เลิศพงศ์ ฉัตรมาลีรัตน์: ผู้จุดประกายรถเข็นก๋วยเตี๋ยว จนกลายเป็นแบรนด์ ‘โฮเด้ง-โกเด้ง’

เลิศพงศ์ ฉัตรมาลีรัตน์: ผู้จุดประกายรถเข็นก๋วยเตี๋ยว จนกลายเป็นแบรนด์ ‘โฮเด้ง-โกเด้ง’

ประเทศไทยมีสตรีทฟู้ดน่าสนใจติดอันดับโลก ซึ่งมีหลายธุรกิจที่เป็นหนึ่งในภาพจำของใครหลายคน เช่น ก๋วยเตี๋ยวรถเข็น ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในสิ่งอะเมซิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และหนึ่งในท็อปแบรนด์ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดีก็คือ ‘ก๋วยเตี๋ยวโฮเด้ง-โกเด้ง’

ซึ่งกว่าจะมาเป็นก๋วยเตี๋ยวอร่อย ๆ และลูกชิ้นคุณภาพดีให้เราได้ลิ้มรสชิมกัน เรียกว่าผู้ก่อตั้ง ‘เลิศพงศ์ ฉัตรมาลีรัตน์’ มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อยเลย จะเรียกว่าผ่านกระบวนการคิดมาหลายตลบก็ไม่ผิด ทั้งยังใช้ประสบการณ์ที่เคยทำงานทั้งหมดมาช่วยขับเคลื่อนความคิดตัวเองด้วย

 

เกิดและโตในครอบครัวชาวสวน

เลิศพงศ์ เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก พ่อกับแม่ของเขาเป็นชาวสวนแต่ต้องเช่าที่ของเพื่อนบ้านเพื่อทำไร่ทำสวนในสมัยนั้น

ซึ่งเลิศพงศ์เคยให้สัมภาษณ์เมื่อนานมาแล้วกับนิตยสารเส้นทางเศรษฐีเกี่ยวกับชีวิตของเขาว่า เท่าที่จำความได้ก็เกิดมาและเห็นภาพที่พ่อกับแม่เป็นชาวสวน และยึดอาชีพนี้มาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเลย

แต่เมื่อสัญญาการเช่าที่กับเพื่อนบ้านหมดลง ครอบครัวของเลิศพงศ์ตัดสินใจย้ายบ้านไปที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยตั้งใจไว้ว่าจะใช้ที่ดินแถวนั้นเพื่อปลูกพืชไร่ เปลี่ยนตามฤดูกาลของพืชผักไปเรื่อย ๆ

แต่แล้วชีวิตของครอบครัวเลิศพงศ์ก็ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพอีกครั้งเพราะรู้สึกว่ารายได้ไม่เพียงพอ ลูก ๆ ต้องใช้เงินมากขึ้นในการศึกษาเล่าเรียน (ในบทสัมภาษณ์บอกว่ามีพี่น้องหลายคน แต่ไม่ได้ระบุจำนวนที่แน่นอน) พ่อแม่ของเขาเลยใช้เงินเก็บที่มีเปิดร้านโชห่วยเล็ก ๆ ขึ้นมา

เมื่อเลิศพงศ์จบ ป.7 จากอำเภอพระพุทธบาทก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม และอาศัยอยู่กับพี่สาวและพี่ชาย จากนั้นก็ได้เข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในคณะเศรษฐศาสตร์

เริ่มงานแรกที่ C.P.

