14 ธ.ค. 2565 | 17:07 น.
- ดาวเตะอาร์เจนไตน์ก้าวข้ามปมเรื่องกายภาพ ใช้ทักษะมาพิสูจน์ตัวเองจนกวาดความสำเร็จในโลกฟุตบอลมากมาย ทั้งกับสโมสร และทีมชาติ
- ความสำเร็จเดียวที่เป็นโจทย์สุดท้ายนอกจากความสำเร็จอื่นในแวดวงลูกหนังโลกของ ‘เมสซี่’ คือ ฟุตบอลโลก และเขาทำสำเร็จในปี 2022 โดยมีส่วนสำคัญต่อแชมป์ด้วย
หากจะเอ่ยถึงนักฟุตบอลที่จัดว่าเป็นระดับเวิลด์คลาสในปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคงจะมีชื่อของ ลิโอเนล เมสซี่ ศูนย์หน้าจากทีมชาติอาร์เจนติน่าอยู่ในนั้นด้วยอย่างแน่นอน อดีตนักเตะของสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า และเป็นเจ้าของรางวัลบาลงดอร์ (Ballon d'Or) ถึง 7 สมัยคนนี้กำลังอยู่ในช่วงบั้นปลายของอาชีพค้าแข้งโดยฉพาะการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ นี่อาจจะเป็นฟุตบอลโลกหนสุดท้ายของเจ้าตัว
ลิโอเนล เมสซี่ เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า ในประเทศสเปนตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปี 2021 เป็นระยะเวลากว่า 18 ปีและคว้าแชมป์ในระดับสโมสรมาแล้วมากมายร่วมกับเอฟซี บาร์เซโลน่า ทั้งฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกหรือฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ (FIFA Club World Cup) 3 สมัย ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ (UEFA Super Cup) 3 สมัย แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (UEFA Champions League) 4 สมัย ลาลีกา (La Liga) ของสเปน 10 สมัย โคปา เดล เรย์ (Copa del Rey) 7 สมัยและซุปเปอร์ โคปา เดอ เอสพานา (Super copa de España) 7 สมัย
จากนั้นเจ้าตัวก็ย้ายสู่สโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง (Paris Saint-Germain) ยอดทีมของประเทศฝรั่งเศสและสามารถคว้าแชมป์ลีกเอิง (Ligue 1) มาครองได้ในฤดูกาล 2021-2022 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าในระดับสโมสรนั้น ลิโอเนล เมสซี่ สัมผัสกับถ้วยรายการระดับเมเจอร์ของโลกและยุโรปมาอย่างครบถ้วนแล้ว
แต่สำหรับความสำเร็จในระดับทีมชาติของเมสซี่ ดูจะแตกต่างจากในระดับสโมสรพอสมควร เจ้าตัวต้องใช้เวลากว่า 16 ปี นับตั้งแต่ปี 2005 ที่ติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่ครั้งแรกจนถึงปี 2021 ที่เมสซี่ สามารถพาทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โคปา อเมริกา (Copa América) มาครองได้ จากที่ก่อนหน้านี้ เจ้าตัวต้องอกหักจากรายการนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง
ขณะที่ในเวทีการแข่งขันฟุตบอลโลก ลิโอเนล เมสซี่ ทำได้ดีที่สุดคือการคว้ารองแชมป์โลกในปี 2014 หลังจากที่ทีมฟ้า-ขาว อาร์เจนติน่าโดนทีมชาติเยอรมนีเฉือนเอาชนะไป 0-1 ในช่วงต่อเวลา
จากที่กล่าวมาทั้งหมดคงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลิโอเนล เมสซี่ คือนักกีฬาที่มีความยอดเยี่ยมและพบกับความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่ระหว่างเส้นทางเหล่านั้น เจ้าตัวต้องผ่านพ้นกับสิ่งในมาบ้าง บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปรับรู้เส้นทางแห่งความสำเร็จของเมสซี่ กันครับ
จุดกำเนิดแห่งเทพบนพื้นหญ้า
ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดที่แคว้นซานตาเฟ เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1987 โดยเมสซี่ เป็นเด็กตัวเล็กที่มีความสนใจในกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างมาก เจ้าตัวเข้าร่วมกับสโมสรกรานโดลี่ (Grandoli) ตั้งแต่อายุ 5 ปี
