นิโคลัส เคจ: เลิกล้อกันเสียที ข้านี่แหละปลดหนี้แล้วโว้ย
ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา นิโคลัส เคจ แสดงหนังไป 46 เรื่อง เท่ากับว่าเฉลี่ยเล่นปีละ 4 เรื่อง ซึ่งถ้าเทียบกับดารารุ่นเดียวกันที่มีชื่อเสียงและบารมีพอฟัดพอเหวี่ยงอย่าง แบรด พิตต์ แสดง 19 เรื่อง ทอม ครูซ 11 เรื่อง และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ 9 เรื่อง ใครเห็นจำนวนก็ต้องฟันธงว่า นิโคลัส เคจเล่นหนังใช้หนี้แน่ ๆ ถึงได้ร้อนเงิน ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวก็ได้ออกมายอมรับในการสัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2022 ว่า ฉายาราชาหนังเกรดบีนี่ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะซวย ต้องใช้หนี้เป็นร้อยล้านดอลลาร์จริง ๆ อย่างที่เขาว่ากัน แต่ตอนนี้เอาคำว่า ‘เล่นหนังใช้หนี้’ ไปเก็บได้เลย เพราะเขาปลดหนี้แล้ว ด้วยหนังที่ทำให้เขาได้กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีดาราแถวหน้าของฮอลลีวูดอีกครั้งใน ‘The Unbearable Weight of Massive Talent’ กับบทบาทที่ได้เป็นตัวเองที่สุด และไม่มีใครมาแทนได้เพราะเขาแสดงเป็น ‘นิค เคจ’
ชีวิตล้มเหลว แต่ไม่ยอมล้มละลาย
“ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นเมื่อไม่มีโทรศัพท์โทรฯ เข้ามาอีก” นิโคลัส เคจ เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นแห่งเส้นทางชีวิตพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เขายอมรับว่าเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ชีวิตเขาพังไม่เป็นท่า เขาพยายามโทรฯ ถามสตูดิโอต่าง ๆ ถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างภาคต่อหนังดัง ๆ ที่เขาแสดงไว้ ซึ่งเขาก็โดนปฏิเสธมาแบบรวดเดียวจบ ทั้ง National Treasure 3, Sorcerer’s Apprentice, Ghost Rider และ Drive Angry เพราะหนังเหล่านั้นดูไม่มีแววว่าจะทำเงินได้อีก
เคจเองก็รู้ดีว่าปัญหาส่วนตัวที่เป็นข่าวอยู่ตลอดนั้นมีผลต่อการตัดสินใจของสตูดิโอ ทั้งเมาแล้วขับ เมาแล้วก่อความวุ่นวายในพื้นที่สาธารณะหลายครั้ง หย่ากับอลิซ คิม ภรรยาคนที่ 3 ที่แต่งงานกันมา 12 ปี
ต่อจากนั้นหย่ากับภรรยาคนที่ 4 ที่อายุน้อยกว่าเขา 20 ปี เพราะเผลอไปจดทะเบียนกันตอนเมาที่ลาสเวกัส หลังจากใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกอย่างที่เป็นข่าว
ทุกอย่างมีหลายเรื่องที่ถูกคนใส่ร้ายป้ายสี เช่น โดนกล่าวหาว่าขโมยหมาชิวาวา และมีปัญหาหลายอย่างที่เขาก็ไม่ได้เปิดเผย เช่น เรื่องสูญเสียคุณพ่อที่รักยิ่ง - ออกัสต์ คอปโปลา ไปเมื่อปี 2009, ต้องจ่ายหนี้ที่เกิดจากภาษีย้อนหลังของกรมสรรพากรเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายในการดูแลแม่สูงอายุ
“ตอนนั้นมันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในคราวเดียว ผมมีหนี้กับกรมสรรพากรและเจ้าหนี้หลาย ๆ ราย ผมมีค่าใช้จ่าย 20,000 ดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อพยายามพาแม่ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชออกมา ซึ่งผมก็ทำไม่ได้”
