read
thought
22 มี.ค. 2562 | 18:50 น.
The Dictator: เผด็จการในคราบประชาธิปไตย
Play
Loading...
The Dictator ไม่ใช่ภาพยนตร์ใหม่
แต่เป็นภาพยนตร์เก่าในปี 2012 ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี เรากลับรู้สึกว่าประเด็นในหนังไม่เก่าเลย ในว
าระที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายเน็ตฟลิกซ์ตั้งแต่ปลายปี 2018 (แบบไม่มีการประกาศเลื่อนเหมือนการเลือกตั้งบางประเทศ) เราขอนำประเด็นน่าสนใจในหนังมาปัดฝุ่นเล่าเรื่องเก่าในวันใหม่นี้ดีกว่า
The Dictator เล่าเรื่อง
“นายพล ฮัฟฟาซ อลาดีน”
ผู้นำจอมเผด็จการแห่งประเทศวาดิยาแถบแอฟริกาเหนือ เขามีแนวคิดสุดโต่งในการเป็นเผด็จการ และต่อต้านทุกอย่างที่เป็นประชาธิปไตย ทว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรเมื่อเขาได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมในสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา เขาถูกลักพาตัว โกนหนวดเครา ก่อนได้รับความช่วยเหลือจาก “โซอี” หญิงสาวนักเคลื่อนไหวในสังคมที่ทำให้เขาเห็นความสวยงามของประชาธิปไตย
ในแง่โปรดักชัน ตัวนักแสดง
ซาช่า บารอน โคเอน
ผู้รับบท นายพลอลาดีน และผู้กำกับ
แลร์รี ชาร์ล
เคยทำงานร่วมกันมาแล้วใน Borat (2006) และ Bruno (2009) ทั้งสองเรื่องนี้เต็มไปด้วยมุกตลกร้าย การเสียดสี และอารมณ์ขันเจ็บ ๆ โดย The Dictator ยังคงสไตล์เหมือนเดิมในแง่มุมใหม่อย่างเผด็จการ เล่าเรื่องตลกร้าย หยอกล้อ และเสียดสีนิสัยเผด็จการในทุกรูปแบบ ตั้งแต่การปกครอง ความคิด กีฬา กระทั่งวัฒนธรรม
เราจะเห็นตั้งแต่ต้นเรื่องถึงโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเขาว่า เกิดปี 1973 คุณแม่เสียชีวิต (ถูกฆาตกรรม) หลังคลอดทันที ทำให้อลาดีนเป็นบุตรคนเดียวของจอมเผด็จการคนก่อน “โอมาร์ อลาดีน” ซึ่งขึ้นสืบทอดอำนาจตั้งแต่วัย 7 ขวบ ไม่แปลกใจที่เขาจะ “ได้” ทุกอย่างในสิ่งที่ต้องการมาตั้งแต่เด็ก
เขาเคยจัดโอลิมปิกของตัวเอง โดยกติกาตัวเอง และเพื่อตัวเองจนได้เหรียญทอง 14 เหรียญ ภาพความตลกที่เห็นคือการแข่งขันวิ่งที่อลาดีนออกตัวนำมาก่อน เป็นคนยิงปืนเริ่มเกม ยิงคู่แข่งคนอื่น และให้เส้นชัยวิ่งเข้ามาหาตัวเอง สะท้อนภาพเผด็จการได้อย่างแสบสันต์
จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อเขากลายเป็นธรรมดา ไร้อำนาจ ไร้ชื่อเสียง จากการทรยศของ “ลุงทหาร” ตัวเองที่ขึ้นมา “ยึดอำนาจ” จากการใช้คนหน้าเหมือนเข้ามาสวมรอยเป็นหุ่นเชิด ไม่เพียงเท่านั้น ลุงยังพยายามเปลี่ยนประเทศวาดิยาให้กลายเป็นประชาธิปไตยโดยเอื้อประโยชน์การสัมปทานน้ำมันให้กับกลุ่มนายทุนประเทศหนึ่งแทน
แต่ภายใต้การล้อเลียนนั้น ตัวบทกลับแฝงไปด้วยความฉลาดของทีมงานที่ให้เราหัวเราะพร้อมฉุกคิดอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่อลาดีนพูดถึงคุณงามความดีของเผด็จการว่า
“ทำไมพวกคุณถึงจงเกลียดจงชังเผด็จการนักหนา ลองนึกภาพอเมริกาเป็นเผด็จการสิ คน
1 %
สามารถฮุบเอาทรัพย์สมบัติชาติ คนรวยก็จะช่วยกันรวยขึ้นได้อีกด้วยกลไกภาษี ถ้าเจอวิกฤตก็จับมือกันล้มลงบนฟูก ไม่ต้องแยแสคนรากหญ้าที่ไม่ได้รับสวัสดิการหรือการศึกษา สื่อดูเหมือนเป็นอิสระ แต่แท้จริงเบื้องหลังมีเครือข่ายลับคอยชักใย ดักฟังโทรศัพท์ได้ จับต่างชาติทรมานขังคุกได้ สามารถโกงผลการเลือกตั้ง แต่งเรื่องโกหกคนเพื่อทำสงคราม ตั้งข้อหาพิเศษขึ้นมาเพื่อจับคนบางกลุ่มเข้าคุกโดยไม่มีใครกล้าโวย สั่งสื่อปลุกกระแสตื่นกลัวให้กับผู้คนได้ เพื่อให้หลงสนับสนุนโยบายที่ทำลายส่วนรวม มันอาจยากที่อเมริกันจะนึกภาพพวกนี้ออก แต่คุณลองพยายามนึกให้ออก”
ขณะเดียวกัน เขาก็กล่าวถึงประชาธิปไตยว่า
“
ประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่ห่วยที่สุด ต้องมาทนฟังมุมมองโง่ ๆ ของคนอื่น ให้คุณค่าทุกคนหนึ่งเสียงเท่ากันทั้งที่บางคนพิการ ผิวดี หรือเป็นผู้หญิง...”
