‘วัล คิลเมอร์’ แฟนเก่าคนโปรดของแฌร์ (Cher) นักแสดงที่เป็นมะเร็งลำคอ ผู้ทวงคืนเสียงของตนเอง

‘วัล คิลเมอร์’ แฟนเก่าคนโปรดของแฌร์ (Cher) นักแสดงที่เป็นมะเร็งลำคอ ผู้ทวงคืนเสียงของตนเอง

‘วัล คิลเมอร์’ นักแสดงหนุ่มคนดังแห่งยุค 80-90s เขามีผลงานโดดเด่นมากมาย และเป็นแฟนเก่าคนโปรดของแฌร์ (Cher) แต่แล้วเขาหายหน้าไปจากวงการหลังป่วยเป็นมะเร็งลำคอ ทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการพูด นำมาสู่การทวงคืนเสียงของตัวเอง

  • วัล คิลเมอร์ โด่งดังในยุค 80s เป็นต้นมา มีผลงานมากมายกับบทบาทหลากหลาย
  • เขามีชื่อเสียเกี่ยวกับเรื่องทำงานด้วยยาก แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ในวงการเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ มีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง
  • วัล คิลเมอร์ ป่วยเป็นมะเร็งลำคอ การรักษาทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการพูด 

ในยุค 80s - 90s วัล คิลเมอร์ (Val Kilmer) เป็นหนึ่งในนักแสดงดังแถวหน้าของฮอลลีวูด เขามีผลงานโดดเด่นมากมายทั้ง Top Gun (1986), Willow (1988), Tombstone (1993), หนังทริลเลอร์ชั้นดีอย่าง Heat (1995) รวมไปถึงบทบาทที่ทั่วโลกรู้จักคือการรับบทเป็น บรูซ เวย์น/แบทแมน ใน Batman Forever (1995)

วัล คิลเมอร์ ยังคงมีผลงานการแสดงอย่างต่อเนื่อง แต่ในยุค 2000s เป็นต้นมา เขาได้แสดงหนังส่งตรงลงวิดีโอ (Direct to Video) เป็นจำนวนมาก ทำให้เรียกได้ว่าช่วงหนึ่งเขาหายไปจากความสนใจของประชาชน และเป็นหนึ่งในไอดอลยุค 80s - 90s ที่ต้องพ่ายแพ้ต่อนักแสดงคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงกว่า

จนกระทั่งปี 2005 หนังอย่าง Kiss Kiss Bang Bang (2005) หนังที่วัล คิลเมอร์ แสดงคู่กับ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) ก็ทำให้เขาเป็นที่พูดถึงขึ้นมาอีกครั้งกับบทนักสืบเกย์ที่เล่นได้เข้าบทบาทจนควงคู่เจิดจรัสไปพร้อม ๆ กับดาวนีย์ จนถึงขั้นที่ทำให้เขาได้รับกระแสชื่นชมและได้รับรางวัลจาก Satellite Awards สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และได้เข้าชิงรางวัล Saturn Awards สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม

แต่น่าเสียดายที่มันเป็นหนังเล็ก ๆ เข้าฉายอย่างจำกัดโรงจนกลายเป็นหนังที่ถูกมองข้ามมากที่สุดแห่งปี ทำให้กระแสของวัล คิลเมอร์ไม่ได้รับสานต่อ แต่สำหรับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์แล้ว Kiss Kiss Bang Bang เป็นหนังที่ช่วยให้เขาหวนคืนสู่วงการ ในเวลาต่อมาด้วยบทบาท Iron Man แต่วัล คิลเมอร์ก็ยังคงกลับไปสู่ในวงการเล่นหนังส่งตรงวิดีโอเหมือนเดิม

ทำไม วัล คิลเมอร์ ถึงหายไป ?

