10 พ.ค. 2565 | 19:45 น.
เช้าวันที่ 10 พฤษภาคม 2022 เวลา 10.00 นาฬิกาตรง ‘นาดาว บางกอก’ ประกาศยุติการพัฒนาและดูแลศิลปิน รวมถึงการเป็นผู้ผลิตซีรีส์ ละคร และผลงานเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจใครหลายต่อหลายคน ทั้งผู้ที่ติดตามผลงานของค่ายอย่างใกล้ชิด และผู้ที่บังเอิญผ่านมาเห็นข่าวคราวการโบกมือลาวงการ เพราะตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา นาดาว บางกอก ได้ผลิตผลงานคุณภาพออกสู่อุตสาหกรรมบันเทิงไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซีรีส์ชุด Hormones วัยว้าวุ่น, ซีรีส์เรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ, เลือดข้นคนจาง ตลอดจนโปรเจกต์ 9×9 เพื่อพัฒนาศิลปินกลุ่มชาย กับ 4NOLOGUE
ซึ่ง ‘ย้ง - ทรงยศ สุขมากอนันต์’ กรรมการผู้จัดการ ได้เผยในแถลงการณ์ต่อการประกาศปิดตัวลงครั้งนี้ว่า “อาจฟังดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน แต่ภายในเราปรึกษาเรื่องนี้มาสักระยะ และเป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ศิลปินนาดาว บางกอก หลาย ๆ คนที่พร้อมไปดูแลตัวเองทยอยออกไปเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของตัวเองกันแล้ว”
“นี่ไม่ใช่การกล่าวลาเพื่อสิ้นสุด แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีอิสระเพื่อเติบโต และเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของตัวเอง…”
อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ที่ : https://www.facebook.com/NadaoBangkok/posts/7692238954120341
แน่นอนว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่การบอกลาครั้งนี้สำหรับ ‘ต่อ - ธนภพ ลีรัตนขจร’ นักแสดงไอคอนของค่าย ซึ่งหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี กับผลงานแสดงแจ้งเกิดของเขาในบทบาท ‘ไผ่’ จากซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น กลับเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจทุกถ้อยคำ และพร้อมยอมรับทุกการตัดสินใจ แม้จะต้องยอม ‘จำใจ’ ปล่อยมือออกจากบ้านหลังที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตไปก็ตาม
“ความรู้สึกแรกที่เข้าไปอยู่นาดาว ทำให้ผมเข้าใจผิด” (หัวเราะ)
“ผมคิดว่าทุกบริษัทมันเป็นแบบนี้ แต่พอผมเข้าไปอยู่ ทุกอย่างมันไม่เหมือนที่คิด เลยได้เข้าใจว่า ‘อ๋อ! มันเป็นที่บ้านเราเองอะ บ้านของเรามันไม่เหมือนคนอื่น’ เพราะความที่เป็นบ้าน ความอบอุ่น ทุกอย่างที่เราได้รับจากบ้านหลังนี้ เรารู้สึกมีความสุข เรารักบ้านหลังนี้มาก และไม่เคยรู้สึกเลยสักนิดว่า การทำงานจะทำให้เรากดดัน หรือลำบากใจ”
ความรัก ความอบอุ่น และความสุข ที่ธนภพได้รับจากบ้านหลังนี้ได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นชายหนุ่มที่พร้อมโอบรับทุกความท้าทาย และโอกาสใหม่ ๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นธนภพในเวอร์ชันที่ดีกว่าวันวาน เพราะมี ‘เจ้าบ้าน’ คอยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ประหนึ่งว่าเขาคือคนในครอบครัวคนหนึ่ง
“ความที่เราไม่เคยรู้สึกว่านี่คือเจ้านาย ต่อให้เขาเป็นเจ้านายเราก็จริง แต่เขาไม่เคยทำให้เรารู้สึกลำบากใจที่จะอยู่กับเขา ที่จะคุยกับเขา ที่จะปรึกษาเขาเลย แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ให้เกียรติกัน เพราะความที่เรารักมากขนาดนี้ต่างหาก ที่มันทำให้เรายิ่งให้เกียรติกัน ยิ่งแคร์กัน
“ผมว่ามันคือความอบอุ่นที่ผมคิดว่านาดาวเหมือนกับนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่ง พวกเราเป็นเหมือนเฟืองชิ้นเล็ก ๆ ที่คอยขับเคลื่อนอยู่ข้างใน เราคือเฟืองคนละชิ้น ที่ไม่สามารถขาดใครได้เลย เราต้องเดินไปด้วยกันเสมอ”
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุด หลังจากนาดาวตัดสินใจปิดประตูลงกลอนบ้านหลังนี้ ธนภพเผยว่าเขาเข้าใจทุกความเปลี่ยนแปลง เมื่อเข้าใจเงื่อนไขของเวลาที่ผันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาอย่างแจ่มชัด จึงทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก
“ผมคิดว่าผมรู้สึกเข้าใจนะ เข้าใจในสิ่งที่เขาประกาศและอธิบายออกมา สุดท้ายแล้ว ผมรู้สึกว่าทุกคนล้วนเติบโตขึ้นตลอดเวลา แล้วถ้าเราเข้าใจ ผมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี
“ถ้าเราเข้าใจนะ” ธนภพย้ำ
แม้ในช่วงระยะหลัง ๆ ธนภพไม่ได้ทำงานร่วมกับทางค่ายมากนัก แต่ทุกความทรงจำ และอ้อมกอดอันอบอุ่นที่เขาได้รับจากนาดาว ยังคงเป็นสิ่งที่เขามักเผลอหลุดรอยยิ้มออกมาเสมอ เมื่อพูดถึง ‘บ้าน’
“ผมเป็นเด็กนาดาว บางกอกคนหนึ่ง ที่ตอนนี้ทำงานกับข้างนอกค่อนข้างเยอะ ซึ่งทุกครั้งที่ผมออกไปทำงาน ผมเต็มที่ได้อย่างทุกวันนี้ เพราะทุกคนเต็มที่กับค่ายเรามาก ทุกคนให้เกียรติและเคารพเราแบบเต็มร้อย เหมือนอย่างที่ผมทุ่มเทความพยายามลงไปทั้งหมดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ พอเขาเต็มที่กับค่ายเรา ก็เหมือนกับเรากำลังเดินไปด้วยกัน มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นที่ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่นึกถึง
“ต่อให้วันนี้จะไม่มีนาดาวแล้วหรือยังคงมีอยู่ ผมก็จะพูดคำเดิมว่า ไม่มีบ้านหลังนี้ ผมเกิดมาแบบนี้ไม่ได้ เขาเป็นทุกอย่างสำหรับนักแสดงอย่างผม”