แม้มีคนจำนวนมากแนะนำให้เขายื่นต่อศาลเป็นบุคคลล้มละลาย เพื่อเคลียร์ปัญหาเรื่องหนี้ แต่เขายืนกรานว่าจะไม่ทำแบบนั้นและหาหนทางอื่นที่จะนำเงินมาใช้หนี้ไปทีละนิด เคจยืนยันว่า หนังทุกเรื่องที่เขารับแสดงในช่วงนั้นผ่านการพิจารณาของเขาหมดทุกเรื่อง ว่าหนังมีอะไรน่าสนใจมากพอที่จะทำให้เขาทุ่มเทฝีมือการแสดง แม้ว่าทุกคนจะมองว่าหนังเหล่านี้เป็นหนัง ‘เกรดบี’ ‘หนังส่งตรงลงวิดีโอ (Direct-to-video)’ ที่ทุกคนมองแบบด้อยค่า “ตอนที่ผมแสดงหนัง 4 เรื่องต่อปี ถ่ายเรื่องชนเรื่อง ผมก็ยังหาบางสิ่งบางอย่างในมันที่จะทำให้ผมยอมทุ่มเทให้ มันไม่ประสบความสำเร็จทุกเรื่องหรอก บางเรื่องก็เยี่ยมยอดเลย แบบ Mandy (2018) บางเรื่องมันก็ใช้ไม่ได้ แต่ผมไม่เคยทำอะไรไปแบบส่ง ๆ นะ
“ผมแค่จะมุ่งเน้นไปที่การเลือกอย่างสุดความสามารถ คัดเลือกให้มากเท่าที่ผมจะทำได้ ผมต้องการสร้างภาพยนตร์ทุกเรื่องราวกับว่ามันเป็นเรื่องสุดท้ายของผม”
และแล้วผลจากการตั้งใจเลือกนี่แหละที่ทำให้ ปี 2019 เขาได้งานหนัง ‘The Unbearable Weight of Massive Talent’ ซึ่งมาพร้อมกับข้อเสนอให้เขาเป็นโปรดิวเซอร์เรื่องนี้ด้วย ทำให้มีเงินมากพอที่จะเซ็นเช็คปิดหนี้กับสรรพากรได้สักที
เรื่องจริงอิงนิยาย
“นิค เคจ คืนบัลลังก์!” “นิค เคจ คัมแบ็ค!”
หลายสำนักข่าวอาจจะพาดหัวกันไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับการกลับมามีกระแสชื่นชมในตัวของเขาอีกครั้ง ในความจริงแล้วเจ้าตัวอาจจะเถียงว่า จะใช้คำว่า ‘กลับมา’ ไม่ได้ เพราะ ‘ไม่ได้เคยหายไปไหนสักหน่อย!’
The Unbearable Weight of Massive Talent หนังที่สร้างปรากฏการณ์ ‘นิค เคจ’ เรื่องล่าสุด ที่กลายเป็นหนึ่งในหนังที่ได้รับคำชมดีที่สุดของเขาในยุคหลัง รองจากเรื่อง Pig (2021) หนังคนเลี้ยงหมูปรัชญาชีวิต ที่ส่งให้ชื่อเขากลับมาเป็นนักแสดงสายรางวัล แต่เรื่องนี้คือหนังที่รวมความมันส์ ที่อิงมาจากชีวิตส่วนตัวของเขาโดยเฉพาะ! ผลงานการกำกับของ ทอม กอร์มิกัน (Tom Gormican) เรื่องนี้เรียกได้ว่า เป็นหนังที่แฟนนิโคลัส เคจ และคอหนังจะได้ฮาไปกับมุกตลกเสียดสี ที่เหมือนกับเก็บทุกเม็ดมาจากเกร็ดภาพยนตร์ของเขา แต่เจ้าตัวเผยว่า หนังเรื่องนี้นี่แหละที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตการแสดง!!! เพราะมันคือการก้าวผ่านการนำชีวิตของตัวเองมาตีแผ่ เสียดสี และล้อเลียน รวมถึงยอมรับทุกช่วงเวลาทั้งขาขึ้นและขาลงของตัวเองมาเล่าให้เป็นหนัง แต่ที่เขายอมรับในการทำงานหนังเรื่องนี้ เพราะเขาเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของ ทอม กอร์มิกันว่าจะทำให้มันออกมาเป็นหนังที่มีความลึกซึ้งได้มากกว่าหนังตลกโปกฮา
“ผมอยากจะให้มันมีความลึกซึ้งมากขึ้นหน่อย และทอมก็ได้เผยว่าเขามีความสนใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับงานในช่วงต้น ๆ ของผม จากนั้นก็เพราะด้วยความกลัวและความเชื่อของผม ที่คิดแบบเป็นเหตุเป็นผลได้ว่า ตราบใดที่คุณไม่ได้ทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น ๆ มันเป็นสิ่งที่ควรจะลุยไปข้างหน้า เพราะอาจจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างก็ได้ ผมเลยตอบตกลง”
ยอมรับตัวตนอย่างที่เป็น