คำถามนี้มีหลายคำตอบด้วยกัน แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ตอบได้อย่างชัดเจนว่าทำไมเขาถึงไม่ได้มีผลงานเด่น ๆ อย่างนักแสดงรุ่นเดียวกันหลายคน

แต่ประเด็นหนึ่งที่เป็นที่พูดกันหนาหู คือเขาเป็นคนที่เหล่าผู้กำกับในฮอลลีวูด ‘ไม่ปลื้ม’ ก็เพราะลือกันว่าเขาเป็นนักแสดงที่ ‘เรื่องเยอะ’ คนหนึ่ง แม้ว่าความจริงแล้วมันอาจจะเป็นเพียงแค่แนวทางการทำงานที่ไม่ตรงกัน อย่างเจมส์ แจ็คส์ ผู้ร่วมงานกันในหนังเรื่อง Tombstone ก็เคยพูดว่า “มีแค่มุมดำมืดของวัล ที่ผมไม่อยากจะพูดถึง”

ด้านผู้กำกับ โจเอล ชูมัคเกอร์ (Joel Schumacher) ที่ทำงานด้วยกันใน Batman Forever ก็กล่าวว่า “ผมไม่ได้พูดนะว่า วัลทำงานด้วยยากใน Batman Forever แต่ผมจะบอกว่าเขามันบ้าต่างหาก”

แม้ว่าจะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างยังไง ก็ยังไม่เท่ากับหนังที่เป็นหายนะของแท้ ที่ทำให้ ‘ชื่อเสียง’ ของวัลกลายเป็น ‘ชื่อเสีย’ หนังเรื่องนั้นคือ The Island of Dr. Moreau (1996) ที่นำแสดงโดยมาร์ลอน แบรนโด (Marlon Brando) และวัล คิลเมอร์ เป็นหนังที่มีปัญหาในทุกภาคส่วน (เรียกได้ว่าพังพินาศถึงขั้นมีสารคดีที่บันทึกว่าทำไมมันถึงได้เละเทะได้ขนาดนี้ ในสารคดีปี 2014 ที่ชื่อว่า Lost Soul: The Doomed Journey of Richard Stanley’s Island of Dr. Moreau)

ด้านวัล คิลเมอร์ในตอนนั้นก็ถูกเรียกตัวมาแสดงแทน บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) ที่กำลังหย่ากับเดมี มัวร์ (Demi Moore) โดยที่ตัวของเขาเองก็มีคิวให้จำกัด เมื่อแสดงไปได้ไม่ทันไร วัลก็มีปัญหากับภรรยา โจแอนน์ เวลลีย์ (Joanne Whalley) ซึ่งกำลังเดินเรื่องหย่ากันพอดี ทำให้เขามีปัญหาในการควบคุมอารมณ์จนทะเลาะกับนักแสดงและทีมงานคนอื่น ๆ อยู่บ่อย ๆ

มาร์ลอน แบรนโด เองก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นต้นตอปัญหาของเรื่องนี้ เนื่องจากลูกสาวของเขาฆ่าตัวตาย ทำให้เขาปลีกวิเวก หายตัวไปจากกองถ่าย แถมไม่ยอมซ้อมบท แต่ขอให้ทีมงานกระซิบบอกเอาด้วยการใช้ earpiece ส่วนผู้กำกับ ริชาร์ด สแตนลีย์ (Richard Stanley) ก็มีปัญหาทะเลาะกับสตูดิโอจนโดนไล่ออก และได้จอห์น แฟรงเกนไฮเมอร์ (John Frankenheimer) มาช่วยกำกับในครึ่งหลังจนเข็นหนังออกมาสำเร็จอย่างสะบักสะบอมและมีปัญหาเยอะมาก เล่าไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งแน่นอนว่าหนังออกมาโดนวิจารณ์สับเละ และเป็นหนังเรื่องท้าย ๆ ก่อนเสียชีวิตของมาร์ลอน แบรนโด ที่ไม่เป็นที่น่าจดจำ

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมาร์ลอน แบรนโด เป็นนักแสดงใหญ่ระดับตำนาน กระแสเกลียดชังเลยไปตกอยู่ที่วัล คิลเมอร์คนเดียว สองผู้กำกับ ริชาร์ด สแตนลีย์ และจอห์น แฟรงเกนไฮเมอร์ ประกาศไม่เผาผี ไม่อยากร่วมงานด้วยอีก สแตนลีย์เผยว่า “เมื่อวัลมาที่กอง การทะเลาะก็จะเกิดขึ้น”

