เซอร์ซี แลนนิสเตอร์ คุณแม่สูงศักดิ์สุดอื้อฉาว ทรราชผู้รักลูกไม่ถูกทาง
ถ้ามองย้อนกลับไปในซีรีส์ Game of Thrones ที่สุดแห่งทั้งความฉาวโฉ่และความคาวคงหนีไม่พ้น “เซอร์ซี แลนนิสเตอร์” ราชินีแห่งเจ็ดอาณาจักร เพราะเพียงตอนแรกที่ออกฉาย เธอก็มีฉากร่วมรักกับน้องชายฝาแฝด “เจมี แลนนิสเตอร์” บนหอคอย ก่อนเหตุการณ์ครั้งนั้นจะบานปลายจนเป็นฉนวนให้เกิดสงครามห้ากษัตริย์
จะว่าไปแล้ว แทบไม่เคยมีตัวร้ายที่อยู่ยงคงกระพัน มีลมหายใจถึง 8 ซีซันอย่างเซอร์ซีมาก่อน เพราะเธอทั้งเป็นคนสวย เซ็กซี เป็นคนฉลาด มีมารยาหญิง และตำแหน่งทางการเมืองอันทรงพลัง ทำให้ไม่มีชายหรือหญิงคนไหนสามารถกำจัดเธอออกจากบัลลังก์ได้ ถึงแม้จะมีตัวละครหญิงหลายคนที่ทรงพลังเทียบเท่ากับเธอ แต่ก็ไม่มีใครสามารถแข่งขันกับเซอร์ซีได้ เมื่อเธอต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ในอำนาจ
ในขณะที่เจมี น้องชายฝาแฝด (หรือจะเรียก ชู้รักร่วมสายเลือด) ของเธอขี่ม้าออกไปเพื่อสร้างชื่อเสียงและศักดิ์ศรีในฐานะอัศวิน แถม “ไทวิน แลนนิสเตอร์” พ่อของเซอร์ซียังมองเธอเป็นเพียงแค่ “ของขวัญ” ที่มอบให้ในการแต่งงาน เพราะหลังจากการกบฎของ “โรเบิร์ต บาราเธียน” ไทวินก็มอบเธอให้เป็นคู่สมรสกับโรเบิร์ตเพื่อเพิ่มพลัง อำนาจ และบารมีของตัวเองอย่างเดียว
“มันคือการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด” ลีนา เฮดดี ผู้รับบท เซอร์ซี แลนนิสเตอร์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงการแสดงในซีรีส์บัลลังก์เหล็กนี้
แม้จะได้สมรสกับกษัตริย์ แต่เธอก็ไม่ได้มีความสุขในฐานะราชินีแห่งเจ็ดอาณาจักร โรเบิร์ตนอนกับโสเภณีไม่เลือกหน้า และไข่ทิ้งไว้ไปทั่ว
การมาอยู่คิงส์แลนดิงทำให้เซอร์ซีได้พบกับน้องชายฝาแฝดเธอ และกลับมามีความสัมพันธ์อย่างเดิมอีก เธอให้กำเนิดทายาททั้งสามคนให้กับโรเบิร์ต แม้ว่าเด็กทั้งหมดจะเป็นสายเลือดของเธอและเจมี แต่เพียง “เน็ต สตาร์ค” คิดที่จะเอ่ยปาก “แฉ” ความสัมพันธ์นี้ เขาก็ถูกส่งลงหลุมตั้งแต่ซีซันหนึ่ง
อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่อำนาจของเธอไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบอย่างเหล่าราชินีทั่วไป เธอถูกจับไปขังจากโดยเหล่านักบวชในข้อหาร่วมประเวณีในสายเลือดเดียว ถูกบังคับให้ต้องเดินเปลือยกายไปตามถนนขณะที่ผู้คนประชาชนต่างพากันสาปแช่ง ขว้างก้อนหินและอาหารเน่าเสียใส่ในท้ายซีซัน 5
ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมด เธออาจไม่ควรที่จะได้นั่งอยู่ในบัลลังก์ในตอนนี้เลย เธอต้องผ่านความทรมานและความท้าทาย แต่ด้วยการที่เธออยู่ท่ามกลางรายล้อมของเหล่าผู้ปกครอง เธอเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของผู้ปกครองเหล่านั้น
เธอไม่ได้ฉลาดที่สุดในอาณาจักร เธอเลยเลือกใช้หมอสติเฟื่อง “เมสเตอร์ ไคเบิร์น” โดยที่แลกกับการให้เขาทดลองมนุษย์
เธอไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร เธอจึงใช้ “เกรเกอร์ คลีแกน หรือ เดอะ เมาท์เทน” มาอยู่ภายใต้การควบคุมของเธอ
เธอไม่ได้มีกองทัพยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักร เธอก็จ้างกองทัพทองคำที่มาจากอีกซีกโลก ยอมนอนกับ “ยูรอน เกรย์จอย” และกุเรื่องว่าท้องกับเขาเพื่อที่จะได้กองทัพเรือ (แม้จะไม่ได้ช้างมาก็ตาม)
“จงอย่ารักใคร นอกจากลูกของตัวเอง”
“ใครที่ไม่ใช่พวกเราล้วนเป็นศัตรู”
ประโยคเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจเธอได้ทั้งหมด เพราะสิ่งที่เธอทำก็เพียงเพื่อ “ความรัก” ทั้งความรักระหว่างเธอกับลูก, ความรักระหว่างเธอและเจมี และสิ่งสำคัญที่สุดความรักที่เธอมีให้ต่อตระกูลของแลนนิสเตอร์อันทรงเกียรติตระกูลนี้
แต่ด้วยความความรักไม่ถูกทางของเธอ เซอร์ซีใช้ลูก ๆ “จอฟฟรีย์ บาราเธียน” และ “ทอมเมน บาราเธียน” นั่งบัลลังก์ในขณะที่เธอคอยชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นผู้ใช้อำนาจที่แท้จริง และโดนคำสั่งส่ง “ไมเซลลา บาราเธียน” ลูกสาวคนเดียวให้กับอาณาจักรดอร์น เพื่อรักษาความมั่นคงในบัลลังก์ ไม่ต่างอะไรจากที่พ่อเธอทำกับเธอ
ถึงแม้เธอจะแสดงความเสียใจต่อความตายของลูก ๆ ทว่าการกระทำของเธอกลับไม่สอดคล้องกับคำพูดเธอเท่าไหร่ เธออาจจะรักลูก ๆ ของเธอจริง แต่ไม่ได้รักแค่เพียงเพราะว่าพวกเขาเป็นลูกของเธอ หรือรักลูกในฐานะทายาทตระกูล “แลนนิสเตอร์” มากกว่ากระมัง?
วาระสุดท้ายของเซอร์ซีถูกถ่ายทอดในวันเดียวกันกับวันแม่สากลในปีนี้ (12 พฤษภาคม 2019) แม้เซอร์ซี่อาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีในฐานะแม่ แต่สุดท้ายทั้งหมดที่เธอทำนั่นทำให้เราได้เห็นว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้มากมายเพียงใดเพื่อความรัก แม้มันอาจไม่ถูกทางก็ตาม
“ฉันพูดอยู่เสมอว่าเธอรักลูกของเธอมาก ๆ และเธอไม่เคยยอมแพ้ ถ้าเธอสู้กับเสือ เธอจะสู้จนกว่าเสือจะยอมแพ้เอง ฉันชื่นชมตัวเธอ และความดื้อรั้นของเธอ” ลีนา เฮดดี กล่าว
ข้อมูลจาก
https://www.vogue.co.uk/article/lena-headey-interview-game-of-thrones-season-8
เรื่อง: กรชนก เอียดนุสรณ์