ก่อนที่ในอีก 3 ปีถัดมา เมสซี่ จะย้ายมายังสโมสรนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ (Newell's Old Boys) ซึ่งเป็นสโมสรที่ใหญ่และมีความพร้อมกว่าเพราะสโมสรแห่งนี้โลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดของประเทศอาร์เจนติน่า และในอดีตที่ผ่านมาก็มีนักฟุตบอลชื่อดังมากมายเคยเริ่มต้นกับสโมสรแห่งนี้
เมสซี่ ใช้เวลาฝึกฝนทักษะลูกหนังกับสโมสรนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ (Newell's Old Boys) เป็นเวลากว่า 5 ปี (1995-2000) และในช่วงเวลาดังกล่าว แม้เจ้าตัวจะทำผลงานกับต้นสังกัดได้ดีจนมีโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ไม่ยากนัก แต่เจ้าตัวต้องพบกับปัญหาสำคัญ
นั่นก็คือเมสซี่ ขาดพัฒนาการด้านการเจริญเติบโตของร่างกาย เพราะว่าเจ้าตัวมีความผิดปกติของฮอร์โมน ส่งผลให้ร่างกายของเมสซี่ นั้นเล็กจนอาจเป็นอุปสรรคต่อการเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ และปัญหาต่อมาคือค่ารักษาก็แพงเกินกว่าที่ครอบครัวของเมสซี่ จะสามารถจ่ายได้
แต่ด้วยลีลาการเล่นอันน่าประทับใจของเจ้าหนู ลิโอเนล เมสซี่ ในขณะนั้น ที่ไปถูกอกถูกใจ การ์เลส เรซัค (Carles Rexach) ผู้อำนวยการด้านกีฬาของสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า เข้าอย่างจัง ทำให้ครอบครัวของเมสซี่ ได้รับข้อเสนอว่าทางบาร์เซโลน่าจะทำการรักษาอาการดังกล่าวของเมสซี่ แต่เจ้าตัวนั้นต้องย้ายไปค้าแข่งกับทางสโมสรที่ประเทศสเปน ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทางครอบครัวไม่อาจปฏิเสธได้
ทำให้เมสซี่ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2000 ขณะที่เจ้าตัวอายุได้ 13 ปีเท่านั้น
บาร์เซโลน่า จุดเริ่มต้นเส้นทางสายอาชีพ
ลิโอเนล เมสซี่ เริ่มต้นกับสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่าในทีมเยาวชนในช่วงปี 2000-2003 และพัฒนาฟอร์มการเล่นจนสามารถขึ้นสู่ทีมสำรองได้ โดยในช่วงปลายปี 2003 เมสซี่ ได้มีโอกาสลองเล่นทีมชุดใหญ่ของสโมสรเป็นนัดแรกด้วยเพียง 16 ปี ในเกมการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่างสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า กับสโมสรเอฟซี ปอร์โต ของโปรตุเกส โดยในเกมดังกล่าวเจ้าตัวได้รับโอกาสลงสนามในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม
จากนั้นในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 ลิโอเนล เมสซี่ ได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัว โดยในช่วงแรก เจ้าตัวยังคงต้องลงสนามสร้างประสบการณ์กับทีมบาร์เซโลน่า เซ และบาร์เซโลน่า เบ ตามขั้นตอนของสโมสร
ในช่วงระหว่างที่ ลิโอเนล เมสซี่ เล่นอยู่ในทีมบาร์เซโลน่า เบ ฟอร์มของเจ้าตัวก็ไปสะดุดตานักเตะและทีมงานทีมชุดใหญ่หลายต่อหลายคน แต่คนที่ถูกใจเมสซี่เป็นพิเศษก็คือ โรนัลดินโญ นักเตะทีมชาติบราซิลซึ่งในภายหลังทั้งคู่นับถือกันดั่งพี่น้อง
โดยในขณะนั้น โรนัลดินโญ ก็หนึ่งในคนสำคัญที่คอยผลักดันเมสซี่ สู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสร จนในที่สุดลิโอเนล เมสซี่ ได้รับโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นก็คือการได้ลงสนามให้กับสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า อย่างเป็นทางการ