ส่วนแฟรงเกนไฮเมอร์ถึงขั้นพูดว่า “ผมไม่ชอบวัล ผมไม่ชอบแนวทางการทำงานของเขา ผมไม่อยากจะข้องแวะยุ่งเกี่ยวด้วยอีก มีสองสิ่งที่ผมจะไม่มีวันทำในชีวิตนี้ คือ ผมจะไม่ปีนภูเขาเอเวอเรสต์ และผมจะไม่มีวันทำงานกับวัล คิลเมอร์อีก”

แม้ว่าในสมัยนั้น วัล คิลเมอร์ จะมีปัญหาจริง ๆ แต่ว่าก็ด้วยจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่ทำให้หนังเละตุ้มเป๊ะไปหมด ไม่ใช่ปัญหามาจากตัวเขาเพียงอย่างเดียว แต่ก็กลายเป็นชื่อเสียที่ทำให้ติดตัวเขามาเป็นเวลายาวนาน และตัวเขาเองก็รู้จักตัวเองดีในชื่อเสียของเขา โดยเผยว่า “อย่างที่คุณรู้ ผมมีชื่อเสียว่าเป็นคนยุ่งยาก แต่ก็กับเฉพาะคนงี่เง่าเท่านั้นแหละ”

เรื่องราวมุมมองต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน แม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนง่าย ๆ หรือจะเข้ากันได้กับทุกคน แต่สิ่งที่ทุกคนยอมรับคือความทุ่มเท และตั้งมั่นของเขา ถึงขั้นที่เคยขายไร่ขนาด 6,000 เอเคอร์ ใน New Mexico เพียงเพื่อจะสร้างหนังเรื่อง Mark Twain and Mary Baker Eddy หนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักเขียนชื่อดัง มาร์ค ทเวน (Mark Twain) ผู้ซึ่งเป็นเหมือนฮีโร่ในดวงใจของเขา และ แมรี เบเกอร์ เอ็ดดี (Mary Baker Eddy) ผู้ก่อตั้งนิกาย Christian Science ซึ่งเขาศรัทธา

แม้ว่าในความเป็นจริง มาร์ค ทเวนจะล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อของแมรี เบเกอร์ เอ็ดดีก็ตาม แต่เขาอยากจะทำหนังเรื่องนี้โดยมีความตั้งใจว่าจะเป็นการนำเสนอแนวคิดที่แตกต่างกันคนละขั้วของบุคคลทั้งสองที่เขายกย่อง ให้มีทั้งความยั่วล้อ และประนีประนอมในความเห็นแตกต่าง แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้สร้างขึ้น แต่เขาก็ได้นำมันมาปรับเป็นละครเวทีแบบ One-Man Show เรื่อง Citizen Twain ที่เขาเริ่มแสดงในปี 2012 และต่อเนื่องอยู่นานหลายปี จนเขาเริ่มสูญเสียความสามารถด้านการพูด (การแสดง Citizen Twain ของเขาได้รับการบันทึกภาพเป็นภาพยนตร์เรื่อง Cinema Twain ในปี 2019)

 

แฟนเก่าคนโปรด และมะเร็งร้าย ที่เกือบทำให้ชีวิตจบสิ้น

แม้จะเป็นคนยาก ๆ เป็นคนที่ไม่น่ารักในสายตาคนอื่นแค่ไหน แต่ในสายตาของ แฌร์ (Cher) นักร้องหญิงระดับตำนานแล้ว วัล คิลเมอร์ คือชายผู้งดงาม เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และเป็นบุคคลที่เธอจะรักและหวังดีด้วยไปตลอดชีวิต ทั้งคู่พบกันในปี 1981 ในช่วงที่ก่อนอาชีพของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสำเร็จ ก่อนที่แฌร์จะโด่งดังจากเรื่อง Silkwood (1983), Moonstruck (1987) หรือเรื่องอื่น ๆ และก่อนที่วัลจะโด่งดังไปทั่วโลกจากเรื่อง Top Gun ทั้งคู่เป็นเพียงหนุ่มน้อยอายุ 22 และเธอคือสาวสวยรุ่นพี่วัย 36 ปี