ในปี 2522 หลังจากจบการศึกษาเขาได้มีโอกาสทำงานกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ (C.P.) ในตำแหน่ง ‘เจ้าหน้าที่ดูแลการขายอาหารสัตว์และสายพันธุ์สัตว์’ โดยทำงานอยู่ที่นั่นประมาณ 5 ปี

และตัดสินใจลาออกเพราะมีเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนด้วยกันที่ธรรมศาสตร์ชวนไปทำงานที่บริษัท โรงงานลูกกวาดเม่งเซ้ง จํากัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตหมากฝรั่งตรานกแก้ว และคิด-คิด ขนมขบเคี้ยวในตำนานที่เวลานั้นกำลังโด่งดังอย่างมาก โดยเลิศพงศ์ได้เข้าทำงานในตำแหน่ง ‘ผู้จัดการฝ่ายการตลาด’

เขาทำงานที่โรงงานแห่งนั้นเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกอีกครั้ง เพราะมองว่าธุรกิจเริ่มความนิยมเริ่มลดลงเรื่อย ๆ

อีกทั้งตัวเขาเองก็มีภาระเพิ่มขึ้นเพราะกำลังเริ่มต้นชีวิตครอบครัว ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจกู้เงินจากธนาคารประมาณ 200,000 บาท เพื่อหันไปทำธุรกิจส่วนตัว

 

เริ่มธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวรถเข็น

จากเงินที่กู้ธนาคารจำนวน 200,000 บาท เลิศพงศ์ตัดสินใจเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวขึ้นในปี 2530 ส่วนหนึ่งเพราะว่าตอนนั้นพี่ชายและน้องชายของเขามีธุรกิจทำโรงงานลูกชิ้นอยู่แล้ว เขาเลยคิดว่าถ้ามีวัตถุดิบจากคนในครอบครัวมาวางขายคู่กับก๋วยเตี๋ยวของเขาก็น่าสนใจดี

เปิดธุรกิจมาได้สักพักพบว่าธุรกิจก๋วยเตี๋ยวเติบโตมากกว่าที่คิดและได้กระแสตอบรับที่ดีด้วย นอกจากนี้ก็มีลูกชิ้นที่ทุกคนรับรู้มากขึ้นว่า ลูกชิ้นต้องกินคู่กับก๋วยเตี๋ยว เลยทำให้ทั้งก๋วยเตี๋ยวและลูกชิ้นขายดีไปตาม ๆ กัน

หลังจากนั้นไม่นานพี่ชายและน้องชายของเลิศพงศ์หยุดการผลิตทำลูกชิ้น แต่เลิศพงศ์มองว่าโอกาสที่จะขายลูกชิ้นยังมีสูงมาก และเขาก็ยังอยากขายก๋วยเตี๋ยวตามความชอบส่วนตัวอยู่ จึงตัดสินใจขอเครื่องทำลูกชิ้นที่เหลือจากโรงงานมาทั้งหมดแล้วมาปรับสูตรทำลูกชิ้นขายเอง โดยเขาโฟกัสที่การปรับปรุงคุณภาพลูกชิ้นให้สูงขึ้น เพราะตอนนั้นตลาดลูกชิ้นคุณภาพดีกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น

 

ขยายตลาดก๋วยเตี๋ยวและลูกชิ้น

ด้วยประสบการณ์ที่เคยทำงานที่ C.P. มาก่อน เขารู้ว่าเมื่อสินค้ากำลังเป็นที่ต้องการในตลาด สิ่งที่ควรทำต่อไปก็คือ การขยายตลาดให้อยู่ใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวรถเข็นก็มีโอกาสเติบโตสูง พอ ๆ กับลูกชิ้นคุณภาพดี เลิศพงศ์จึงตัดสินใจแนะนำการขายก๋วยเตี๋ยวให้กับเพื่อน ๆ และคนรู้จักต่อ

บวกกับการที่เลิศพงศ์เข้าใจกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับล่างเป็นอย่างดี โดยเฉพาะชาวไร่ ชาวนา ที่ทำงานได้เพียงตามฤดูกาลปลูกเท่านั้น ที่เหลือนอกเหนือจากนั้นก็แทบไม่มีเงินเก็บ ไม่มีรายได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่เลิศพงศ์ชักชวนมาขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นด้วยกัน