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2004 ในศึกลา ลีกา ระหว่างสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า พบกับสโมสรเอสปันญอล ด้วยวัยเพียง 17 ปี จากนั้นไม่นาน เมสซี่ ก็ยิงประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อของเอฟซี บาร์เซโลน่า ได้ในเกมพบกับสโมสรอัลบาเซเต บาลอมเป ด้วยการใช้ทักษะอันยอดเยี่ยมกระดกบอลข้ามหัวผู้รักษาประตูเข้าไปอย่างสวยงาม
นับจากเหตุการณ์ในวันนั้น เจ้าตัวก็กลายมาเป็นกำลังสำคัญของทีมเอฟซี บาร์เซโลน่า เป็นระยะเวลากว่า 17 ปี (2004-2021) เมสซี่ ประสบความสำเร็จกับสโมสรแห่งนี้มากมาย การพาบาร์เซโลนา คว้าแชมป์ลา ลีกาได้ถึง 10 สมัยและโคปา เดล เรย์ กับซุปเปอร์ โคปา เดอ เอสพานา ได้ อีก 7 สมัย ทั้งสองรายการทำให้ทั้งสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า และ ลิโอเนล เมสซี่ ครองความยิ่งใหญ่บนแผ่นดินสเปนได้อย่างไร้ข้อกังขา
อีกทั้งผลงานของเมสซี่ ก็ยังช่วยส่งให้สโมสรสามารถไปครองความยิ่งใหญ่ในยุโรปด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกได้ 4 สมัยในฤดูกาล 2005-2006, 2008–2009, 2010-2011 และ 2014-2015 รวมทั้งสามารถครองแชมป์ ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ได้ 3 สมัยในปี 2009, 2011 และ 2015
ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกหรือฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ เมสซี่ ก็สามารถทำผลงานร่วมกับสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่าได้อีก 3 สมัยในปี 2009, 2011 และ 2015 เรียกได้ว่าทุกถ้วยในระดับสโมสรนั้นเมสซี่ สามารถครองร่วมกับสโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่ามาหมดแล้ว
ตลอดระยะเวลากว่า 17 ปี ในถิ่นคัมป์นู เมสซี่ ลงสนามไปทั้งสิ้น 778 นัดทำประตูทั้งหมดรวม 672 ประตู โดยแบ่งเป็นการลงสนามลาลีกา 520 นัดทำประตูไป 474 ประตู โคปา เดล เรย์ ลงสนาม 80 นัด ทำได้ 56 ประตู และซุปเปอร์ โคปา เดอ เอสพานา เจ้าตัวลงสนามไปทั้งสิ้น 20 นัดทำประตูไป 14 ประตู
ด้านการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรปรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมสซี่ ลงสนามทั้งหมด 149 นัดทำประตูได้ 120 ประตูและรายการยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ เจ้าตัวลงสนาม 4 นัดทำได้ 3 ประตู ส่วนรายการระดับโลกอย่างฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ เมสซี่ ลงสนามไป 5 นัดทำได้ 5 ประตู นับเป็นสถิติที่ยากจะหาคนทำลายได้
อาร์เจนติน่า คือความฝันอันสูงสุด
ในช่วงเวลาที่เมสซี่ คือดาวรุ่งบนแผ่นดินสเปนนั้น เจ้าตัวได้รับข้อเสนอให้รับใช้ทีมชาติสเปน แต่เจ้าตัวก็ได้ปฏิเสธไป เพราะหัวใจของเมสซี่ นั้นมีเพียงสีฟ้าขาวของอาร์เจนติน่า เมสซี่ ลงสนามรับใช้ทีมชาติตั้งแต่ในระดับเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี และก็พาทีมชาติอาร์เจนติน่าเป็นแชมป์รายการฟีฟ่า เวิลด์ ยูธ แชมเปียนชิพ (FIFA World Youth Championship) ในปี 2005 โดยเจ้าตัวก็คว้ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดโดยทำไปทั้งสิ้น 6 ประตูและยังคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของรายการดังกล่าว
ในปี 2008 ลิโอเนล เมสซี่ จารึกชื่อตัวเองในระดับโลกอีกครั้งด้วยการพาทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าเหรียญทองกีฬาฟุตบอลในมหกรรมโอลิมปิกเกมส์ ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ โดยเจ้าตัวทำประตูได้ในนัดเปิดสนามที่ทีมชาติอาร์เจนติน่าสามารถเอาชนะโกตดิวัวร์ไปได้ 2-1
