แมรี ออสติน : รักแรกและรักบริสุทธิ์หนึ่งเดียวของ เฟร็ดดี เมอคิวรี
เป็นเวลากว่า 30 ปี ที่ตำนานเพลงร็อก เฟร็ดดี เมอคิวรี (Freddie Mercury) นักร้องนำวง Queen ได้จากโลกนี้ไปท่ามกลางความโศกเศร้าของแฟน ๆ นับล้านทั่วโลก และทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขา
หากจะมีใครที่สูญเสียไปมากที่สุด ก็คงไม่พ้น แมรี ออสติน (Mary Austin) ผู้เป็นทั้งรักแรกและเพื่อนคู่คิดของเฟร็ดดีมาโดยตลอด
ทั้งคู่พบกันเป็นครั้งแรกในปี 1969 ขณะนั้นแมรีมีอายุ 19 ปี และทำงานที่ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น Biba ในกรุงลอนดอน ส่วนเฟรดดีเพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัยศิลป์มาหมาด ๆ และมีอายุได้ 24 ปี
เริ่มแรกแมรีไม่ได้เข้าหาเฟรดดีทันที แต่เธอเริ่มออกเดทกับ ไบรอัน เมย์ (Brian May) สมาชิกวงอีกคนไม่กี่ครั้ง และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่นำพาให้แมรีได้มาพบรักกับเฟรดดีในที่สุด หากจะกล่าวว่าวง Queen และความรักของแมรีกับเฟร็ดดีเริ่มต้นในช่วงเวลาเดียวกันก็ไม่ผิดนัก
ด้วยความที่เธอทำงานในแวดวงแฟชั่น ผู้คนจึงเริ่มตั้งข้อสังเกตุว่าแมรีเป็นผู้นำแฟชั่นสุดเหวี่ยงแบบไม่มีใครเหมือนมาให้เฟร็ดดี และเป็นส่วนช่วยสร้างคาแรกเตอร์ของวง Queen ให้เด่นขึ้นมา
ในขณะที่เฟร็ดดีและสมาชิกคนอื่น ๆ พยายามปั้นวงให้ดัง แมรีก็ทำงานและคอยซัมพอร์ตพวกเขามาตลอด พวกเขาได้ย้ายไปอยู่ด้วยกันในแฟลตแห่งหนึ่งที่ย่านเวสต์เคนซิงตันในลอนดอน
ความรักของทั้งสองผลิบานไปด้วยดี ในปี 1973 เฟร็ดดีได้เซอไพรส์เปิดแหวนขอเธอหมั้นหมาย ซึ่งแมรีที่ไม่ทันตั้งตัวก็ตอบตกลงทันที
แต่เฟร็ดดีที่ลึก ๆ แล้วชอบผู้ชายกลับรู้สึกสับสนกับเส้นทางข้างหน้า เขาไม่อาจห้ามความรู้สึกตัวเองต่อชายที่เข้ามาในชีวิตได้ และเริ่มแอบมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับชายคนอื่น
เมื่อเวลาผ่านไป แมรีเริ่มรู้สึกว่าเฟร็ดดีมีบางอย่างเปลี่ยนไป เขาไม่ได้พูดเรื่องอนาคตและการแต่งงานเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และพฤติกรรมส่วนตัวแบบคู่รักเริ่มเปลี่ยนไป เธอจึงพยายามคุยเปิดใจกับเขา แต่เฟร็ดดีก็บอกว่าไม่มีอะไร
เขาเริ่มกลับบ้านดึกขึ้นเรื่อย ๆ จนแมรีคิดว่าเขาแอบไปมีผู้หญิงคนอื่น แต่ก็มีข่าวลือว่าเขาไปคบหาผู้ชายเรื่อย ๆ จนกระทั่งเฟร็ดดียอมเปิดเผยกับแมรีในที่สุดว่าเขาเป็นไบเซ็กชวล ซึ่งแมรีที่กำลังตะลึงก็ตอบกลับว่า
"ไม่ เฟร็ดดี ฉันไม่คิดว่าคุณเป็นไบเซ็กชวลหรอก คุณเป็นเกย์ต่างหาก"
ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงจบลงด้วยดี แมรียอมรับตัวเฟร็ดดีในสิ่งที่เขาเป็น แม้ว่าเส้นทางที่เธอเคยวาดฝันกับนักร้องผู้นี้จะสูญสลายไปหมดแล้ว เฟร็ดดีได้ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์จอร์เจียนพร้อมสวนเขียวขจีมีรั้วล้อมรอบ ส่วนแมรีย้ายออกไปอยู่แฟลตใกล้เคียงที่เฟร็ดดีซื้อให้
แม้ความรักฉบับหนุ่มสาวจะจบลง แต่ 'ความรัก' แบบบริสุทธิ์ (Platonic Love) ที่ไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องของทั้งคู่ยังมั่นคง เธอยังคอยติดตามวงดนตรีไปตามที่ต่าง ๆ และได้ทำช่วยงานจัดการวงให้ Queen อยู่หลายครั้ง
"Love of my life, don't leave me
You've taken my love
And now desert me
Love of my life, can't you see?"