โดยที่เลิศพงศ์จะเป็นคนหาโลเคชันสถานที่ขายให้ พร้อมกับแนะนำวิธีการขายอย่างละเอียด และเป็นคนส่งวัตถุดิบลูกชิ้นให้ด้วย ปรากฏว่ามีหลายคนที่สามารถสร้างรายได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวได้ดีกว่าการทำไร่ทำนา เพราะใช้เงินทุนต่ำกว่า ทั้งยังใช้แรงงานน้อยกว่าด้วย

นอกจากนี้ เลิศพงศ์ยังชักชวนคนที่ไม่มีงานทำมาร่วมขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นกับเขาด้วย โดยจะเป็นคนจัดการสถานที่ขาย และจัดส่งวัตถุดิบให้ทั้งหมดเช่นเดิม

ในปี 2545 ผลกำไรจากการขยายร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น และการขายลูกชิ้นเริ่มมั่นคง เลิศพงศ์ตัดสินใจจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท บิ๊กบอล ฟู้ด จำกัด เป็นผู้ผลิตลูกชิ้นคุณภาพเกรด A ทั้งลูกชิ้นเนื้อและลูกชิ้นหมู และเลือกที่จะผลิตลูกชิ้นขายอย่างเดียว แล้วขายแฟรนไชส์ร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นควบคู่กันไป (แต่ตัวเขาไม่ทำร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว)

สิ่งที่เลิศพงศ์เน้นมาตลอดตั้งแต่สาขาแรกที่เปิดกันในครอบครัว จนถึงวันที่เขามีธุรกิจก๋วยเตี๋ยวแฟรนไชส์ที่ชื่อ ‘โฮเด้ง-โกเด้ง’ เขาพูดเมื่อให้สัมภาษณ์ว่า “เราจะเน้นที่คุณภาพเป็นหลักก่อน สินค้าของเราจะเป็นสินค้าเกรด A แต่การวางขายคือ ตั้งเป็นร้านรถเข็นริมถนนทั่วไป และไม่ต้องการวางขายในที่ที่ทำให้ราคาก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นสูงขึ้นด้วย”

จากนั้นธุรกิจภายใต้บริษัท บิ๊กบอล ฟู้ด จำกัด ขยายต่อไปถึงการขาย ‘ลูกชิ้นปิ้งพร้อมน้ำจิ้มสำเร็จรูป’ ซึ่งผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัทในปี 2562 กำไรอยู่ที่ 21 ล้านบาท จากรายได้รวม 466 ล้านบาท

ปัจจุบันไม่มีการสรุปตัวเลขว่าร้านก๋วยเตี๋ยวโฮเด้ง-โกเด้งในไทยมีกี่สาขาทั่วประเทศ (เพราะมันเยอะมาก) แต่แบรนด์นี้เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีคนสนใจอยากติดต่อซื้อแฟรนไชส์มากเป็นอันดับต้น ๆ และยังถูกพูดถึงว่าเป็นลูกชิ้นเนื้อและลูกชิ้นหมูที่อร่อยจนทุกวันนี้

บางทีประสบการณ์งานทั้งชีวิตอาจช่วยนำพาเราไปอีกอาชีพหนึ่งได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถใช้ข้อดีและการเรียนรู้จากการทำงานทั้งหมดมาต่อยอดได้อย่างไร อย่างเลิศพงศ์เลือกที่จะลาออกจากบริษัทใหญ่ก็จริง แต่ความรู้จากบริษัทเหล่านั้นสอนให้เขาเดินหมากธุรกิจได้ถูกจุด จนทำให้โฮเด้ง-โกเด้ง เป็นแบรนด์ที่ใคร ๆ ก็รู้จักไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ตาม

 

ภาพ: godeng-hodeng

อ้างอิง:

http://www.godeng-hodeng.com/about.html

https://www.marketthink.co/14790

https://www.youtube.com/watch?v=EHpzkQ3L7nU

https://www.longtunman.com/3750

http://www.thaismescenter.com/