ก่อนเรื่องราวจะพลิกผันมาเป็น
“.... ประชาธิปไตยมีข้อเสียไม่ใช่ระบอบสมบูรณ์แบบ แต่ประชาธิปไตย ฉันรักเธอ จึงทำให้ผมมุ่งเป้าที่ประชาธิปไตยแท้จริง รัฐธรรมนูญที่ไม่หมกเม็ด และการเลือกตั้งที่ถูกต้องในวาดิยา”
ตอนจบของเรื่องจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศวาดิยาจาก “เผด็จการ” ให้กลายเป็น “ประชาธิปไตย” ด้วยการจัด “การเลือกตั้ง” อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในภาพยนตร์ก็หาใช่การเลือกตั้งที่ยุติธรรมเท่าไหร่
มันก็เหมือนอย่างที่อลาดีนบอกไว้ว่า “เผด็จการสามารถโกงผลการเลือกตั้ง” ผลสุดท้ายการเลือกตั้งนายพลอลาดีนเอาชนะไปได้ถึง 98.8% เราจะเห็นภาพการใช้รถถังเข้าควบคุมผู้เลือกตั้งให้ต่อแถวเลือกอลาดีนอยู่วันยังค่ำ สะท้อนได้ว่าประเทศที่ผู้นำเกิดขึ้นจากเผด็จการ ก็จะยังคงสืบทอดอำนาจเดิมด้วยการย้อมแมวเผด็จการด้วยกลไกทางประชาธิปไตย
ด้วยต้นทุนหนัง 65 ล้านเหรียญสหรัฐ The Dictator ไม่เพียงประสบสำเร็จด้วยรายได้ 179 ล้านเหรียญฯ แต่ยังประสบความสำเร็จในแง่ตั้งคำถามกับ “การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นใต้อำนาจเผด็จการ” (Elections Under Authoritarianism) เราจะเห็นได้ในหลาย ๆ ประเทศที่พยายามจัดการเลือกตั้งด้วยความฉ้อฉล ออกแบบกฎกติกาด้วยตนเอง และเอื้อผลประโยชน์ของตนเองมากที่สุด สุดท้ายแล้วกลายเป็นคนเผด็จการที่กลับเข้ามาครองอำนาจเดิมอยู่ดี
หลายครั้งที่คำว่า “การเลือกตั้ง” มักผูกติดกับ “ประชาธิปไตย” จนหลงลืมต้นกำเนิดของผู้ร่างกติกา
เพราะถ้าหากการเลือกตั้งนั้นเต็มไปด้วยกลโกงสกปรกโสมม คำถามสำคัญก็คือการเลือกตั้งที่ว่าจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้หรือไม่?
หรือเป็นเพียงปาหี่เพื่อสร้างความชอบธรรมของเผด็จการผ่านกลไกของประชาธิปไตยที่กำลังหลอกคนทั้งประเทศกันแน่
ข้อมูล
boxofficemojo
matichon
thematter
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่งใหญ่ขณะอายุน้อย บารมีมาก เส้นทางสีกากีติดไฮสปีด
15 ก.ย. 2566
3487
ถอดรหัส ‘Naatu Naatu’ เพลงประกอบหนังอินเดียฉากร้อง-เต้นใน RRR ได้ออสการ์-Golden Globes
13 มี.ค. 2566
6940
‘เอมิลิโอ เฟอร์นันเดส’ ชายผู้เป็นต้นแบบของตุ๊กตารางวัล ‘ออสการ์’
12 มี.ค. 2566
818
แท็กที่เกี่ยวข้อง
The People
Thought
ประชาธิปไตย
เลือกตั้ง
The Dictator