ด้วยอายุที่ห่างกันถึง 13 ปี วัลเปิดเผยว่าแรกเริ่มเขาไม่เคยคิดว่าจะได้มาคบหากับแฌร์เลยด้วยซ้ำ เพราะเขาคิดว่าคงไม่มีอะไรที่เหมือนกันสักอย่าง แต่ว่าเมื่อทั้งสองได้พบกัน เคมีกลับเข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ ถึงขั้นที่แฌร์เปิดเผยเรื่องราวความรักสุดหวานของพวกเขา และจูบแรกของพวกเขาว่า

“ฉันคิดว่าหัวฉันจะระเบิดพุ่งออกจากตัวแล้วค่ะ ฉันถึงกับต้องขอพักหายใจ

“พวกเราเรียกกันเองว่า ซิด (Sid) กับ เอเทล (Ethel) วัลไม่อยากตะโกนเรียกฉันว่า แฌร์ (Cher) และฉันไม่อยากจะตะโกนเรียกเขาว่า วัล (Val) เรายังมีชื่อเล่นเรียกกันอีกว่า วัลลัส แม็กซิมัส (Valus Maximus) กับ แฌรัส เรพริแมนดัส (Cherus Reprimandus) มันเป็นเหมือนตัวตนของฉันเวลาอยู่บ้าน แน่นอนว่าเขาก็เป็น Maximus สุด ๆ”

(Maximus มาจากชื่อ Magnus Maximus จักรพรรดิโรมัน ส่วนชื่อของแฌร์ก็แปลงให้เป็นสไตล์เดียวกัน)

แม้ว่าความรักของพวกเขาจะจบลงหลังจากนั้น โดยต่างคนต่างก็แยกย้ายไปมีคู่ของตัวเอง วัลแต่งงานกับ โจแอนน์ เวลลีย์ ในปี 1988 ทั้งคู่พบกันจากการทำงานในเรื่อง Willow และมีลูกด้วยกันคือ ลูกสาว เมอร์เซดีส (เกิดปี 1991) และลูกชาย แจ็ค (เกิดปี 1995) ก่อนแยกทางในปี 1996 ด้านแฌร์ก็ควงหนุ่ม ๆ ที่มีชื่อเสียงหลายคน รวมทั้ง ทอม ครูซ (Tom Cruise) ด้วย แต่คนโปรดในใจของเธอยังคงเป็นวัลเสมอมา และเธอคือคนที่อยู่เคียงข้างเขาในช่วงระยะเวลาที่เรียกได้ว่าอยู่บนขอบเหวของความตาย เมื่อเขาป่วยเป็นมะเร็งลำคอ…

 

ผมคิดว่าผมจะตายซะแล้ว…

ในปี 2015 วัล คิลเมอร์ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งลำคอ เขายังไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาป่วยด้วยโรคนี้ และพยายามเก็บเป็นความลับ แฌร์ได้เชิญเขามาพักที่บ้านของเธอ และในคืนหนึ่งที่อาการของเขากำเริบหนักจนต้องเรียกหน่วยพยาบาลฉุกเฉิน แฌร์คือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น

วัลเขียนเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาที่ชื่อว่า I’m Your Huckleberry (ชื่อหนังสือได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ Adventures of Huckleberry Finn ของ มาร์ค ทเวน) ถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล “คืนหนึ่งผมตื่นขึ้นพร้อมกับอาเจียนออกมาเป็นเลือด ทำให้เตียงชุ่มโชกด้วยเลือดราวกับหลุดออกมาจากฉากในหนัง The Godfather ผมเริ่มสวดภาวนาตั้งแต่ตอนนั้น และโทรฯ เรียก 911 จากนั้นก็แจ้งให้กับแฌร์ผู้เป็นเจ้าบ้าน ซึ่งเธอได้เข้ามาช่วยเหลือและดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง

