หน้าปีศาจ - The Exorcist: ใบหน้าที่ปรากฎมาชั่วพริบตาแต่หลอกหลอนผู้ชมผ่านจินตนาการและความกลัว
ภาพติดตามักเกิดขึ้นเมื่อเราได้เห็นภาพที่แม้จะอยากลืมแต่อาจลืมไม่ลง และหากศาสตร์อย่างภาพยนตร์สามารถทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้ขึ้นในหมู่ผู้ชมได้ โดนเฉพาะภาพยนตร์สยองขวัญ แน่นอนว่าเป้าหมายในการให้ผู้คนกลัวและจดจำก็คงบรรลุสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม การแค่แต่งหน้าตัวละครให้ดูน่าขนหัวลุกเพียงอย่างเดียวคงไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะฝังความน่ากลัวนี้ไว้ในความรู้สึกคนดูได้ เพราะวิธีการนำเสนอก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
หากจะกล่าวถึงประเด็นดังกล่าว ก็คงต้องยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาประกอบ และหากพูดถึงภาพยนตร์สยองขวัญที่สะเทือนวงการฮอลลีวูด หลาย ๆ คนก็คงมีเรื่องโปรดในใจแตกต่างกันไป แต่ถ้าเป็นหนังชั้นครูที่ได้รับการคารวะและหลายคนก็ยังยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘น่ากลัว’ ก็คงเป็นเรื่องใดไปไมได้นอกเสียจาก ‘ดิ เอ็กซอร์ซิสต์’ (The Exorcist) ภาพยนตร์สยองขวัญจากปี 1973 ที่สร้างปรากฎการณ์หนังผีที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะทำให้ผู้ชมที่เข้าไปดูในโรงภาพยนตร์สมัยนั้น เป็นลม ตัวสั่น และร้องไห้กันไปตาม ๆ กัน
นอกเสียจากเมคอัพหน้าตาและพฤติกรรมอันผิดแปลกของ ‘เรแกน’ (Reagan) ที่ทำให้ใครหลายคนได้ขวัญผวากันไปตาม ๆ กันแล้ว ก็มีใบหน้าปริศนาสีขาวซีด แววตาอาฆาตผิดมนุษย์มนา ที่โผล่มาเพียงเศษเสี้ยววินาทีที่ฝังลึกในหัวของผู้ชมแล้วสร้างภาพที่น่ากลัวกว่าเดิมผ่าน ‘จินตนาการ’ ของผู้ชมเอง
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใบหน้าปีศาจนั้นดูน่ากลัวหาใช่ลักษณะของมัน แต่เป็น ‘ระยะเวลา’ ในการปรากฎของมันต่างหาก
ด้วยระยะเวลาแค่เศษเสี้ยววินาทีที่ใบหน้านั้นปรากฎขึ้นมาบนจอ—โดยเฉพาะจอโรงภาพยนตร์—ผู้ชมจะได้เห็นใบหน้านั้น ‘เต็ม ๆ’ ด้วยความครุมเครือ ความไม่ชัดเจน และความไม่แน่ใจนี้เองที่ก่อให้เกิดความน่ากลัวขึ้นในหัวของผู้ชม เนื่องจากผู้ชมจะรู้สึกไม่แน่ใจกับภาพที่เห็นในเสี้ยววินาทีที่ผ่านมา จึงไม่ได้ม๊โอกาสในการมองใบหน้านั้นอย่างชัดเจน และก่อให้เกิดปรากฎการณ์ ‘คิดไปเอง’
ใบหน้าปีศาจที่ วิลเลียม เฟรดกิน ผู้กำกับภาพยนตร์ตัดสินใจไม่ใช้เพราะหลังจากถ่ายแล้ว เมคอัพใบหน้าดังกล่าวนั้นดูแล้วเหมือนละครเวทีมากไป วิลเลียมจึงต้องมานั่งคิดกับทีมงานว่าจะเอายังไงดีกับฟุตเทจที่ถ่ายไปเผื่อจะใช้มันทำประโยชน์อะไรได้บ้าง
ด้วยเหตุนี้ ทางทีมงานจึงคิดว่าในเมื่อใส่ให้เห็นกันจะ ๆ นาน ๆ ชัด ๆ มันไม่เวิร์ค งั้นลองให้โผล่มาแวบเดียวดีไหม? สักเฟรมสองเฟรมพอ หลังจากที่ทดลองทำแบบวิธีดังกล่าวดู ผลปรากฎว่ามันช่วยทำให้ดูน่าขนลุกขึ้นเป็นอย่างมาก
ใบหน้าปีศาจสีขาวซีดนั้นจึงกลายเป็นภาพที่ติดตาในหมู่ผู้คนที่ได้มีโอกาสชม ดิ เอ็กซอร์ซิสต์ ณ ขณะนั้น โดยเฉพาะในโรง เพราะด้วยความที่มันปรากฎมาในระยะเวลาแค่นั้น ไม่มีผู้ชมคนไหนเลยที่สามารถรู้ได้ว่าหน้าตานั้นคืออะไรกันแน่
สิ่งเดียวที่ทำได้คือหลับตานึกถึงมัน—ใบหน้าปีศาจนั้น—แต่กลายเป็นว่าการใช้จินตนาการเพื่อจะจำใบหน้าที่โผล่มาเพียงเสี้ยววิกลับทำให้มันดูน่ากลัวกว่าเดิม นับเป็นเทคนิคที่ชาญฉลาดที่ใช้หลอกหลอนผู้คนของภาพยนตร์ตำนานเรื่องนี้ เพราะมันไม่ใช่เทคนิคที่พยายามหลอกคนดูให้สะดุ้ง แต่เป็นการฝังความตัวไว้ในเบื้องลึกของจิตใจและจินตนาการ
ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังของภาพยนตร์ ดิ เอ็กซอร์ซิสต์ อีกมากที่ชวนขนหัวลุกไม่แพ้เหตุการณ์ความน่ากลัวในเรื่อง โดยเฉพาะอาถรรพ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้คนภายในกองถ่าย หรือแม้กระทั่งแรงบรรดาลใจที่นำมาสู่จากเหตุการณ์จริงที่นำมาสู่เรื่องราวของภาพยนตร์สยองขวัญระดับตำนานเรื่องนี้
แต่สำหรับเบื้องหน้า สิ่งที่ใครหลายคนยากที่จะลืมเลือนก็คงเป็นเรแกนในร่างทีถูกผีสิงจนห่างไกลจากความเป็นมนุษย์และใบหน้าปีศาจร้ายที่โผล่มาชั่วพริบตา แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของผู้ชมต่อไป
เรื่อง: รัฐฐกรณ์ ศิริฤกษ์
ภาพ: The Exorcist (1973)
อ้างอิง:
https://www.avclub.com/audiences-had-some-intense-reactions-to-the-exorcist-in-1798280003
https://ew.com/movies/2012/10/31/the-exorcist-10-creepy-details
https://collider.com/eight-reasons-why-the-exorcist-one-of-the-scariest-movies-of-all-time/
https://www.mentalfloss.com/article/87245/terrifying-subliminal-image-hidden-exorcist