จากนั้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมสซี่ ก็มาแผลงฤทธิ์ใส่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ด้วยการยิงประตูให้อาร์เจนติน่าขึ้นนำไปก่อนและในท้ายที่สุดก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่วนในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ แม้จะไม่สามารถทำประตูได้แจ่เจ้าตัวก็เป็นกำลังสำคัญของทีมจนสามารถพาอาร์เจนติน่าคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ไปครองได้
ด้านผลงานของเมสซี่ ในทีมชาติชุดใหญ่นั้น เจ้าตัวก็เป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอาร์เจนติน่ามาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลากว่า17 ปี แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าทีมชาติอาร์เจนติน่า ในยุคของเมสซี่ นั้นแทบจะไม่ประสบความสำเร็จครองแชมป์รายการเมเจอร์อย่างฟุตบอลโลก หรือโคปา อเมริกาได้เลย
อย่างในรายการชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้นั้น เมสซี่ เป็นรองแชมป์ร่วมกับทีมชาติอาร์เจนติน่าถึง 3 ครั้งในปี 2007, 2015, 2016 จวบจนการเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 4 ในปี 2021 ที่ผ่านมา ทีมชาติอาร์เจนติน่าภายใต้การนำของ ลิโอเนล เมสซี่ จึงจะสามารถคว้าแชมป์โคปา อเมริกามาครองได้
โดยรอบชิงชนะเลิศสามารถเอาชนะทีมชาติบราซิลไปได้ 1-0 โดยในทัวนาเมนต์ดังกล่าวเจ้าตัวทำไปทั้งสิ้น 3 ประตู และการคว้าแชมป์โคปา อเมริกาในครั้งนั้นก็นับเป็นการคว้าแชมป์รายการเมเจอร์ระดับทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกของ ลิโอเนล เมสซี่
ระยะเวลาการรอคอยกว่า 16 ปี ถึงขนาดที่เจ้าตัวเองเคยท้อแท้ใจจนประกาศเลิกเล่นทีมชาติมาแล้ว จนในวันนั้น ถ้วยโคปา อเมริกา คือรางวัลที่มาจุดประกายแรงบันดาลใจให้เมสซี่ อีกครั้ง เพื่อไล่ล่าถ้วยสุดท้ายในชีวิต นั่นก็คือ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ
ราชาไร้บัลลังก์โลก
เมสซี่ ติดทีมชาติอาร์เจนติน่าไปแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 2006 ที่ประเทศเยอรมนีและเจ้าตัวก็สามารถทำประตูแรกได้ในเกมที่ทีมชาติอาร์เจนติน่าสามารถเอาชนะเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกรไป 6-0
แต่ทีมชาติของเขาก็ไปได้ไกลสุดเพียงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเช่นเดียวกับการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งถัดมาที่แอฟริกาใต้ที่ทีมชาติอาร์เจนติน่าก็ยังคงไปได้ไกลสุดเพียงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น และความผิดหวังของเมสซี่ ทั้ง 2 ครั้งก็เกิดจากน้ำมือของขุนพลอินทรีเหล็กหรือก็คือทีมชาติเยอรมนีนั่นเอง
ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลคือฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ของเมสซี่ เจ้าตัวหมายมั่นปั้นมือที่จะพาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โลกให้ได้สักครั้ง และก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยเมื่อทีมชาติอาร์เจนติน่าสามารถผ่านเข้าสู่รอบรอบชิงชนะเลิศได้
และเมสซี่ เองก็อยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงโดยรอบแรกเจ้าตัวสามารถทำประตูได้ทุกนัดที่ลงสนาม ทีมชาติอาร์เจนติน่าคือทีมเต็งในเวลานั้นแม้คู่ชิงชนะเลิศจะเป็นทีมชาติเยอรมนีก็ตาม และแฟนฟุตบอลทั่วโลกจำนวนไม่น้อยต่างก็ส่งกำลังใจให้ทีมชาติอาร์เจนติน่า เพราะเขาเหล่านั้นอยากเห็นเมสซี่ คว้าแชมป์โลกมาเติมเต็มโปรไฟล์ให้สมบูรณ์
