โรงบ่อนเบี้ย สู่ บ่อนอิทธิพลทุนจีน บ่อนไทยกว่า 100 ปีเปลี่ยนรูปแบบ แต่ทำไมไม่มีวันตาย?

โรงบ่อนเบี้ย สู่ บ่อนอิทธิพลทุนจีน บ่อนไทยกว่า 100 ปีเปลี่ยนรูปแบบ แต่ทำไมไม่มีวันตาย?

บ่อนการพนัน มีหรือไม่มีในไทยกันแน่? ย้อนเส้นทางของ ‘บ่อนการพนัน’ ที่ฝังรากมายาวนาน งานวิจัยปี 2559 ยังระบุ ไทยมีบ่อนเป็นล้านแห่งทั่วประเทศ ขณะที่หน่วยงานรัฐกลับมีท่าทีปฏิเสธการมีอยู่ของบ่อน

  • วัฒนธรรมการพนันฝังรากในสังคมชาวไทยมาแต่โบราณ มีหลักฐานมากมาย และยังเคยเป็นสิ่งถูกกฎหมายมาก่อน
  • บ่อนถูกกฎหมายพบจุดจบไปเมื่อร้อยปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดเรื่องเมืองพุทธ ความเจริญรุ่งเรือง ไปจนถึงปัญหาอาชญากรรม
  • แม้บ่อนการพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ดูเหมือนว่า คนท้องถิ่นจะยังแจ้งข้อมูลบ่อนการพนันอยู่เป็นระยะ ขณะที่ท่าทีของรัฐไทยมักปฏิเสธการมีอยู่ของบ่อน

บรรยากาศอันเคร่งเครียด ควันบุหรี่ที่ลอยอ้อยอิ่ง เหงื่อกาฬเต็มหน้าผาก ความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจยามลุ้นผล เสียงตะโกนสะใจยามเล่นได้ อาวุธปืนที่พร้อมจะตบผางลงกลางวงซึ่งมีผลลัพธ์แค่สองทาง เกิดมีการโกง หรือวางจำนำเพราะเสียหมดตัว

นี่คือฉากหนังไทยที่ฉายให้เห็นภาพบ่อนการพนันจนกลายเป็นความคุ้นตา

บ่อนจริง ๆ เป็นเช่นนั้นไหม? ก็ไม่เสมอไป บางบ่อนก็เอะอะมะเทิ่ง ถ้าสถานที่ปิดมิดชิด เจ้าของแบ็คถึงเงินถึง ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเก็บเสียง

แต่บางบ่อนก็เล่นกันเงียบเชียบ ซึ่งมักเป็นบ่อนลอยที่หมุนวนไปเรื่อย ไม่อยากเจอแจ็คพ็อตโดนชาวบ้านเรียกตำรวจมาล้อมจับ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือทุกบ่อนมีนักเลงดูแล และเจ้าของต้องมีเส้นสายอิทธิพลพอสมควร เพราะการมีบ่อนพนันได้ มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีเจ้าถิ่นคุ้มครอง

นั่นคือเส้นสายตำรวจในท้องที่ หรือถ้าให้ปลอดภัยก็เคลียร์กับระดับสูงให้เรียบร้อย เพราะหากท้องที่ปล่อยแต่ส่วนกลางไม่ปล่อยก็จบเห่ ต้องมีนักเลงมือปืนคุ้มกันเงินบ่อนและเงินแขก เพราะบางบ่อนที่คนคุ้มกันอ่อนจะเกิดเหตุการณ์ปล้นบ่อน หรือยิงหัวนักพนันด้วยกันเองเอาง่าย ๆ  เพราะนักพนันบางรายก็ใหญ่พอตัว ถ้าเจ้าของบ่อนบารมีข่มไม่ได้ก็เอาไม่อยู่ ไหนจะพวกจ้องเก็บค่าคุ้มครองอีก 

บ่อนการพนันปรากฎในไทยมานานแล้ว การพนันขันต่อนับเป็นนิสัยประจำตัวของคนทุกชนชาติ อย่างเรื่องเล่า ‘ไก่เหลืองหางขาว’ ของพระนเรศชนกับไก่พระมหาอุปราชาของพม่า ซึ่งเปรียบเปรยถึงขั้นชนชิงเมืองกันก็น่าจะสะท้อนเรื่องนี้ได้ดี

แล้วตามที่มีบันทึกการมีบ่อนเป็นเรื่องเป็นราวในชื่อ โรงบ่อนเบี้ย ในช่วงปี 2430 พบว่ามีมากถึง 400 แห่ง และ 126 แห่งคือบ่อนขนาดใหญ่

