย์ก็รู้สึกเหนื่อยล้าและอยากพักจากการตะลอนทัวร์คอนเสิร์ตต่างหัวเมืองในทุกค่ำสักที บทสัมภาษณ์ของเรย์ เดวีส์ กับนิตยสาร Rolling Stone พูดถึง ‘A Rock 'n' Roll Fantasy’ และสถานการณ์หมดไฟไม่อยากไปต่อของเหล่าสมาชิกในช่วงเวลาดังกล่าวว่า “เพลงนี้แทบจะเป็นการโค้งส่งลาพวกเขา อย่างที่คุณได้ยินในเนื้อเพลง มันเกี่ยวกับบางคนที่ออกจากวงเพราะอับจนต่อปัญหา และสองพี่น้องที่จะฝ่าฟันปัญหานั้นไป” เพราะเรย์เชื่อว่าน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาที่เฝ้าทะเลาะเบาะแว้งกันมาแต่อ้อนแต่ออก จะเป็นคนที่ฝ่าฟันปัญหาไปร่วมกับเขาได้ กลางดึกของวันที่ 15 สิงหาคม 1977 นักแต่งเพลงหนุ่มที่ขณะนั้นพำนักอยู่ในนิวยอร์กจึงเริ่มเขียนเพลงใหม่ต่างจดหมายถึงน้องชาย   Hello you, hello me Hello people we used to be Isn’t it strange, we never changed We’ve been through it all, yet we’re still the same   And I know, it’s a miracle we still go For all we know, we might still have a way to go   ต่อไปนี้คือเนื้อความจากหนังสือ Americana: The Kinks, the Road and the Perfect Riff เขียนโดยเรย์ เดวีส์ คัดมาเฉพาะส่วนที่เขาเล่าความหลังครั้งเขียนเพลงนี้ขึ้นมา “คืนหนึ่ง ผมเริ่มเขียนเพลงเกี่ยวกับผมกับเดฟ และการเริ่มต้นของเราบนเส้นทางสายดนตรี เราสนุกกับมันเหลือเกิน นั่นเพราะเรายังเด็ก แต่ความสนุกเหล่านั้นค่อยจางหายเพราะวงที่เราสร้างขึ้นมาต้องทำงานภายใต้โครงสร้างทางธุรกิจ “เมื่อผมเขียนสองท่อนแรกและเริ่มขึ้นโครงท่อนพรี-คอรัสก็เป็นเวลาราวตีสองครึ่ง ยังไม่ดึกเท่าไรสำหรับเมืองใหญ่ที่กลางคืนโลดแล่นอย่างนิวยอร์ก แต่จากหน้าต่างห้องที่ผมอาศัย มองออกไปยังตึกตรงข้าม ถนนเลขที่ 72 หน้าต่างทุกบานบนอาคารเหล่านั้นฉาบทาด้วยความมืด ยกเว้นหนึ่งบาน ผมเริ่มจินตนาการถึงคนที่อาศัยในห้องนั้น หากเขานอนไม่หลับเช่นเดียวกันกับผม หากเขาตื่นเพื่อเล่นดนตรีตลอดคืนและเร้นกายตนจากโลกทั้งใบ จากนั้น ผมก็สมมติชื่อให้เขาว่า ‘แดน’ และทึกทักเอาว่าเขาคงเป็นแฟนคลับของเรา “ในฐานะ The Kinks เรามักพบว่าแฟนคลับของเราลุ่มลึกกับความหมายในเนื้อเพลงของเรา โดยเฉพาะท่อนที่เกี่ยวกับความหวัง พวกเขาเข้าใจมันมากกว่าดนตรี ผู้คนอย่าง ‘แดน’ (Dan the Fan) นั้น บางครั้งบางทีก็รู้จักเรามากกว่าที่เรารู้จักตัวเองเสียอีก” ดังนั้น ท่อนต่อไปของเรย์จึงเล่าเรื่องราวของ ‘แดน’ ชายที่เป็นแฟนเพลงของ The Kinks และเช่นเดียวกัน เรย์ไม่ปล่อยผ่านความจริงที่ว่ากว่าครึ่งของสมาชิกในวงเขากำลังเตรียมตัวบอกลา สละทิ้งความจริงที่ว่ามีผู้คนอีกมากมายที่เป็นเหมือน ‘แดน’ กล่าวคือเป็นแฟนคลับที่ติดตามพวกเขาอย่างเหนียวแน่น สนับสนุนพวกเขาทั้งในวันที่เริ่มต้น วันที่โด่งดัง หรือวันที่กระแสซบเซา คนเหล่านั้นมีเพลงของเขาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต   Dan is a fan and he lives for our music It’s the only thing that gets him by He’s watched us grow and he’s seen all our shows He’s seen us low and he’s seen us high   Oh, but you and me keep thinking