The Unbearable Weight of Massive Talent ผู้ชมจะได้ดูชีวิตของนิโคลัส เคจ ในรูปแบบตัวละคร ‘นิค เคจ’ ซึ่งก็เอามาจากชีวิตของเขานั่นแหละ ทั้งการติดหนี้ ปัญหาครอบครัว ไปจนถึงชีวิตการเป็นนักแสดงที่กลายมาเป็นมุกตลกล้อเลียนหลาย ๆ อย่าง แต่สิ่งที่เขาคิดว่าเหมือนตัวตนจริงของเขาที่สุดคืออารมณ์ขัน เพราะเขาเองก็เป็นคนที่พยายามที่จะให้คนรอบตัวหัวเราะ และจุดสำคัญที่หนังได้นำเสนอคือ ตัวตนของเขา ในเวอร์ชัน ‘นิค เคจ วัยหนุ่ม’ ซึ่งเขาบอกว่านี่แหละคือที่มาของคำว่า ‘นิค เคจ’ จนถึงปัจจุบัน
ตัวตนนิค เคจวัยหนุ่ม ที่ในหนังใช้ชื่อว่า ‘นิคกี้’ นี่ไม่ใช่รูปลักษณ์ คาเมรอน โพ (Cameron Poe) หนึ่งในตัวละครที่โด่งดังที่สุด และสุดเท่ที่สุดของเขาจากเรื่อง Con Air เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ตัวละคร ‘นิคกี้’ มาจากตัวของเขาเองสมัยยุค 90s ที่ไปโปรโมตหนังเรื่อง Wild at Heart (1990) ในรายการ Wogan ที่ประเทศอังกฤษ สมัยนั้นตัวตนของนิค เคจ คือความห้าวเป้ง มีความเป็นร็อกสตาร์ ทำตัวยโสโอหังจนถึงขั้นน่าหัวเราะเยาะ ถึงขั้นที่ตัวเขาเองเมื่อมองย้อนกลับไปก็เกลียดตัวเองในยุคนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือส่วนหนึ่งในความเป็นเขา
“มันเป็นสิ่งที่น่าสมเพชมาก ผมไม่ชอบไอ้หมอนี่เลย เขาทั้งไร้มารยาท โอหัง และน่ารังเกียจ ผมคิดว่าเขาเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ‘นิค เคจ’ ไปจนถึง ‘นิค เคจ’ ยุคปัจจุบันที่แสนจะทนทุกข์ทรมานจากที่โดนเรียกว่า นิค เคจ”
สามารถรับชมคลิปการสัมภาษณ์สุดดีดถึงขั้นตีลังกาเข้ารายการของเขาได้ที่ : https://youtu.be/Xf3OgWVkzlI
แต่แทนที่นิโคลัส เคจ จะโกรธผู้สร้าง จนหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับสิ่งที่เขารังเกียจ หรือปิดบังมัน เขากลับนำมันมาใช้ในหนัง ซึ่งแม้ว่าเนื้อหาหลักจะมาจากความเป็นเขา แต่ก็เลือกที่จะบาลานซ์มันออกมาให้เป็นส่วนผสมที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง กับสิ่งที่แต่งเติมเสริมขึ้นมาเพื่อสร้างสีสันให้กับเรื่องราวให้สนุกขึ้น
ไม่เคยมี ‘นิค เคจ’ เวอร์ชันไหนที่ไม่รักลูก
ในส่วนที่เป็นเรื่องราวของการทำงาน นิโคลัส เคจ เปิดโอกาสให้ดัดแปลงชีวิตของเขาได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งเดียวที่เขาขอ ทอม กอร์มิกันเลยคือเรื่อง ‘ครอบครัวและลูก’ ที่เป็นสิ่งที่ห้ามบิดเบือนจากชีวิตจริง
ในหนัง นิค เคจ ตัวละครของเขามีภรรยาและลูกสาวหนึ่งคน แต่พวกเขาไม่ค่อยจะลงรอยกันนักเนื่องจากตัว นิค เคจ ที่เป็นดาราใหญ่จนสร้างปัญหามากมาย ดีเทลตรงนี้มีการดัดแปลงจากความเป็นจริง ที่เรื่องจริงหวือหวากว่าหนังมาก เพราะนิโคลัส เคจ แต่งงานมาแล้ว 5 ครั้ง มีลูก 2 คนจากคนละภรรยา คนโตชื่อ เวสตัน วัย 31 ปี เป็นลูกที่เกิดกับนักแสดงหญิง คริสตินา ฟุลตัน (Christina Fulton) คนที่สองคือ คาล เอล (Kal-El) อายุ 16 ปี เป็นลูกที่เกิดกับอลิซ คิม (Alice Kim) อดีตภรรยา และกำลังจะมีลูกคนที่สามกับภรรยาใหม่ ริโกะ ชิบาตะ (Riko Shibata) ซึ่งเขาเปิดเผยเพศว่าเป็นลูกสาว โดยตั้งชื่อว่า เลนนอน ออกี้ (Lennon Augie) เรียกชื่อเล่นว่า เลนนี ซึ่งที่มาของชื่อมาจาก จอห์น เลนนอน แห่งวง The Beatles ศิลปินคนโปรดของเขา และ ออกัสต์ คอปโปลา คุณพ่อของเขา
