06 ส.ค. 2565 | 10:52 น.
จุนเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก จากแมวมองที่สะดุดตากับความน่ารักจนชักชวนมาเป็นนายแบบนิตยสารต่าง ๆ แรกเริ่มเขาคิดว่าการเข้ามาในวงการบันเทิงอาจจะหนักเกินรับในตอนนั้น แต่เมื่อได้เริ่มคลุกคลีกับบรรดานักแสดงรุ่นเดียวกันเลยเริ่มสนใจที่อยากจะเข้ามาในวงการนี้อย่างเต็มตัว และเข้าเรียนที่ Watanabe Entertainment School (WES) ที่เป็นโรงเรียนของ Watanabe Entertainment
ที่นี่เป็นบริษัทบันเทิงเจ้าใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีนักแสดงดังในสังกัดมากมาย มีเหล่ารุ่นพี่และอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาคอยให้คำแนะนำและฝึกฝนน้อง ๆ ซึ่งจุนได้ฝึกทักษะในการทำงานหลาย ๆ ด้าน เพราะเป็นโรงเรียนผลิตทั้งนักแสดงทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ ละครเวที นักแสดงตลก นักดนตรี ไปจนถึงพิธีกรรายการวาไรตี้
เมื่อเรียนจบในปี 2011 ในปีเดียวกันนั้นเขาก็ได้เข้าร่วมกับ D2 กลุ่มนักแสดงของบริษัท Watanabe Entertainment และเดบิวต์กับผลงานละครเวทีเรื่อง Prince of Tennis ซีซัน 2 ซึ่งละครเวทีเรื่องนี้เป็นเวทีแจ้งเกิดให้กับรุ่นพี่นักแสดงมาแล้วมากมาย เช่น ยู ชิโรตะ และทาคุมะ วาดะ ซึ่งจุนได้เป็นตัวเลือกแรกของคณะกรรมการคัดตัวนักแสดงทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งเริ่มการฝึกเพียงแค่ 3 เดือน จากระยะเวลาปกติคือ 1 ปี ทำให้เขาเป็นเคสที่หายากมาก แต่เหมือนว่าแววการเป็นนักแสดงของเขาจะเปล่งประกายจนไม่อาจมองข้ามไปได้
ในปี 2013 กลุ่ม D2 ได้เข้ารวมกลุ่มกับ D-BOYS กลุ่มนักแสดงชายจาก Watanabe Entertainment เช่นเดียวกัน และจุนยังคงเป็นสมาชิก D-BOYS มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง D-BOYS มีความพิเศษตรงที่พวกเขามีผลงานการแสดงที่หลากหลายรูปแบบทั้งซีรีส์ ละครเวที และงานอีเวนต์เฉพาะแฟนคลับ
จุนเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเมื่อปี 2014 หลังจากแสดง ‘Ressha Sentai ToQger ขบวนการรถไฟ’ และปี 2015 ได้รับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์ ‘Senpai to Kanojo สวัสดีรุ่นพี่ที่รัก’ หนังที่สร้างมาจากมังงะเรื่องดังของ ‘อัตสึโกะ นันบะ’ ซึ่งเธอเลือกจุนมาเป็นพระเอกด้วยตัวเอง เพราะเป็นแฟนตัวยงของ ToQger
ความงามแบบไม่จำกัดเพศ
ด้วยหน้าตาและบุคลิกที่สามารถเป็นได้ทั้งชายหนุ่มผู้น่ารัก มีใบหน้าสวยหวาน ทำให้เขามีผลงานซีรีส์และหนังหลายเรื่อง อย่าง Kimi Wa Petto เวอร์ชันปี 2017 ที่ดัดแปลงจากมังงะชื่อดัง หรือบทนักเลงสุดห้าวใน HiGH & LOW THE WORST (2019)
แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาได้โชว์ความสามารถทางการแสดงแบบหลากมิติก็คือซีรีส์เรื่อง Life As a Girl (2018) ที่รับบทเป็น ‘มิกิ’ สาวทรานส์เจนเดอร์ที่รักผู้หญิงและมีความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยน บทมิกิเป็นบทที่ท้าทายและซับซ้อน แต่จุนแสดงออกมาได้อย่างมีมิติและนำเสนอความหลากหลายทางเพศวิถี และเพศสภาพ จนได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเวที Confidence Award Drama Prize ครั้งที่ 11 และเป็นนักแสดงที่เป็นกระบอกเสียงให้กับการสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ในปี 2022 เขาได้เป็นหนึ่งในตัวแทนจากประเทศญี่ปุ่น ในฐานะ Global Brand Ambassador ของ GUCCI และพูดในรายการ GUCCI GENDER CANVAS ซึ่งเป็นแคมเปญของแบรนด์ GUCCI ที่สนับสนุนความเปลี่ยนแปลงเพื่อความเท่าเทียมทางเพศว่า
“ในอดีตที่ผ่านมา ผมได้รับบทเป็นทรานส์เจนเดอร์และโฮโมเซ็กชวล ผมได้เรียนรู้ว่าสิ่งสำคัญในการสื่อสารก็คือการให้ความเคารพซึ่งกันและกันและหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ทำร้ายจิตใจผู้อื่น อย่างเช่น ทำไมวันนี้ดูสาวจัง หรือคุณดูแมนจัง สิ่งเหล่านี้มันก็ทำร้ายจิตใจบางคนได้ครับ มันคือสิ่งที่สำคัญที่ผมได้เรียนรู้ผ่านการรับบทเหล่านี้ ดังนั้นผมจึงรับฟังอย่างตั้งใจกับความเห็นของผู้อื่น การได้เรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้มันทำให้เราเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ และเคารพผู้อื่นมากขึ้น และเมื่อเราเข้าใจกัน มันก็ทำให้แต่ละคนสามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้มากขึ้น แทนที่เราจะไปจัดประเภทของผู้คน เราควรที่จะยอมรับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของปัจเจกบุคลภายในสังคม มันคือการเคารพซึ่งกันและกัน และเคารพในความต้องการที่แตกต่าง และนั่นมันเป็นโลกที่ผมยินดีที่จะอาศัยอยู่ ในฐานะที่ผมเป็นนักแสดง ผมจะพยายามใช้ภาษาให้เหมาะสม และหวังว่าจะช่วยสร้างโลกที่ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข มีเสียงหัวเราะและมีความรักให้กันและกัน ผมว่าข้อความของผมจะส่งถึงใจผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ”
เมื่อความตายมาเยือน
ปี 2021 ในช่วงเวลาที่หน้าที่การงานของจุนกำลังรุ่งโรจน์ และเป็นปีที่ครบรอบ 10 ปีการเดบิวต์ในวงการบันเทิงของเขา และตัวเขาก็รับงานแบบไม่หยุดพักมาโดยตลอด เพื่อจะเปิดโอกาสให้ได้รับบทบาทใหม่ ๆ ที่ท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง The Night Beyond the Tricornered Window (2021) และร่วมแสดงในละครไทกะ Seiten wo Tsuke (2021)
ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเนื่องจากเขาป่วยหนักด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน ที่แรกเริ่มเขามีอาการคล้ายหวัด แต่หายใจลำบากและแน่นหน้าอก จนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วเกิดอาการหัวใจล้มเหลว และต้องอยู่ใน ICU เพื่อป้องกันอาการไม่ให้แย่ลง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาได้รู้สึกถึง ‘ชีวิตและความตาย’
ช่วงชีวิตที่เคยเร่งรีบและไม่หยุดพักเพื่อเร่งตักตวงทำผลงาน แต่การต้องนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลนิ่ง ๆ ห้ามขยับเขยื้อน ไม่อาจลุกไปไหนได้ ทำให้เขาได้ไตร่ตรองถึงชีวิตที่ผ่านมา รวมถึงความกลัวว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร และจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นนักแสดงได้อีกหรือไม่ จุนคิดถึงมันแล้วบอกกับตัวเองว่า “ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่”