“ผมคิดว่าวันนี้คงเป็นวันที่ผมตายซะแล้ว” ซึ่งก็อาจจะเป็นเช่นนั้นหากแฌร์ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที

แม้ว่าเป็นช่วงเวลาอันน่าตื่นตระหนกอันแสนน่ากลัว วัลกับแฌร์ เล่าตรงกันว่าระหว่างที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินเข้ามาดูแลวัลที่อาการหนักและต้องส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน วัลแอบเห็นว่าแฌร์ส่งสายตาเป็นมันไปยังหนุ่มน้อยทีมแพทย์ฉุกเฉินที่หน้าตาหล่อเหลา ซึ่งเขาเปรียบว่าหล่อระดับ เกรกอรี เพ็ค (Gregory Peck) นักแสดงฮอลลีวูด ผู้มีผลงานหนังคลาสสิกอย่าง To Kill A Mockingbird ผู้มีหน้าตาหล่อเท่มีเสน่ห์

“แม้ว่าตัวผมจะชุ่มไปด้วยเลือดทั้งตัว ผมแอบเห็นสายตาของเธอ เลยยักคิ้วส่งไปแบบเกราโช มาร์กซ์ (Groucho Marx) ฮั่นแน่ ๆ”

(Groucho Marx นักแสดงตลกชื่อดังในยุคหนังเงียบ)

แฌร์เองก็เขินที่โดนวัลจับได้จนทั้งสองคนหัวเราะออกมา จนกระทั่งเขาถูกใส่หน้ากากออกซิเจนแล้วถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

“พวกเราก็เป็นซะแบบนี้ ล้อเล่นกับความงามและความปรารถนา ในขณะที่ผมมีสภาพเหมือนสตันต์แมนจากเรื่อง Reservoir Dogs ของเควนติน แทแรนติโน (Quentin Tarantino) และใช่ครับ ตอนนั้นชีวิตของผมอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย”

ด้านแฌร์ก็กล่าวว่า “เขาอยู่ที่บ้านของฉันในช่วงที่เขาป่วย เขากล้าหาญตลอดเวลา ฉันเห็นว่าเขาป่วยหนักแค่ไหน เมื่อทีมแพทย์ฉุกเฉินมาถึง เขาทั้งป่วยหนักและไอเป็นเลือด เขามองมาที่ฉัน แล้วฉันก็มองกลับไปที่เขา เราต่างรู้กันว่าคิดอะไรอยู่ เพราะหนุ่ม ๆ เหล่านั้นหล่อมากจริงๆ ค่ะ เวลามีทีมแพทย์ฉุกเฉินมา คุณก็น่าจะรู้นี่ว่าต้องมีอย่างน้อยสักคนหนึ่งที่น่ารักมาก ๆ”

วัลรอดชีวิตจากคืนนั้น เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดเจาะคอแบบฉุกเฉิน (Tracheostomy) คือการเปิดรูบริเวณหน้าลำคอ เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านการหายใจสามารถหายใจได้สะดวกมากขึ้น แต่นั่นมันเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายทางอาชีพการงาน เพราะนอกจากต้องรักษามะเร็งแล้ว การที่เขาเจาะคอทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการพูดไปอีกด้วย อีกทั้งยังต้องเสียค่ารักษาพยาบาลมากมายในระหว่างที่เขาไม่อาจทำงานได้ แต่แฌร์ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้

“แฌร์ก้าวเข้ามาและจัดการทุกอย่าง เมื่อแฌร์ได้เริ่มก้าวมาสู่ชีวิตและหัวใจของคุณแล้ว เธอจะไม่มีวันจากไปไหน” วัล คิลเมอร์กล่าว

ด้านแฌร์เองก็เผยว่า “เมื่อไรที่เขาโทรฯ มา ไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันก็จะไป”

เพราะเขาคือคนโปรดของเธอตลอดมาและตลอดไป

 