That the world’s just passing us by   Don’t want to spend my life living in a rock 'n' roll fantasy Don’t want to spend my life living on the edge of reality Don’t want to waste my life hiding away any more   เรย์ เดวีส์ วางปากกาในเวลาตีสาม และตัดสินใจเข้านอนเพื่อให้สมองได้พัก ก่อนตื่นมาเขียนท่อนที่เหลือในวันใหม่ ทว่าฤกษ์งามยามร้าย วันรุ่งขึ้น หรือวันที่ 16 สิงหาคม 1977 หนังสือพิมพ์ทุกหัวและวิทยุทุกคลื่นก็รายงานข่าวการจากไปของชายผู้ถูกเรียกว่าเป็นราชาของโลกดนตรีร็อกแอนด์โรล “เมื่อเห็นและได้ยินข่าวนั้น ผมรู้สึกมีอารมณ์ร่วม ดังนั้นผมจึงเริ่มเขียนเพลงต่อโดยนึกถึงท่อนโซโล่กีตาร์ของ ‘สก็อตตี้ มัวร์’ (Scotty Moore) ในเพลง ‘I’m Left, You’re Right, She’s Gone’ ของเอลวิส และตัวผมในวัยเยาว์ที่พยายามเลียนแบบท่อนนั้นโน้ตต่อโน้ต จากนั้นผมก็จำได้ว่าเดฟ น้องชายผมเคยหัดร้องเพลง ‘One Night With You’ ตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่แตกหนุ่มดี “ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ทอดสายตายังอะพาร์ตเมนต์เดียวกับที่ผมเฝ้าสังเกตเมื่อคืน ความคิดของผมล่องลอยออกไป… เดฟและผมคิดว่าจะแยกทางและยุบวง จากนั้นจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อแรกเริ่มผมตั้งใจจะเขียนให้ท่อนสุดท้ายสื่อถึงการแยกวงของเรา แต่เมื่อนึกถึงเอลวิส เพรสลีย์ และนึกได้ว่าเขากลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง ‘อเมริกันดรีม’ ได้อย่างไร ผมก็เขียนท่อนเวิร์สและคอรัสสุดท้าย, ซึ่งคล้ายกับว่ามันเขียนตัวของมันเอง “ทุกอย่างเกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมง นับจากคราวที่ผมสร้างภาพ แดน เดอะแฟน กำลังฟังเพลงอยู่ในห้องตึกตรงข้าม กระทั่งผมได้ยินข่าวความตายของเอลวิส เพรสลีย์ แม้แปลกประหลาด แต่ความตายของราชาได้เติมเต็มความเชื่อของผม ให้ผมเชื่อในสิ่งที่กำลังทำ ดังนั้นผมจึงจบเพลงด้วยการไว้อาลัยแด่เขา”   He just spends his life living in a rock 'n' roll fantasy Look at me, look at you You say we’ve got nothing left to prove The King is dead, rock is done You might be through, but I’ve just begun   วันนั้น เรย์เขียนเพลง ‘A Rock 'n' Roll Fantasy’ เสร็จสิ้น วันถัด ๆ มาอัลบั้ม ‘Misfits’ ก็ได้ฤกษ์วางขายพร้อม ๆ กับการจากไปของมือเบสและมือคีย์บอร์ดประจำวง กระนั้นเรย์และเดฟก็ยังพยุงวงพลางทะเลาะกันไปพลาง ก่อนที่จะแยกทางกันในปี 1996    ที่มา:  หนังสือ Americana: The Kinks, the Road and the Perfect Riff https://www.songfacts.com/facts/the-kinks/a-rock-n-roll-fantasy https://www.rollingstone.com/music/music-album-reviews/misfits-197878/ https://www.britannica.com/topic/The-Kinks https://ultimateclassicrock.com/kinks-brothers-feud/ https://www.dailymail.co.uk/home/event/article-2960390/Ray-Davies-punch-ups-pills-Kinks-nearly-killed-him.html https://www.tmorganonline.com/featured-45-misfits-the-45-that-just-didn-t-fit