คุยกับ ‘เน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ เรื่องการแสดงที่เป็นเหมือนเงาซ้อนทับตัวตนในละคร ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’

คุยกับ ‘เน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ เรื่องการแสดงที่เป็นเหมือนเงาซ้อนทับตัวตนในละคร ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’
ระหว่างที่เรานั่งคุยกับนักแสดงหนุ่มวัย 28 ปีคนนี้ เขากำลังมีผลงานละครเรื่อง ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’ ออกอากาศผ่านทางช่อง one31 บ้านหลังแรกที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะนักแสดงอย่างเต็มตัว
แม้ว่าชื่อของ ‘เน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ จะยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก ในช่วงขวบปีแรกของการเป็นนักแสดง แต่บางคนอาจจะร้องอ๋อ! ว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้ตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ในฐานะที่เขาเคยเป็นคทากรไม้ 1 ของจุฬาฯ ในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์ - จุฬาฯ ครั้งที่ 69 ขณะที่บางคนอาจจะรู้จักเขาในบทบาท ‘หมอเน๋ง’ คุณหมอผู้ทำหน้าที่ดูแลเพื่อนสี่ขา ประจำ Hato Pet Wellness Center ที่เขาและเพื่อนรุ่นพี่จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันสร้างดินแดนที่พร้อมดูแลสุขภาพกายและใจของน้องหมาน้องแมวแห่งนี้ขึ้นมา นอกจากการเป็นสัตวแพทย์ที่เน๋งทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว อีกหนึ่งบทบาทอย่างการเป็นนักแสดงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเราก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เพราะตั้งแต่เขาตัดสินใจก้าวเท้าออกจากคอมฟอร์ตโซน เปิดประตูสู่โลกมายา เขาก็ต้องซ่อนเด็กชายขี้อายที่กลัวการพูดหน้าชั้นเอาไว้อย่างมิดชิด จูงมือเด็กชายเน๋งอีกคนที่พร้อมส่งรอยยิ้มตาหยีให้ทุกคนที่เข้ามาทักทาย เพื่อเป็นการประกาศว่าเขาพร้อมแล้วที่จะเริ่มบทสนทนากับคนตรงหน้า The People จึงเริ่มพูดคุยกับ ‘เน๋ง - ศรัณย์’ หลังจากเห็นรอยยิ้มที่เขาส่งออกมา ถึงอีกหนึ่งตัวตนที่เขาค้นพบระหว่างท่องอยู่ในโลกการแสดง คุยกับ ‘เน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ เรื่องการแสดงที่เป็นเหมือนเงาซ้อนทับตัวตนในละคร ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’ “ผมเป็นคนค่อนข้าง Introvert ประมาณหนึ่ง ขี้อายไม่ค่อยกล้าพูดกับใครในที่สาธารณะ อย่างที่โรงเรียนเขาก็มักจะมีการสอบพูด ท่องกลอนหน้าชั้น ผมไม่กล้าเลย ผมกลัวเรื่องพวกนี้มาก เวลาครูให้ยกมือตอบคำถามก็ไม่ยกนะ กลัว” เน๋งเล่าถึงเด็กชายเน๋งในวัยมัธยมฯ เมื่อครั้งที่ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันอยู่ในรั้วโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ปกติผมทำงานเป็นหมอก็อยู่แต่ในห้อง แต่พอเข้ามาในวงการบันเทิง ผมต้องปรับตัวเยอะมาก ไปกองถ่ายวันหนึ่งต้องเจอคนเกือบร้อยคน พออยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมันทำให้เราล่ก มีความทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวยังไง (หัวเราะ) “แต่ก็ท้าทายตัวเองดี เหมือนกับได้หลุดออกจากกรอบของตัวเองเสียที แล้วผมก็มีแรงขับเคลื่อนอีกอย่างหนึ่งคือ มีคนมาพูดกับผมว่า ‘เฮ้ย! เน๋งทำไม่ได้หรอก’ ‘เน๋งไม่น่าจะเหมาะกับการแสดง’ ซึ่งคำพูดเหล่านี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ‘เดี๋ยวจะทำให้ดู’” และเน๋งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ‘เดี๋ยวจะทำให้ดู’ ไม่ใช่แค่คำพูดหรือปณิธานที่ตั้งขึ้นมาลอย ๆ เพราะเขาทำได้จริง เริ่มตั้งแต่การเป็นนักแสดงรับเชิญในละครเรื่องนางสาวไม่จำกัดนามสกุล, ภาตุฆาต, ขอเกิดใหม่ใกล้ ๆ เธอ และละครเรื่องล่าสุดของช่อง one31 ที่ขึ้นแท่นเป็นพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกอย่าง ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’ จากเด็กขี้อายในวันวานก็เปลี่ยนเป็นคนละคน มือไม้ที่ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากหน้าหลายตาในกองถ่าย ก็สามารถหาที่เก็บซ่อนความประหม่าไว้ได้อย่างมิดชิด แต่ใช่ว่าเส้นทางการเป็นนักแสดงของเน๋งจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง เพราะด้วยความที่เขาเรียนสัตวแพทย์ ทำให้กระบวนการคิดค่อนข้างเป็นระบบระเบียบ ทุกอย่างต้องมีเหตุและผลรองรับ ทำให้การเรียนการแสดงในช่วงแรกมีแต่ความ เอ๊ะ! อยู่เต็มไปหมดว่า ‘ฉันมาทำอะไรที่นี่?’ คุยกับ ‘เน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ เรื่องการแสดงที่เป็นเหมือนเงาซ้อนทับตัวตนในละคร ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’ “ตอนเรียนการแสดง หลังจากเซ็นสัญญากับทางช่อง one31 ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันสนุกนะ มีแต่ความสงสัยเต็มไปหมดว่าทำไมตัวละครนี้ถึงเป็นแบบนี้นะ สถานการณ์ที่เรากำลังเจออยู่มันควรจะเป็นแบบอื่นมากกว่าไหม กลายเป็นว่าเราสงสัยทุกอย่าง เพราะตามโลจิกมันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ “อย่างช่วงแรก ๆ ที่ผมนั่งอยู่ในห้องการแสดง จู่ ๆ เขาบอกกับผมว่าอากาศมันร้อนขึ้น ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันร้อนขึ้นเลยนี่หว่า (หัวเราะ) เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริงอะ แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ไปเข้ากอง ไปเจอคนในกองถ่าย ผมก็มองย้อนกลับไปนะว่า เออ…สิ่งที่ผมเรียนมามันใช้ได้จริงนะ กลายเป็นว่าผมรู้สึกขอบคุณทุกบทเรียนที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้แสดง” ซึ่งในละครเรื่องล่าสุด เน๋งบอกกับเราว่าเขาเหมือนเห็นตัวเองซ้อนทับอยู่ใน ‘แทน’ พระเอกของเรื่อง เพราะด้วยช่วงอายุที่ใกล้เคียงกัน และนิสัยที่ชอบดูแลเทคแคร์คนอื่นก็ยังคล้ายกันอีก ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าการเป็น ‘แทน’ คงไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ ช่วงแรกที่ได้อ่านบทจึงทำให้เขาลังเลไม่น้อยว่าจะรับดีไหม คุยกับ ‘เน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ เรื่องการแสดงที่เป็นเหมือนเงาซ้อนทับตัวตนในละคร ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’ “แต่พอได้ดูเนื้อในจริง ๆ ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างหนัก จากความคิดแรกที่คิดว่ามันไม่น่าจะท้าทายก็เปลี่ยนไปเลย ถึงแทนจะคล้ายกับเน๋งอยู่บ้าง อย่างการขับรถไปส่งคนเมา หน้าที่นี้ผมทำประจำอยู่แล้ว ด้วยความที่ผมไม่ค่อยดื่ม ผมก็ต้องเก็บศพเพื่อนกลับบ้าน (หัวเราะ) “ถึงจะเป็นละครโรแมนติก - คอมเมดี้ก็จริง แต่ว่าคาแรคเตอร์ของทุกตัวละครในเรื่องมีปมเยอะมาก ของแทนก็จะมีเรื่องครอบครัว เรื่องความรักครั้งเก่าที่ยังวนเวียนอยู่ในตัวตนของแทน ที่มันหยุดอยู่ที่เขาแล้วมันไปต่อไม่ได้ แล้วก็มีเรื่องรักต่างวัยที่คนสมัยก่อนเขาอาจจะมองว่ามันอาจจะเกี่ยว มันรักกันไม่ได้ เดี๋ยวก็ไม่เข้าใจกัน “แต่ผมกลับมองว่าอายุไม่ใช่ประเด็น ทุกอย่างมันสามารถลดช่องว่างระหว่างกันได้ด้วยการพูดคุย ปรับหาตรงกลาง ทำให้ช่องว่างระหว่างวัยมันแคบลง แม้เราจะมีอายุต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วผมรู้สึกว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เราก็ปรับเข้าหากันได้อยู่ดี” เมื่อถามถึงสิ่งที่เน๋งได้รับกลับมาหลังจากสวมบทบาทเป็น ‘แทน’ เน๋งบอกกับเราว่าเขามองเห็นความสุขได้ชัดขึ้น มองเห็นว่าโลกใบนี้ สังคมนี้ หากทุกคนมีความเห็นอกเห็นใจ มีความพยายามเข้าใจเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมสังคม ไม่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อทำแต่งานไปวัน ๆ เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นตามไปเอง  คุยกับ ‘เน๋ง - ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ เรื่องการแสดงที่เป็นเหมือนเงาซ้อนทับตัวตนในละคร ‘รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง’ ส่วนความสุขของเน๋งนั้นเรียบง่าย เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการนั่งกินข้าวดูทีวีเงียบ ๆ คนเดียว เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว “ผมชอบอยู่คนเดียว การได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเลยเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด ใช้ชีวิตเรียบ ๆ ง่าย ๆ  ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้” เราจึงลองขยายเลนส์ให้กว้างขึ้นอีกนิด โดยการหย่อนคำถามเพิ่มไปว่าเน๋งคิดเห็นอย่างไรกับอุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศไทย ในฐานะที่อยู่ในวงการบันเทิงมาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ “ตอนนี้มีสื่อเกิดขึ้นเยอะมาก กลุ่มคนดูเป็นคนที่สำคัญที่สุด เพราะด้วยความที่มีช่องทางการรับสื่อเยอะมาก อาจทำให้เราต้องโฟกัสกลุ่มคนดูมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เราย้อนกลับมาคิด มามองตัวเองอีกครั้งนะว่าเรากำลังทำงานให้ใครดู ทำแล้วมีประโยชน์ยังไง แล้วเราจะพัฒนามันยังไงให้กลุ่มคนดูเขาอินไปกับเรา “จริง ๆ อุตสาหกรรมบันเทิงไทยสามารถพัฒนาไปได้อีกเยอะ แต่อาจจะติดอยู่ตรงงบประมาณ สุดท้ายแล้วผมก็อยากฝากให้ทุกคนหันมาสนับสนุนสื่อบันเทิงไทยกันให้มากขึ้น เพราะเรายังมีผลงานดี ๆ อีกเยอะมาก แต่มันอาจจะไม่ได้ถูกประชาสัมพันธ์มากนัก ผมอยากให้ทุกคนลองเปิดใจดูละครไทยกัน”  
ภาพ: อภิวิชญ์ แสงโสภา The People Junior