ไม่ว่าชีวิตจริงของเขาจะหวือหวาและล้มเหลวด้านชีวิตคู่แค่ไหน แต่นิโคลัส เคจ ตัวจริงแตกต่างจากที่นำเสนอในหนัง เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะคิดถึงแต่ตัวเองจนทอดทิ้งครอบครัว เขาถึงขั้นยอมที่จะบอกปฏิเสธบทในหนังหลายเรื่อง ทั้ง The Lord of the Rings และ The Matrix เพราะเขาอยากที่จะอยู่กับครอบครัว
“ตอนที่ผมพบกับทอมและทีมของเขาครั้งแรกในนิวยอร์ก ผมพูดเลยว่า ฟังนะพวก มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า นิค เคจเวอร์ชันไหนที่จะไม่อยากใช้เวลากับลูกของเขา มันไม่ใช่ผมเลย แล้วพวกเขาก็ตอบว่า คุณพูดถูก มันไม่ใช่ตัวตนของคุณ แต่มันเป็นเหตุผลที่เราทำหนังเรื่องนี้ให้มีตัวละครที่แต่งขึ้นจากตัวของคุณ แล้วเราจำเป็นจะต้องมีจุดเปลี่ยนให้ตัวละครเติบโต”
นิโคลัส เคจคุยกับทีมงานจนได้จุดลงตัวในการนำเสนอว่า นิค เคจในหนังอ้างอิงจากเขา แต่ไม่ใช่เขา และใช้เรื่องราวจากชีวิตจริงระหว่างเขากับลูกชาย 2 คนสร้างมันขึ้นมา
ใครจะมองว่าไม่แคร์ แต่แคร์นะ
หลังจากผ่านหลายช่วงชีวิต เล่นหนังมาแล้วทุกรูปแบบ แม้กระทั่งหนังที่เขาคิดว่าน่ากลัวที่สุดก็ผ่านมาได้แล้ว เชื่อว่าแฟน ๆ และคอหนังทุกคนคงจะได้พบกับ ‘นิค เคจ’ กันไปอีกนาน จนกว่าเจ้าตัวจะเกษียณ เพราะเขาไม่เคยจากไปไหน ไม่เคยหายไปจากวงการ และพร้อมที่จะเสนอความเป็นไปได้ในทุกรูปแบบ แต่เขาขอแก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเขาอย่างชัด ๆ อีกครั้งว่า ที่ผ่านมา เขาต้องทนกับการโดนค่อนแคะว่าเล่นหนังวิดีโอ แม้ว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาไม่แคร์ แต่จริง ๆ เขาแคร์อยู่เหมือนกัน
“บางครั้งพวกสื่อชอบพูดว่ามันเป็นหนังวิดีโอ อย่างแรกเลยนะผมต้องขอพูดตรงนี้เลยว่า ใครที่ยังพูดว่า ‘ส่งตรงลงวิดีโอ’ เป็นคนยุคไดโนเสาร์แน่ ๆ มันเป็นอดีตไปแล้วคุณ สมัยนี้มันเป็นยุคสตรีมมิงแล้ว และมันเป็นหนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดที่คุณจะนำหนังของคุณไปอยู่ที่นั่น และสามารถดูซ้ำไปซ้ำมาได้ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับผมนะ
“แล้วอีกอย่าง คนชอบคิดว่าผมไม่แคร์ แต่ผมแคร์ ผมแคร์มาตลอด ผมคิดว่าผมได้เล่นหนังที่ดีที่สุดในชีวิตส่วนหนึ่งของผมกับหนังที่เรียกว่า ‘ส่งตรงลงวิดีโอ’ นี่แหละ Massive Talent ก็อยู่ในนั้น Mandy ก็อยู่ในนั้น Pig, Bad Lieutenant: Port of New Orleans, Joe, Mom and Dad, Color Out of Space ก็อยู่ในกลุ่มนั้น The Runner ผมก็คิดว่ามันเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม ผมเลือกหนังพวกนี้ไปสู้กับพวกหนังที่ผมเล่นในช่วงต้น ๆ ของการทำงาน 30 ปีได้สบาย ๆ ถ้ามันจะมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับหนังเหล่านี้ ก็คงเป็นเพราะคนมองข้ามว่า มันเองก็มีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการทำงานเช่นกันครับ”
อ้างอิง:
Nicolas Cage Interview: The Unbearable Weight of Massive Talent
https://youtu.be/3N7p0Eh9XGs
https://www.gq.com/story/nicolas-cage-april-cover-profile
https://www.today.com/.../nicolas-cage-reveals-gender-of...
https://www.rollingstone.com/.../nicolas-cage-unbeareble.../
เรื่อง: จากเพจ ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้