เมื่อชีวิตสู้กลับ ก็สู้กลับด้วยรักจากครอบครัว

วัล คิลเมอร์เก็บเงียบเรื่องอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งลำคออยู่ 2 ปี กว่าจะเปิดเผยต่อสาธารณะในปี 2017 การเจาะคอส่งผลกระทบต่อเส้นเสียงของเขา และเขาต้องผ่าตัดติดตั้งกล่องเสียงอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในคอ ทำให้เสียงของเขาที่เปล่งออกมาฟังดูเหมือนเสียงหุ่นยนต์และฟังลำบาก

เขาต้องผ่านการรักษาด้วยเคมีบำบัดและผ่าตัดสอดท่อในช่องคอถึง 2 ครั้ง แต่ต่อมาในปี 2020 วัลได้เผยว่าเขาปราศจากมะเร็งมา 4 ปีแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องกินอาหารผ่านท่อ แต่สุขภาพของเขาก็ดีขึ้นและได้กลับมามีผลงานการแสดงหนังแอ็กชันอีกครั้งในเรื่อง Paydirt (2020) ที่เขาร่วมแสดงกับเมอร์เซดีสลูกสาวของเขา เป็นหนังที่โชว์ศักยภาพว่าเขายังคงแสดงหนังได้อยู่ แม้ว่าในเรื่องนี้จะต้องใช้วิธีพากย์เสียงแทน

แม้ว่าโดยรวมแล้วตัวหนัง Paydirt จะได้รับคำวิจารณ์อย่างย่ำแย่ แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า วัล คิลเมอร์ไม่เคยหยุดนิ่ง และยังคงทุ่มเทให้กับทุกบทบาทอยู่เสมอ ด้านเมอร์เซดีสก็เผยว่าเธอได้แรงบันดาลใจจากพ่ออย่างมาก

“ฉันภูมิใจในตัวของเขามากค่ะ ไม่ใช่แค่เพราะว่าพ่อเป็นพ่อของฉัน แต่ว่าในตอนนี้เขายังมีข้อจำกัดทางด้านการใช้เสียงอีกด้วย มันมีความหมายกับฉันมากที่ได้เห็นนักแสดงที่มีความบกพร่องทางร่างกายได้รับบทนำในเรื่อง”

วัล คิลเมอร์ ยังได้ทำหนังสารคดีเรื่อง Val (2021) ที่เป็นการรวมชีวิตส่วนตัวและเบื้องหลังผลงานของเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในวงการ ทั้งจุดที่พุ่งขึ้นสูง และจุดที่เจอปัญหาชีวิต ทั้งเรื่องมีปัญหาในกองถ่าย The Island of Dr.Moreau เรื่องการเป็นมะเร็ง และการสูญเสียเสียง ประกอบกับฟุตเทจที่เขาเองจากกล้องวิดีโอกว่า 800 ชั่วโมง ซึ่งเขาถ่ายทำมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ หนังเรื่องนี้ได้แจ็ค คิลเมอร์ ลูกชายของเขาที่มีเสียงใกล้เคียงกับเขาตอนสมัยหนุ่ม ๆ มาพากย์เสียงบรรยายให้

หนังได้ไปฉายที่ Cannes Film Festival ปี 2021 และออกฉายแบบจำกัดโรง หนังได้รับคำวิจารณ์อย่างดีเยี่ยม วัลสามารถนำเสนอชีวิตของเขาออกมาให้ผู้ชมได้ดูอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันสามารถรับชมได้ทาง Amazon Prime

 

ทอมคือมาเวอริค และผมคือไอซ์แมน

วัล คิลเมอร์ เปิดเผยอย่างไม่ปิดบังเลยว่า ไม่ว่ายังไงเขาก็จะขอเล่นในหนังภาคต่อ Top Gun: Maverick เขาเขียนในหนังสือ I’m Your Huckleberry ว่า