แต่ในท้ายที่สุดมันก็ไม่เป็นแบบนั้นเมื่อทีมชาติอาร์เจนติน่าพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมนีไป 0-1 จากลูกยิงของมาริโอ เกิทเซ่ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ นี่คือผลงานที่ใกล้เคียงความสำเร็จมากที่สุดแล้วแต่เมสซี่ ก็ยังไม่อาจคว้ามาครองได้
และในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียทีมชาติอาร์เจนติน่าของเมสซี่ ยิ่งห่างไกลความสำเร็จกว่าทุกครั้งเมื่อตกเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติฝรั่งเศสที่ในภายหลังคือทีมที่ขึ้นไปถึงแชมป์โลก
กล่าวได้ว่า ก่อนหน้าปี 2022 ฟุตบอลโลกกับเมสซี่ นั้น เปรียบเสมือนของแสลงก็ได้เพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะทำอย่างไรก็ยังไม่สามารถคว้าถ้วยแชมป์มานอนกอดได้เลย จนมาถึงฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่ประเทศกาตาร์
ทีมชาติอาร์เจนติน่าที่ออกสตาร์ทได้อย่างน่าผิดหวังด้วยการพ่ายแพ้ซาอุดิอาระเบียไปแบบช็อคโลก 1-2 พร้อมทั้งเพลงล้อเลียนถามหาลีโอเนล เมสซี่ ใจว่าความ “Where is messi? I can’t see him” ดังเป็นไวรัลไปทั่วโลก
แต่หลังจากนั้น ทีมชาติอาร์เจนติน่า และเมสซี่ ก็ค่อย ๆ ตั้งหลักและฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มาจนสามารถปราบโครเอเชียได้ 3-0 ในรอบรองชนะเลิศเมื่อคืนที่ผ่านมา (เช้ามืดวันที่ 14 ธันวาคม 2022)
ชัยชนะเมื่อคืนมันมีความหมายสำหรับเมสซี่ มากครับ เพราะเท่ากับว่าเหลือการแข่งขันอีกเพียงนัดเดียวเท่านั้น เจ้าตัวต้องการชัยชนะอีกเพียงแค่นัดเดียวก็จะสามารถคว้าโทรฟีใบสุดท้ายที่ตามหามาครอบครองได้ นัดเดียวของรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกในครั้งนี้ที่อาจเป็นฟุตบอลโลกนัดสุดท้ายของชายที่ชื่อ ลีโอเนล เมสซี่ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร พระเจ้าจะอยู่ข้างเมสซี่ หรือไม่ พวกเรามาร่วมให้กำลังใจเจ้าตัวกันครับ
อัปเดต (กองบรรณาธิการ): เกมนัดชิงชนะเลิศปี 2022 น่าจะเป็นแมตช์สุดคลาสสิกในความทรงจำของแฟนบอลอีกนัด อาร์เจนติน่า นำก่อน 2-0 ในครึ่งแรก ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเร่งเครื่องด้วยฤทธิ์ของเอ็มบัปเป้ ที่ยิงจุดโทษและซัดวอลเลย์สุดสวยอีกประตู ตีเสมอเป็น 2-2 ต้องต่อเวลาอีก 30 นาที
ช่วงต่อเวลาครึ่งหลัง เมสซี่ ยิงให้ทีม ‘ฟ้า-ขาว’ นำอีกครั้ง 3-2 เกมกลับมาพลิกอีกครั้งเมื่อฝรั่งเศสได้จุดโทษจากจังหวะแฮนด์บอลของฝั่งอาร์เจนติน่า เอ็มบัปเป้ สังหารจุดโทษตีเสมอเป็น 3-3 ได้อีกหน หลังจากนั้นไม่มีใครยิงเพิ่มได้ ต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ
เมสซี่ ประเดิมยิงจุดโทษคนแรกเข้าไปอย่างเยือกเย็น ทีมฟ้า-ขาว ได้เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ช่วยเซฟ ฝั่งฟ้า-ขาวก็ยิงเข้าหมดทุกคน ได้มอนเทียล ยิงปิดท้ายให้อาร์เจนติน่า กลับมาสัมผัสแชมป์โลกอีกครั้งหลังรอคอยมา 36 ปี
จากนั้น ช่วงกลางปี 2023 เมสซี่ ตกเป็นข่าวย้ายจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไปเล่นในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ ที่สหรัฐฯ โดยจะไปร่วมทีมอินเตอร์ ไมอามี่
เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (แฟนพันธุ์แท้เอเชียนเกมส์)
ภาพ: Getty Images