ในงานวิจัยของ วีระยุทธ ปีสาลี ซึ่งภายหลังถูกรวบรวมเป็นหนังสือชื่อ ‘กรุงเทพฯ ยามราตรี’ บอกเล่าเกี่ยวกับสภาพโรงบ่อนเบี้ยในพระนครไว้ว่า

“โรงบ่อนเบี้ยเป็นพื้นที่บันเทิงของพระนครที่ได้รวมเอากิจกรรมการพักผ่อนหย่อนใจในยามค่ำคืนหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน นับตั้งแต่การเล่นพนัน การชมมหรสพและการเดินหาของกินเล่น จนทำให้คนกรุงเทพฯ ออกมาเที่ยวเตร่ตามโรงบ่อนต่างๆ ตาม”

บ่อนไทยในยุคโบราณอยู่ในย่านชุมชนคนจีน ยุคแรกใช้เงินพดด้วงเป็นเบี้ยแต่มันกลมกลิ้งหล่นง่าย จึงกำเนิด ‘ปี้โรงบ่อน’ ซึ่งถือเป็นชิปพนันยุคนั้น สั่งทำจากเมืองจีน เป็นตะกั่วบ้าง ทองเหลืองบ้าง หรือเครื่องดินเผาหรือกระเบื้องเคลือบมาใช้เป็นเบี้ยไว้แลกแทงพนัน

โรงบ่อนเบี้ยถือว่า ถูกกฎหมายมานานแล้ว มีบันทึกการเก็บเงินภาษีเข้ารัฐอย่างเป็นกอบเป็นกำมั่นคง ในรัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เก็บภาษีได้มากถึงปีละ 5 แสนบาท ย่านไหนที่คนจีนมีอยู่มากก็มีการขอสัมปทานเก็บภาษี คำว่า ‘ภาษีบาป’ ก็น่าจะมาจากสมัยนั้น

บ่อนกลายมาเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของชนชั้นล่างโดยเฉพาะพวกผู้ใช้แรงงาน เป็นแหล่งรวมของนักเลง มีหาบเร่ของกินที่มาตั้งแผงขายรองรับผู้มาใช้บริการบ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี โรงงิ้ว และโรงรับจำนำ ความนิยมมากขนาดที่เมื่อมีการสร้างทางรถไฟกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เสร็จสิ้นในปี 2443 มีประชาชนจากหัวเมืองหลั่งไหลเข้ามาเล่นพนันเมืองกรุงจนแน่นโบกี้รถไฟเลยทีเดียว

จุดจบของบ่อนถูกกฎหมายยุคนั้นมาจากการที่รัฐพยายามเข้าไปควบคุมกิจการโรงบ่อนเบี้ย แล้วยุบบ่อนขนาดเล็กคงไว้แต่บ่อนขาดใหญ่ แล้วค่อย ๆ ให้ย้ายจากชุมชนหรือหน้าถนนใหญ่ไปไว้ที่ลับตาคน เพราะขัดกับความเป็นเมืองพุทธ และไม่ศิวิไลซ์ แถมรัฐเริ่มคุมอาชญากรรมไม่ได้ ทั้งฉกชิงวิ่งราว ปล้นฆ่า และซ่องโสเภณี จึงยุบเลิกโรงบ่อนเบี้ยไปในปี 2460

หลังจากนั้นบ่อนพนันก็หลบไปอยู่ใต้ดิน แต่รัฐก็ทิ้งรายได้ภาษีจากธุรกิจประเภทนี้ไปอย่างถาวร 

พระราชบัญญัติการพะนัน พุทธศักราช 2478 จำแนกการพนันไว้ 3 ประเภท รวมแล้วเกิน 50 ชนิดเลยทีเดียว เช่น ประเภท ก. ที่ระบุ หวย ก. ข. โปปั่น โปกำ ถั่ว แปดเก้า จับยี่กี ต่อแต้ม เบี้ยโบก หรือคู่คี่ หรืออีโจ้ง ไพ่สามใบ ฯลฯ 

ส่วนประเภท ข. ระบุการเล่นต่าง ๆ ซึ่งให้สัตว์ต่อสู้หรือแข่งกัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา แข่งม้า ฯลฯ วิ่งวัวคน ชกมวย มวยปล้ำ แข่งเรือพุ่ง แข่งเรือล้อ เป็นต้น 

แต่ปัจจุบันประเภทการพนันน้อยลง เท่าที่นิยมมีเพียงกำถั่ว โต๊ะเสือ มังกร บาคาร่า และไฮโล กับประเภทบ่อน 4 รูปแบบ คือ ‘บ่อนวิ่ง’ ซึ่งแยกย่อยเป็น 2 กลุ่ม คือ ‘บ่อนวิ่งขนาดเล็ก’ หรือ ‘บ่อนวิ่งจริงๆ’ ที่นัดแนะไปเล่นตามสถานที่ หรืองานต่าง ๆ เช่น งานศพ ในสวน หรือบ้านของนักพนันคนใดคนหนึ่ง หรือตามตรอก ซอก ซอยเปลี่ยว ๆ 