“เขาเรียกหนังนี้ว่า Top Gun: Maverick แน่ละครับ ทอมคือมาเวอริค แต่คู่ปรับของมาเวอริคคือไอซ์แมน ทั้งสองคนไปไหนด้วยกันเหมือนกับเกลือและพริกไทย มันไม่สำคัญเลยถ้าโปรดิวเซอร์จะไม่ติดต่อมาหาผม เหมือนอย่างในเพลงของ The Temptations ที่ร้องไว้ ผมไม่ได้หยิ่งจนขอร้องไม่เป็นหรอกนะ” (Note: มาจากเพลง Ain’t Too Proud to Beg)

แต่วัลก็ไม่ถึงขั้นต้องไปขอร้องทีมโปรดิวเซอร์ของ Top Gun: Maverick ฝ่ายเดียว เพราะทอม ครูซเองก็ยืนกรานที่จะให้วัลกลับมาแสดงหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน!

เจอร์รี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) โปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้ถึงกับเผยว่า “ทอมบอกว่า ผมจะไม่ทำหนังเรื่องนี้ถ้าไม่มีวัล เราต้องมีวัลในเรื่องนี้ เราต้องพาเขากลับมา เราจำเป็นต้องมีเขาในหนัง ทอมเป็นผู้ผลักดันโดยตรง แต่เราเองก็ต้องการให้เขากลับมาเช่นกัน เพียงแต่ว่าทอมยืนกรานสุด ๆ ถึงขั้นพูดว่า ถ้าจะมี Top Gun ต้องมีวัลแสดงด้วย”

วัล คิลเมอร์ จึงได้กลับมารับบท ทอม ‘ไอซ์แมน’ คาซานสกี้ อีกครั้ง แต่ในคราวนี้ตัวละครของเขามีพัฒนาการถึงขั้นได้ยศระดับนายพล

ทอม ครูซได้กล่าวถึงวัล คิลเมอร์ที่ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในกว่า 30 ปีว่า “ผมเชียร์เขาอย่างมากให้เขากลับมาทำหนังอีก เขาเป็นคนที่เปี่ยมด้วยความสามารถ คุณจะเห็นในฉากที่เขาแสดง มันพิเศษมาก ๆ มันพิเศษมากจริง ๆ”

กระแสตอบรับของ Top Gun: Maverick จัดอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม และทำให้หลายคนถึงกับหลั่งน้ำตา และชื่นชมการกลับมาของวัล คิลเมอร์ในเรื่องนี้ วัล คิลเมอร์ก็ได้เห็นกระแสตอบรับนี้แล้ว เขาได้แชร์บทความของ Variety ที่กล่าวชมการปรากฏตัวของเขาใน Top Gun: Maverick ใน Facebook ของเขา พร้อมกับเขียนว่า

“ผมตื้นตันใจอย่างมากที่ได้เห็นความรักและการชื่นชมต่อ Top Gun ผมรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน รักมากนะครับ VK”

 

เสียงที่กลับคืนมา

ไม่เพียงแต่วัลจะได้กลับมาแสดงบทไอซ์แมนอีกครั้งด้วยตัวเอง แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้แสดงด้วย ‘เสียงจริง’ ของเขาจากเทคโนโลยี AI ซึ่งผลิตขึ้นโดย Sonantic บริษัทผู้พัฒนาจากอังกฤษ ซึ่งวัลได้เผยว่า “ผมขอบคุณเป็นอย่างยิ่งต่อทีมงาน Sonantic ทุกคนที่กู้คืนเสียงของผมได้อย่างยอดเยี่ยม ในรูปแบบที่ผมไม่เคยนึกฝันว่าจะเป็นไปได้”

Sonantic ใช้เสียงของวัลจากเสียงที่บันทึกเอาไว้จากผลงานต่าง ๆ ร่วมกับเสียงต้นแบบจากวอยซ์โมเดล (voice model) กว่า 40 เสียง นำไปใช้ร่วมกับเทคโนโลยี AI ที่เป็นเหมือนการ ‘ตัดต่อ photoshop ทางเสียง’ จนได้เสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงจริงของวัล คิลเมอร์มากที่สุดได้อย่างน่าทึ่ง