หลังจากได้รับการรักษาเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ทุกคน จุนใช้เวลาหยุดพักฟื้น ทำกายภาพฟื้นฟูร่างกาย รวมถึงคิดถึงเป้าหมายของชีวิตต่อไปด้วย
“เมื่อก่อนผมเคยคิดแค่ว่าผมจะทำงานให้ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมาเสียใจ แต่เมื่อมาคิดถึงชีวิตของตนเอง ผมก็มาเสียใจในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำ ทั้งงาน ครอบครัว และความสัมพันธ์ แต่สุดท้ายแล้วผมยังต้องการจะมีชีวิตอยู่ และผมอยากมีชีวิตอยู่จริงๆ”
จุนพยายามกลับมาทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องเผชิญกับการป่วยติดเชื้อ COVID-19 อีกทั้งๆ ที่เพิ่งจะฟื้นตัว แม้จะพยายามระมัดระวังตัวอย่างมาก แต่ครั้งนี้เขารับมือกับมันอย่างใจเย็นมากขึ้น และตั้งเป้าหมายในชีวิตเป็นการส่งต่อพลังงานและพลังใจด้านบวกไปสู่ผู้อื่น ถึงแม้ว่าเขาจะมีความกังวลใจในเรื่องสุขภาพ แต่เรื่องสภาพจิตใจของเขากลับแข็งแกร่งขึ้น
“ในตอนที่ผมแสดง ผมยังกลัวที่จะวิ่งหรือตะโกน สิ่งที่เคยเป็นเรื่องปกติธรรมดากลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาไปแล้ว แต่ผมก็ได้เรียนรู้ที่จะให้คุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ รวมถึงสุขภาพของผมด้วย ด้วยความช่วยเหลือจากหลายคน ผมได้มีโอกาสฟื้นฟูกลับมา ผมได้มีโอกาสได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง และมันทำให้ชีวิตของผมมีคุณค่ามากขึ้น ผมเคยเร่งรีบตลอดเวลา ผมเคยคิดว่านั่นมันเป็นหนทางเอาตัวรอดในฐานะนักแสดง ผมต้องทำผลงานให้ดีตั้งแต่ยังเด็ก ผมจึงทำงานหนัก แต่ตอนนี้ผมหยุด และขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง แทนที่จะแข่งขันตลอดเวลา ผมได้มาคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือการใช้เวลาอย่างสบายๆ กับตัวเราในช่วงชีวิตที่ดำเนินไปเรื่อยๆ”
People and Work (2021) คือผลงานสารคดีที่จุนได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ‘ยูกิฮิโระ โมริกาคิ’ ที่ร่วมงานกันใน The Night Beyond the Tricornered Window และนักแสดงดัง ‘คาซุมิ อาริมูระ’ โดยเป็นเรื่องราวบันทึกชีวิตคนทำงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
ในสารคดีนี้นักแสดงทั้งสองได้ไปสัมภาษณ์บรรดาคนตัวเล็ก ๆ หลากหลายอาชีพที่ไม่มีโอกาสได้เรียกร้องในด้านต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ผู้ทำงานเพื่อสังคม เช่น เจ้าหน้าที่ดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ฯลฯ จากนั้นจุนได้ร่วมงานโปรเจกต์การกุศลอีกหลายงาน โดยตั้งใจจะส่งต่อกำลังใจและช่วยเหลือคนอื่น ๆ เท่าที่มีโอกาสและกำลังทำได้
ฟ้าหลังฝนกับการก้าวสู่โลกอินเตอร์