เมื่อเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ ทำให้จับยากเย็น โดยบ่อนประเภทนี้คนไม่เยอะ จะมีนักพนันและเจ้ามือรวมกันแล้ว 5-15 คน ขณะที่รูปแบบการพนันที่นิยมเล่น เช่น กำถั่ว ไฮโล  มวยตู้ หรือพวกชนไก่ กัดปลา

ส่วน ‘บ่อนวิ่ง’ อีกแบบ ใหญ่ขึ้นอีกหน่อย ใช้ล้อมรั้วสังกะสี หรือกั้นผ้าปิดบังสายตาจากผู้คน ตั้งบ่อนคราวละ 5-7 วัน ก่อนย้ายไปตั้งจุดอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแจ้งให้ตำรวจเข้าจับกุม ซึ่งบ่อนประเภทนี้มีการจ้าง ‘สเกาท์’ คอยดูลาดเลาเฝ้าระวังตำรวจ

ประเภทต่อมาคือ ‘บ่อนถาวร’ เช่าอาคารพาณิชย์หรือบ้านขนาดใหญ่ หรือโกดัง แล้วติดเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันและอุปกรณ์เล่นการพนัน มีอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ และมี ‘คนคุมบ่อน’ ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะเสี่ยงต่อการถูกจับ แต่บ่อนประเภทนี้ จัดเป็น ‘บ่อนอิทธิพล’ อย่างไม่ต้องสงสัย

สุดท้ายคือ ‘บ่อนไฮเทค’ หรือ ‘บ่อนออนไลน์’ ปัจจุบันค่อนข้างได้รับความนิยมจากนายทุนอย่างมาก เพราะไม่ต้องเสียเงินเช่าสถานที่ จะเล่นผ่านระบบออนไลน์ โดยมีแอดมินดูแล แต่ยอมทุ่มเงินจ้างพวกเอนฟลูเอนเซอร์คนดังในโซเชียลคอยโปรโมตดึงดูดแมลงเม่า บ่อนประเภทนี้สร้างผลกระทบทางสังคมค่อนข้างมาก มีเหยื่อหลงเข้าไปเล่นเสียเงินเสียทองมหาศาล 

บ่อนทุกประเภทเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบและนายทุน จากในอดีตที่บ่อนเป็นแหล่งสร้างคนดังนครบาลมากมายในยุคนักเลงทั้งก่อนและหลังปี 2500 คนเหล่านั้นเติบโตสร้างชื่อจากโรงบ่อนและสนามม้าควบคู่กัน บางห้วงเวลารัฐที่มีความเป็นเผด็จการที่เห็นว่าคุมไม่อยู่ก็เริ่มปราบปรามในฐานะผู้มีอิทธิพล เช่น ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปี 2500 ยุคที่แดง ไบเล่ย์ หนีตายไปซบหมู่เชียรรถถังที่อู่ตะเภา แล้วไปทำบ่อนที่นั่นจนเกิดมหากาพย์ฟาดฟันกับเจ้าพ่อตะวันออกอีกคำรบนั่นแหละ 

หรือยุค รสช. 2534 ที่เก็บนักเลงนครบาลอย่างราบคาบ แต่บางห้วงเวลาที่รัฐบาลประชาธิปไตยเริ่มมองเห็นเม็ดเงินพนันที่จะนำมาพัฒนาประเทศก็เริ่มพูดถึงคาสิโนถูกฎหมาย แต่ก็ถูกต่อต้านอย่างไม่ลดละจากชาวพุทธผู้เคร่งครัด 

ถึงยุคนี้ที่เรียกกันว่า “บ่อนไม่มี โสเภณีไม่ปรากฏ” หน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะตำรวจ มักเป็นไปในทิศทางปฏิเสธการมีอยู่ของบ่อนการพนัน อย่างล่าสุด พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ว่า ตั้งแต่รับตำแหน่งมาเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ไม่มีบ่อนการพนันแบบที่คนในพื้นที่ออกมาให้เบาะแส 

แต่สุดท้ายก็หนีข้อเท็จจริงกับกระแสสังคมไม่พ้น ถึงขั้นนักพนันช่วยออกมาชี้เป้าให้ด้วยซ้ำ ทำให้วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ยังคงพบการลักลอบเล่นการพนันในหลายพื้นที่ และสั่งการให้เจ้าหน้าที่เจ้าของพื้นที่ให้ดำเนินการกวาดล้างให้หมดสิ้น   