เหมือนเขาเปล่งเสียงเหล่านั้นด้วยตนเอง โดยทาง Sonantic เผยว่าทางทีมของวัล คิลเมอร์ได้ติดต่อทางบริษัทมาตอนช่วงที่เขาทำสารคดีเรื่อง Val ทาง จอห์น ฟลินน์ (John Flynn) CTO ของ Sonantic เผยว่าพวกเขาร่วมมือกันเพื่อสร้างสรรค์เสียงออกมาให้มีคุณภาพดีเยี่ยมที่สุด

“ผมจำได้ว่าผมคุยกับแจ็ค (ลูกชายของวัล) หลังจากที่นำเสนอเสียงของ Voice Model (ต้นแบบเสียง) และเขาก็ได้บอกกับเราว่ามันทรงพลังมากแค่นั้น มันเป็นครั้งแรกที่เขาเองก็ได้ยินเสียงของพ่อของเขาจริง ๆ ในรอบหลายปี ดังนั้นเขาจึงตื้นตันใจมาก”

นอกจากนี้วัลสามารถนำเสียงของเขาไปใช้ในการแสดงทางโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ได้ โดยใช้แอปพลิเคชันที่พัฒนาให้ใช้ได้ง่ายขึ้นโดย Sonantic และเขายังสามารถจดลิขสิทธิ์ในการใช้เสียงในโปรดักชันและการร่วมงานกับสตูดิโอต่าง ๆ ได้อีกด้วย

โอกาสในอนาคตต ไม่มีใครรู้ได้ว่าเส้นทางของเขาจะเป็นอย่างไร แต่วัล คิลเมอร์ได้ทำให้ทุกคนเห็นใน Top Gun: Maverick แล้วว่ามันคือการคืนจอภาพยนตร์อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง ทั้งการแสดงและเสน่ห์ส่วนตัวที่ไม่มีใครเหมือน ด้วยแรงช่วยเหลือจากเทคโนโลยีที่ทำให้เขากลับมาเติมเต็ม วัลได้กล่าวในคลิปเสียงที่ใช้ AI ของ Sonantic จัดทำขึ้นมา โดยเผยแพร่เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2021 ว่า

“เราทุกคนต่างมีความสามารถในการสร้างสรรค์ เราทุกคนต่างถูกขับเคลื่อนให้เผยความฝันและไอเดียที่สุดปรารถนาให้ออกสู่สายตาโลก เมื่อเรานึกถึงผู้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด พวกเขามักพูดกับเราด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร ประโยคที่เรามักได้ยินคือ ‘ต้องมีเสียงที่สร้างสรรค์’ แต่ผมดันป่วยเป็นมะเร็งลำคอ …หลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว เสียงที่ผมรู้จักถูกพรากไปจากผม ผู้คนรอบข้างประสบปัญหาในการพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเป็นผมคนเดิม ยังคงเป็นจิตวิญญาณที่สร้างสรรค์ จิตวิญญาณที่ยังคงนึกฝันถึงไอเดียและเรื่องราวต่าง ๆ อยู่เสมอ แต่ในตอนนี้ผมสามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวตนได้อีกครั้งแล้ว ผมสามารถนำฝันเหล่านี้มาแสดงให้กับคุณ ได้นำเสนอบางส่วนของตัวตนของผมอีกครั้ง บางส่วนที่ไม่เคยจากไปไหน เพียงแค่หลบซ่อนอยู่เท่านั้น”

เสียงของเขาได้รับการได้ยินแล้ว และมันจะไม่มีวันจากไปไหนจากใจของผู้ชม…เสียงที่หวนคืนมาของเขาจะเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาต่อไปให้ผู้ที่ประสบปัญหาทางการพูดเช่นเดียวกับเขานับล้านคนทั่วโลกได้มีโอกาสเปล่งเสียงอีกครั้ง

ฟังตัวอย่างเสียงของวัลได้ที่คลิปนี้


 
เรื่อง: เพจ ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้

ภาพ: Getty Images