หลังจากผ่านพ้นอาการป่วยหนักถึงสองรอบในปีเดียวกัน จุนได้รับรางวัล Men of the Year Inspiration Award จาก GQ Men of the Year 2021 ของญี่ปุ่น และต้นปี 2022 ได้รับการประกาศเป็น Global Brand Ambassador ของแบรนด์ GUCCI และเริ่มมีผลงานที่ได้รับการเผยแพร่ในระดับอินเตอร์อย่างอนิเมชัน Bubble (2022) ที่เผยแพร่ทาง Netflix (เข้าฉายโรงภาพยนตร์เฉพาะญี่ปุ่น) ซึ่งเขาพากย์เสียงตัวละครหลักของเรื่องนี้ จากที่เคยมีผลงานพากย์เสียงอนิเมชัน Onward (2019) เวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นมาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีผลงานหนัง The Way of the Househusband: The Movie (2022) และได้รับการประกาศให้รับบทเป็น ‘คุราม่า’ ในซีรีส์ Yu Yu Hakusho ที่ดัดแปลงจากมังงะและอนิเมะฮิตในยุค 90s ซึ่งกำลังกลายมาเป็นเวอร์ชัน Live-Action ของทาง Netflix มีกำหนดเผยแพร่ในปี 2023 โดยกระแสตอบรับมีทั้งยินดีที่เขาได้รับบทนี้ และการต่อต้านที่ทำให้ชื่อของเขาติดเทรนด์ทวิตเตอร์ กลายเป็นคำว่า “นี่ไม่ใช่คุราม่าที่ฉันรู้จัก” และ “นี่ไม่ใช่คุราม่าของฉัน” เนื่องจากแฟนคลับจำนวนไม่น้อยตัดสินไปแล้วจากภาพแรกที่ปล่อยออกมาว่าเขาดู ‘สวยไม่พอ’ ที่จะรับบทนี้
กระแสดังกล่าวได้รับการพูดถึงในหลายประเทศ จนสื่อญี่ปุ่นอย่าง Nikkan Gendai ก็ให้ความสนใจพร้อมกับวิจารณ์ว่า จุนถูกวิจารณ์เรื่องหน้าตา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การที่จะดัดแปลงมังงะหรืออนิเมะเป็น Live-Action ให้ออกมาดีคือการนำหัวใจและจิตวิญญาณของต้นฉบับออกมามากกว่า เพราะการดัดแปลงที่ดีไม่ใช่แค่การนำนักแสดงมาคอสเพลย์ให้เหมือนเป๊ะ พร้อมยกตัวอย่างงาน Live-Action ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Rurouni Kenshin นำแสดงโดย ‘ซาโต้ ทาเครุ’ และ ‘Kingdom’ ที่แสดงโดย ‘เคนโตะ ยามาซากิ’ ก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ใช่แค่การแต่งกายหรือหน้าตานักแสดง
จุนเองได้ให้สัมภาษณ์เมื่อได้รับบทคุราม่าว่า เขาได้รับความกดดันอย่างมากในการรับบทนี้ “ผมชอบเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้บทนี้ แน่นอนละ ผมมีความสุขที่ได้รับ แต่คุราม่ามีแฟนคลับจากทั่วโลก ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เกิดความกดดันที่ต้องรับบทนี้ โดยเฉพาะเมื่อจัดว่าคุราม่าเป็นผู้ชายที่สวยมากในประวัติศาสตร์ของมังงะเลยด้วย”
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับบทนี้แล้วเขาก็ไม่ท้อถอย “ผมได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำงานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้เห็นภาพจริง เราผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อให้ได้รายละเอียดที่ดีที่สุด มันเป็นกองถ่ายที่ใหญ่และมีมากมายหลายฉาก อีกทั้งยังมีการถ่ายทำแบบ one-shot one-cut (ถ่ายเทกเดียวแบบม้วนเดียวจบโดยไม่ตัด) ที่ผมได้ลิ้มลองในเรื่องนี้ครั้งแรก ซึ่งมันเตือนใจให้ผมนึกถึงความตั้งใจดั้งเดิมของผม ทุกคนในกองถ่ายนี้มีความตั้งใจจะนำเสนอญี่ปุ่นออกสู่สายตาโลก และค้นหาความสร้างสรรค์ไปด้วยกัน มันทำให้ผมประทับใจมากจนไม่อยากให้จบลง และผมหวังว่าทุกคนจะคอยติดตามชม”