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเนื้อหาของเพลง Love of My Life สื่อถึงแมรีหรือไม่
แฟน ๆ บางส่วนมองว่าเนื้อหานี้หมายถึงแมรี โดยเฉพาะในช่วงที่เพลงเพิ่งออกมาใหม่ ๆ ทุกคนต่างมีภาพจำว่าเพลงเนื้อหากินใจนี้ถูกแต่งให้แมรีโดยเฉพาะ และค่ายเพลงก็สนับสนุนภาพจำนี้เพื่อให้เนื้อหากินใจแฟนคลับมากขึ้นและกลบข่าวลือว่าเขาเป็นเกย์ไปในตัว
แต่หลังจากเฟร็ดดีเผยตัวว่าเป็นเกย์ ผู้คนอีกส่วนก็มองว่าเพลงนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเฟรดดีกับ เดวิด มินส์ (David Minns) ผู้บริหารจากค่ายเพลง Elektra Records ซึ่งเป็นชายคนแรกที่เฟรดดีมีความสัมพันธ์แบบจริงจังด้วย
เพลงนี้แต่งขึ้นในปี 1975 ซึ่งเฟรดดียังอยู่ในความสัมพันธ์กับแมรีอยู่ แต่ก็เป็นปีเดียวกันที่เขาเริ่มแอบคบหากับมินส์
บางทฤษฎีก็มองว่าเนื้อหาเพลงนี้พูดถึงความกลัวการสูญเสียแมรีไปตลอดกาล หากวันหนึ่งเธอค้นพบว่าเขากำลังแอบคบหากับผู้ชายคนอื่นอยู่และเป็นเกย์
บ้างก็ว่าเพลงนี้พูดถึงความสัมพันธ์ที่กระท่อนกระแท่นกับมินส์ ซึ่งเฟร็ดดีไม่กล้าเปิดเผยต่อสาธารณะ ในขณะที่อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดกับการปิดบังแบบนี้จนพยายามตีจากเขาไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่แน่ว่าทฤษฎีทั้งสองอาจมีส่วนจริง และคงมีเฟร็ดดีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้
แม้ว่าความ 'รัก' นี้จะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบอื่น แต่สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ไม่มีท่าทีจะขาดจากกัน
"เหล่าคนรักมักถามผมว่าทำไมพวกเขาไม่อาจแทนที่แมรีได้ ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้ แมรีเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมมี และผมไม่ต้องการใครอื่นอีก สำหรับผมแล้ว เธอคือภรรยาตามกฎหมาย และนั่นคือการแต่งงาน พวกเราเชื่อมั่นในกันและกัน และนั่นเพียงพอแล้วสำหรับผม"
เมื่อเฟรดดีตรวจพบโรคเอดส์ในปี 1987 และมีอาการแย่ลงจากโรคที่รุมเร้าแม้จะออกโทรทัศน์เป็นครั้งคราว แต่สาธารณชนก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ช่วงที่เขาล้มป่วยติดเตียง ทั้งสมาชิกในวง แมรี และชายคนรักใหม่ ต่างเฝ้าดูแลเฟร็ดดีในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขา แมรีพยายามโน้มน้าวให้เขาบริจาคแมนชั่นหรูให้เป็นทรัพย์สมบัติสาธารณะ เพื่อให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมเยียนและรำลึกถึงเขาได้
และแล้วเฟรดดีก็เสียชีวิตด้วยอาการปอดบวมแทรกซ้อนเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 1991 ท่ามกลางความโศกเศร้าของผู้คนทั่วโลก
ในพินัยกรรมของตำนานร็อค เขายังแสดงความห่วงใยต่อรักแรก แมรีได้รับมรดกเป็นคฤหาสน์มูลค่า 25 ล้านปอนด์ที่เขาเคยพำนัก และยังได้ส่วนแบ่ง 50% ของรายได้จากเพลงทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนมรดกที่มากที่สุดจนคนอื่นยังต้องอิจฉา ยิ่งไปกว่านั้น แมรียังเป็นบุคคลผู้เดียวที่เฟร็ดดีมอบหมายให้นำอัฐิของเขาไปฝังในที่ลับที่พวกเขารู้กันแค่สองคน และแมรีเคยให้สัมภาษณ์ว่าเธอจะเก็บสถานที่นั้นเป็นความลับจนวันตายเพื่อให้เกียรติแก่เขา
ไม่ว่าเฟร็ดดีจะนึกถึงแมรีขณะแต่งเพลง Love of My Life หรือไม่ก็ตาม เธอก็ยังเป็นบุคคลที่เขารักและห่วงใยที่สุด
ซึ่งเขาเคยกล่าวถึงแมรีไว้ว่า "ผมอาจมีปัญหาทั้งโลกรุมเร้า แต่ผมมีแมรีที่ช่วยให้ผ่านมันไปได้ตลอด พวกเราเจอกันทุกวันและเธอยังเป็นคนโปรดของผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมจะรักเธอตราบจนลมหายใจสุดท้าย"
แม้จะไม่ได้เป็นความรักแบบหนุ่มสาว แต่สำหรับแมรี เฟร็ดดีคงเป็นรักแท้ของเธอตลอดไป ซึ่งแมรีได้กล่าวถึงความสูญเสียครั้งนี้ว่า
"ฉันสูญเสียครอบครัวเมื่อเฟรดดีจากไป เขาเป็นทุกอย่างสำหรับฉัน และไม่เหมือนใครอื่นที่ฉันเคยพบเจอมาก่อน"
รักบริสุทธิ์ของทั้งสองอาจสรุปได้ในท่องหนึ่งของเนื้อเพลง Love of My Life ได้ดังนี้
'When I grow older
I will be there at your side
To remind you how I still love you
I still love you'
ที่มาภาพ: Dave Hogan - Getty Images
อ้างอิง:
https://www.express.co.uk/.../Freddie-Mercury-girlfriend...
https://www.hellomagazine.com/.../freddie-mercury-ex.../
https://www.smoothradio.com/.../mary-austin-freddie.../
https://www.biography.com/news/freddie-mercury-mary-austin