ยังไม่มีงานวิจัยล่าสุดที่มาเก็บข้อมูลว่าทุกวันนี้มีเม็ดเงินพนันหมุนเวียนมากมหาศาลแค่ไหน แต่ย้อนไปปี 2559 งานวิจัยเศรษฐกิจการพนันกับปัญหาสาธารณะของ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ระบุว่า ทั่วประเทศไทยมีบ่อนการพนันเป็นล้านแห่ง เป็นบ่อนขนาดใหญ่ 75 แห่ง และเฉพาะในกรุงเทพฯ มีมากถึง 170 แห่ง และมีถึง 10 บ่อนทีเดียวที่ใหญ่และเป็นตำนาน แค่ใน กทม.มีเงินสะพัดถึงปีละ 180,000-200,000 ล้านบาท อันนี้ไม่นับเงินไหลออกไปสู่คาสิโนประเทศเพื่อนบ้านรอบทิศซึ่งมหาศาลกว่ามาก 

ในอดีตเราเคยรู้จักความยิ่งใหญ่ของบ่อนดังกลางกรุง อาทิ บ่อนประตูน้ำที่ถูกทลายหลายรอบจนต้องปิดตัวถาวร(ว่ากันว่าเพราะเลือกยืนฝ่ายการเมืองผิดข้าง) บ่อนโชคชัย 4 บ่อนเตาปูน บ่อนลอยฟ้า บ่อนบางนา บ่อนอ๊อดใต้ บ่อนบ้านฟ้าย่านรามอินทรา รับผู้เล่นกระเป๋าหนักเท่านั้น บ่อนเจ๊ง้อ ในซอยเจริญกรุง 46 บ่อนกิ่งเพชร อยู่กลางกรุงย่านพญาไท

ถึงตอนนี้บางบ่อนปิดตัวถาวร บางบ่อนขยับไปอยู่นอกพื้นที่นครบาล แต่ส่วนใหญ่ ‘ยังอยู่’ และยังมีอยู่มากกว่า 100 บ่อน ที่สำคัญคือการมีนายทุนจีนเข้ามาอยู่เบื้องหลัง คนพวกนี้ยอมจ่ายหนักให้พวกมีสี หรืออดีตตำรวจที่มีอิทธิพลกว้างขวางเพื่อเข้ามาดูดเงินคนไทยโดยเฉพาะ หากปักหลักได้ก็จะขยายไปสู่ธุรกิจมืดอื่น ๆ ได้โดยง่าย

มีข้อมูลว่ากลุ่มนายทุนจีนที่เข้ามาหลากหลายกลุ่ม กลุ่มใหญ่ที่สุดก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่ทำคาสิโนอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม อ.เชียงของ จ.เชียงราย และเชื่อมเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจุดนี้ทำให้ปัญหาเรื่องบ่อนไทยซับซ้อนยิ่งขึ้น

ตราบใดที่รัฐไม่จริงจังสักทาง ไม่ว่าจะปราบปราม หรือสนับสนุนให้เปิดบ่อนแบบถูกกฎหมายเพื่อจะเก็บเงินภาษีเป็นเรื่องเป็นราว ผู้อยู่เบื้องหลังจะไม่ใช่อดีตเจ้าพ่ออย่างยุคก่อน แต่เป็นนายทุนข้ามชาติภายใต้การอำนวยความสะดวกของเครือข่ายอิทธิพลคนมีสี ยิ่งทำให้การปราบปรามทำได้ยากขึ้น

 

ภาพ: ภาพประกอบเนื้อหาที่จัดวางขึ้นและตกแต่งเพื่อใช้ประกอบเนื้อหาเท่านั้น

อ้างอิง:

“บ่อนพนันถูกกฎหมาย” ทางเลือกที่เป็นทางรอด? 

'สังศิต'เปิดงานวิจัย หนุนเปิด'คาสิโน'

เศรษฐกิจการพนัน

ทำไมยกเลิก “โรงบ่อนเบี้ย” ทั้งที่พนันทำเงินเข้ารัฐ บันเทิงใจ 9 โมงเช้ายันเที่ยงคืน

ตำนาน “ปี้โรงบ่อน” ชิพสำหรับการพนันในอดีต

"8บ่อนดัง"เปิดเย้ยฟ้าท้านครบาล

ใต้พรม ‘บ่อนไทย’ 100 นายกฯ ก็ปราบไม่ได้? กับ เสรีพิศุทธ์ | THE STANDARD

ผบ.ตร. ยันตั้งแต่รับตำแหน่ง ยังไม่มีบ่อน แจงดูข้อมูลทะเบียนราษฎร์ สอบเส้นทางบัญชีม้า

ผบ.ตร.กำชับทุกท้องที่ห้ามมีบ่อนเด็ดขาด โต้เพจสายไหมต้องรอด เมืองปากน้ำไม่มีบ่อน ไม่มีเหตุยิงกัน